บทที่ 32 ข้าคนเดียว สู้กับพวกเจ้าทั้งหมด!
เหลียงฉวี่กลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดสะอาด แล้ววิ่งเหยาะๆ มุ่งหน้าไปทางเมืองผิงหยาง
ใบไม้สองข้างทางทับถมกันหนาขึ้นเรื่อยๆ ชั้นบนเป็นสีแดงเหลือง ชั้นล่างเป็นสีน้ำตาลเข้ม
ลมที่พัดผ่านร่างเย็นราวกับมีดน้ำแข็ง แต่เหลียงฉวี่กลับรู้สึกเต็มไปด้วยพลัง ไม่ร้อนไม่หนาว ในอกลุกโชนด้วยสิ่งที่เรียกว่าความกระตือรือร้น
เหลียงฉวี่เงยหน้าขึ้น ดวงอาทิตย์ยามเย็นค่อยๆ ลับขอบฟ้า สะท้อนม่านตาของเขาเป็นประกายสีทองแดง
แสงอาทิตย์ค่อยๆ จางหายไปจากพื้นดิน ป่าไม้สีแดงอมเทากลายเป็นสีแดงดำ อีกไม่นานความมืดจะปกคลุม นี่คือแสงสุดท้ายของวัน
จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าโลกใบนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก ไม่มีมลพิษ ไม่มีกรง อากาศก็สดชื่น
ความตกต่ำชั่วคราวไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ขอเพียงมีทิศทางที่ถูกต้อง การผ่านร้อนผ่านหนาวล้วนเป็นวิธีที่จะทำให้อาหารอร่อยขึ้นได้ เช่นเดียวกับการเติมน้ำมัน สักวันต้องมีวันที่ได้ผงาดขึ้นมา
"โฮ่ว!" เหลียงฉวี่ตะโกนลั่น
ล่อที่กำลังลากรถข้างทางตกใจ กระชากรถจะวิ่งเข้าป่า คนขับรถต้องฟาดแส้หลายที กว่าจะกลับเข้าทางเดิม แล้วสบถเบาๆ "ไอ้โง่"
คำนี้มีมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้วหรือ?
เหลียงฉวี่ชะงัก แต่ไม่โกรธ เพียงยิ้มตอบกลับไป คนขับรถเห็นดังนั้นก็บ่นพึมพำจากไป คิดว่าตนเองเจอคนบ้าจริงๆ
เมื่อมาถึงเมืองผิงหยาง เหลียงฉวี่คาดว่าหลี่ลี่ปอกับเฉินเจี๋ยฉางคงหิวแล้ว จึงแวะซื้อซาลาเปาติดมือมาด้วย เดินทางลัดที่คุ้นเคยมาถึงสำนักมวยตระกูลหยาง
ประตูใหญ่ของสำนักมวยสว่างไสว เมื่อเข้าไปทุกๆ สามก้าวจะมีตะเกียงน้ำมันใหญ่ ทุกสามเมตรจะมีโคมไฟ
เหลียงฉวี่ถือห่อกระดาษน้ำมัน เดินผ่านระเบียงทางเดินอย่างคุ้นเคย
ลานฝึกมีคนมากขึ้นไม่น้อย ราวๆ ห้าสิบกว่าคน
ปกติคนที่เรียนมวยเสร็จก็จะกลับบ้านไปฝึกเอง สิ้นเดือนค่อยมาเจอกัน สามสิบคนที่เห็นในวันสมัครไม่ใช่ทั้งหมด
แต่ในกลุ่มคนเหล่านั้นกลับไม่มีอาจารย์มวยที่แท้จริงสักคน มีแต่ศิษย์ฝึกหัด
เหลียงฉวี่คิดว่าบางทีอาจารย์อาจมีธุระ หรืออาจไปเข้าเฝ้าอาจารย์หยางก่อน เขาจึงไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่แอบสังเกตว่ามีหลายคนที่จ้องมองมาที่เขาทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ
"แปลกจัง ทำไมพวกเขาถึงมองข้าขนาดนั้น"
เหลียงฉวี่งุนงง เขาตกอับจริง ปกติไม่มีใครสนใจ ยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเขา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องจ้องมองเขาขนาดนี้
เขามาสายหรือ?
เขานึกถึงตอนเรียนมัธยมปลาย ครั้งหนึ่งตื่นสาย พอดีเจอครูประจำชั้นที่มาจับคนอ่านหนังสือตอนเช้า เพื่อนสนิทหลายคนแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือทั้งที่จริงๆ แอบดูเหตุการณ์ เหมือนกับตอนนี้ไม่มีผิด
เหลียงฉวี่จึงทำเป็นไม่เห็น เดินไปที่มุมแปลงดอกไม้ตามลำพัง เพื่อไปหาหลี่ลี่ปอกับเฉินเจี๋ยฉาง
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้น เห็นเหลียงฉวี่แล้วก็ก้มหน้าลงพร้อมกัน เพียงแต่รอยช้ำที่เบ้าตาและใบหน้าที่บวมนั้นซ่อนไม่มิด
รู้ว่าทั้งสองคนชอบหาเรื่องกัน เหลียงฉวี่นึกว่าพวกเขาเล่นกันเกินไป "เกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าตีกันเองหรือ? ลงมือหนักขนาดนี้?"
ทั้งสองสบตากัน แต่ไม่มีใครพูดอะไร
เหลียงฉวี่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงย่อตัวลงถามเสียงเบา "เกิดอะไรขึ้นกันแน่?"
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
เฉินเจี๋ยฉางทำลายความเงียบ
ใบหน้าที่บวมทำให้เสียงของเขาฟังไม่ชัด "หลังจากเจ้าไป ลู่ถิงไฉ่พาคนมาเรียกเก็บเงินพวกข้าสองคน บอกว่าพวกข้ามีกลิ่นตัว รบกวนการฝึกมวยของพวกเขา เรียกเก็บคนละสองต้าเลี่ยงเงิน พวกข้าทนไม่ไหว เลยตีกันขึ้นมา"
สองต้าเลี่ยง?!
เหลียงฉวี่ตกใจ
นี่จะเอาเงินหรือ?
นี่มันจะเอาชีวิตข้าชัดๆ!
"แล้วไอ้ตระกูลลู่นั่นล่ะ?" เหลียงฉวี่ไม่มีความเคารพในตัวลู่เส้าฮุ่ยแม้แต่น้อย ในอกยิ่งลุกโชนด้วยความโกรธ "แล้วพี่เสี่ยวล่ะ? พวกเจ้าไม่ไปหาพี่เสี่ยวหรือ? พี่เสี่ยวต้องช่วยพวกเจ้าสิ"
"ไอ้ตระกูลลู่นั่นไม่เหลือบแลพวกข้าสักนิด" หลี่ลี่ปอกัดฟัน "มันหันหลังเดินหนีไปเลย! ส่วนพี่เสี่ยวก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน ตั้งแต่เที่ยงจนถึงตอนนี้ ในสำนักเหลือแต่พวกศิษย์ฝึกหัดพวกข้า"
เหลียงฉวี่ไม่อยากเชื่อ ทำไมวันนี้ถึงได้บังเอิญเช่นนี้
"ตอนแรกข้าชกคนหนึ่งจนสลบ รวมกับพี่เฉิน สองคนสู้สามคน ไม่น่าจะแพ้ แต่แล้วก็มีคนมาช่วยพวกมันอีกสามคน พวกข้าก็เลยแพ้"
เฉินเจี๋ยฉางได้ยินคำพูดนี้แล้วแค่นเสียงเย็น เขาไม่ยอมรับ ที่จริงเขาน่าจะทำให้เสวียตี้อี้บาดเจ็บสาหัสได้ ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีคนมาช่วย สุดท้ายได้แค่บีบคอเสวียตี้อี้จนเป็นรอยเลือดไม่กี่รอย
"ตอนนี้พวกมันเรียกร้องให้พวกข้าหาเงินมาสิบต้าเลี่ยง ไม่งั้นจะมา 'ประลองวิชา' กับพวกข้าทุกวัน ฮึ~"
เฉินเจี๋ยฉางหัวเราะเยาะตัวเอง เขาไม่เสียใจ เพียงแต่เสียดาย เสียดายที่คนอีกสามคนมาเร็วเกินไป ทำให้เขาไม่มีโอกาสบีบคอเสวียตี้อี้จนตาย
มาถึงตอนนี้พูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ เขาถอนหายใจ "พวกข้าสองคนปรึกษากันแล้ว เรื่องตีกันเป็นเพราะพวกข้าเอง เงินที่เพิ่มมาสี่ต้าเลี่ยงพวกข้าจะชดใช้เอง"
หลี่ลี่ปอพยักหน้า พวกเขาต่างรู้สึกผิด คิดว่าเป็นเพราะตัวเองอยากจะไปตีกัน ทำให้คนหนึ่งต้องจ่ายเพิ่มเป็นกว่าสามต้าเลี่ยง สถานการณ์ครอบครัวเหลียงฉวี่ก็ไม่ดีอยู่แล้ว พวกเขาจึงต้องชดใช้ส่วนที่เกินมา
มุมแปลงดอกไม้เงียบสงัด
เมื่อไร้เสียงคน จิ้งหรีดในแปลงดอกไม้ก็รู้สึกปลอดภัย ส่งเสียงร้องเป็นช่วงๆ เสียงไม่ใสกังวาน กลับฟังดูชราภาพ
ตอนนี้เป็นต้นฤดูหนาวแล้ว อีกไม่ถึงครึ่งเดือนก็จะเข้าฤดูหนาวกลางแล้ว จิ้งหรีดร้องไม่ไหวแล้ว -- มันกำลังจะตาย บางทีอาจจะแข็งตายในคืนที่อุณหภูมิลดฮวบลงคืนใดคืนหนึ่งบนลานฝึก ผู้คนที่กำลังสนทนาและฝึกฝนต่างเหลือบมองไปที่มุมแปลงดอกไม้ที่ไม่เคยมีใครสนใจมาก่อน
มีทั้งสายตาเยาะเย้ย เย็นชา และบางคนก็รู้สึกสนุก
จ้าวซานกงจื่อในชุดหรูหรางดงามมองแปลงดอกไม้แล้วก็มองไปอีกมุมหนึ่ง
ที่นั่น ลู่ถิงไฉ่และพวกก็เงียบเช่นกัน
เมื่อเรื่องลุกลามถึงขนาดนี้ พวกเขาจะได้ผลประโยชน์จริงหรือ?
เป็นไปไม่ได้ จ้าวเสวี่ยหยวนรู้ดี พวกเขาจะถูกลงโทษ โทษที่หนักกว่า
ที่ผ่านมาพวกนี้เก็บค่าคุ้มครองได้ ก็เพราะอาศัยว่าคนที่ถูกรังแกไม่กล้าส่งเสียง
อีกทั้งลงมือนอกสำนักมวย เพียงแต่วันนี้อาจารย์ไม่อยู่ สถานการณ์ก็ต่างออกไป
คนชั้นล่างถูกปลูกฝังให้ต่ำต้อยมาชั้วชีวิต เกิดมาก็กลัวคนที่มีฐานะสูงกว่า พอถูกลู่ถิงไฉ่ใช้คำพูดหลอก ก็ไม่กล้าไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์เลย
คนส่วนใหญ่โดนเอาเปรียบแล้วไม่กล้าไปแจ้งทางการหรือ?
อาศัยการหลอกลวงผสมกับการใช้กำลัง พวกเขาไม่เคยพลาด ไม่คิดว่าวันนี้จะเจอของแข็งสองคน ลงมือด้วยอิฐเลยทีเดียว
แต่ไม่รู้ว่าศิษย์ร่วมบ้านเกิดคนสุดท้าย กระดูกจะแข็งหรืออ่อน
จ้าวเสวี่ยหยวนอยากรู้มาก
ตอนนี้ลู่ถิงไฉ่และพวกมีแต่ความเสียใจและหวาดกลัว แต่เมื่อน้องชายโดนฟาดจนหัวแตก เลือดขึ้นหน้า ตอนนั้นใครจะคิดอะไรได้มากมาย
ตอนนี้พวกเขาทำเหมือนหม้อแตกแล้วแตกอีก เหมือนนักพนันที่หมดหนทาง อันตรายยิ่งกว่าเวลาไหนๆ
ต่างกันตรงที่คนที่ถูกหลอกยังคงถูกฝังอยู่ในความมืด
ทุกคนกำลังดูละครสนุก
ลานฝึกที่ทำจากดินเหลืองอัดแน่นถูกแสงตะเกียงน้ำมันส่องเป็นสีส้มเหลือง เหลียงฉวี่ลุกขึ้น แสงไฟทอดเงาของเขายาวเหยียด ทาบลงบนผนังไม้ ไหวเบาๆ
หลี่ลี่ปอกับเฉินเจี๋ยฉางเงยหน้า ตรงหน้าปรากฏห่อกระดาษน้ำมันสองห่อ
"รับไว้"
"นี่มัน..."
"รับไว้!"
จิ้งหรีดในแปลงดอกไม้เงียบเสียง
หลี่ลี่ปอกับเฉินเจี๋ยฉางยื่นมือรับ สัมผัสได้ถึงความอุ่นในห่อกระดาษน้ำมัน กลิ่นหอมที่ลอยออกมาทำให้พวกเขาเดาได้ว่าข้างในเป็นอาหาร
เหลียงฉวี่หมุนตัวเดินไปกลางลานฝึก
ทุกคนจ้องมองมา
เหลียงฉวี่มองไปรอบๆ
เขาไม่เคยมาที่นี่ ยิ่งไม่เคยได้รับความสนใจจากทุกคนเช่นนี้
เหนื่อย
เหนื่อยจริงๆ
ครั้งก่อนทำงานล่วงเวลาจนดึก เหนื่อยเหมือนหมา ก็ยังไม่เหนื่อยเท่าตอนนี้
พวกเลวที่ชอบรังแกคนก็มีชีวิตรอด พวกอันธพาลที่ยึดแหล่งน้ำก็มีชีวิตรอด เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยที่คอยเตะถังข้าวก็มีชีวิตรอด
แต่ทว่า!
คนที่อยากจะมีชีวิตที่ดีกลับอยู่ไม่ได้!
สังคมทั้งหมดเหมือนตาข่ายใหญ่ที่ถักทอแน่นหนา กักขังผู้คนที่พยายามจะไต่เต้าขึ้นไปทั้งหมด
ทุกคนที่พยายามจะลอดผ่านไป ล้วนถูกบีบในช่องแคบจนใบหน้าเบี้ยวบิด เนื้อหนังยับเยิน
พวกแมงมุม แมลงมีพิษ ตะขาบ เกาะอยู่ตามจุดต่อของตาข่ายใหญ่ รอคอยเหยื่อที่เต็มไปด้วยเลือดดิ้นรนจนหมดแรง แย่งชิงเลือดเนื้อ
เหลียงฉวี่มองไปที่มุมอีกด้านหนึ่ง
ทุกคนอยู่ที่นั่น ลู่ถิงไฉ่ เสวียตี้อี้ อวี่เว่ยหลง เสี่ยงชิ่วจี๋...
พวก... แมลงมีพิษ!
สายตาของเหลียงฉวี่พลันเปลี่ยนไป เปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ เขายื่นมือชี้ไปที่คนทั้งเจ็ด
"ข้าจะสู้กับพวกเจ้า!"
ลานฝึกเงียบราวความตาย
"ฮึ" มีคนหัวเราะออกมา
เหลียงฉวี่สีหน้าเรียบเฉย จ้องเขม็ง
"กระแอม..."
บรรยากาศกลับเงียบสงัดอีกครั้ง
ลู่ถิงไฉ่และพวกถูกสายตาบีบบังคับจนต้องลุกขึ้น ฝูงชนค่อยๆ แยกออก เปิดทางให้
ถึงจะเสียใจ แต่เมื่อเจอการท้าทายที่โอหังเช่นนี้ จะนั่งต่อไปก็ดูน่าอับอายเกินไป
"เจ้าคนเดียว?" ลู่ถิงไฉ่ที่พันผ้าขาวรอบหัวดูตลก แต่เมื่อมีคนหกคนหนุนหลัง ก็ไม่มีใครกล้าหัวเราะ "ประเมินตัวเองไม่ออก..."
"หุบปากไอ้โง่!"
ลู่ถิงไฉ่ชะงัก ทุกคนชะงัก
พวกเขาเหมือนไก่ที่ถูกบีบคอ เส้นเลือดปูดโปน แต่หาคำหยาบคายที่มีพลังกว่านี้มาโต้กลับไม่ได้
ช่างน่าสมเพชจริงๆ
เหลียงฉวี่รู้สึกว่าอกตัวเองอึดอัด ความรู้สึกที่มีความโกรธเต็มอกแต่ระบายออกไม่ได้ เหมือนมีภูเขาไฟอยู่ในใจ
เขาหายใจเข้าลึก อกขยับขึ้นลง กลั้นความโกรธที่ร้อนดั่งภูเขาไฟเอาไว้ เสียงลมสงบลง
"ข้าคนเดียวก็พอ! ข้าคนเดียว จะเอาชนะพวกเจ้าทั้งหมด!"
(จบบท)
ก่อนหน้านี้มีพิมพ์ชื่อตัวละครผิดๆถูกๆต้องขออภัยด้วยค่า สภาพคนแปลเมา55555555