ตอนที่ 50 ร่างจำแลงกับตัวจริง
ตอนที่ 50 ร่างจำแลงกับตัวจริง
เมื่อเห็นว่ากู้ฉางชิงกำลังจะเดินเข้าสู่ขอบเขตการโจมตีของผู้เฝ้าวิหาร อาวุโสที่สามถึงกับหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว
ผู้เฝ้าวิหารนั้น โจมตีทุกสิ่งโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ขอเพียงแค่มีผู้ใดก้าวล้ำเข้าสู่ขอบเขต!
แม้กู้ฉางชิงจะมีใบหน้าเหมือนกับผู้เฝ้าวิหารไม่มีผิด แต่เจ้าร่างไร้สติผู้นั้นย่อมไม่มีวันปรานีเขาเพียงเพราะหน้าตาเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม กู้ฉางชิงกลับดูราวกับไม่สนใจอะไรเลย เขาเดินอย่างสบายอกสบายใจตรงไปยังขอบเขตวิหาร
หวืด—
ทันทีที่กู้ฉางชิงก้าวเข้าสู่ขอบเขต ผู้เฝ้าวิหารก็ลืมตาขึ้นในทันที เขาเริ่มขยับแล้ว
“จบกัน...”
อาวุโสที่สามครวญในใจด้วยความหดหู่
ทว่าภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้พวกเขาทุกคนถึงกับยืนอึ้งอยู่กับที่
กู้ฉางชิงยกมือขึ้นเรียกดาบวิญญาณเล่มหนึ่งมาถือไว้ในมือ แล้วฟันออกไปหนึ่งดาบใส่ผู้เฝ้าวิหารที่พุ่งเข้ามา
ฉึบ—
ไม่มีการปะทะอันยิ่งใหญ่ ไม่มีเสียงระเบิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินใดๆ ทั้งสิ้น
ดาบธรรมดาที่ดูเรียบง่าย ทว่าครั้งเดียวก็ทำให้ผู้เฝ้าวิหารแตกสลายกลายเป็นพลังวิญญาณที่กระจายไปทั่ว
ที่ปลายนิ้วของกู้ฉางชิง ปรากฏเปลวไฟสีเขียวลุกโชน
“หายไปซะ”
เสียงระเบิดดังขึ้นเบาๆ พลังวิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่ในอากาศก็หายวับไปจนหมดสิ้น
ไม่ว่าจะอย่างไร การที่มีบางสิ่งลอกเลียนแบบเขา ก็ต้องถูกทำลายลงอยู่ดี
แม้ผู้เฝ้าวิหารจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่การเห็นร่างที่มีใบหน้าเหมือนตัวเองราวกับแกะเช่นนี้ มันก็ชวนขนลุกอยู่ดี
“วิหารแห่งนี้ช่างแปลกประหลาดนัก คิดไม่ถึงว่าจะสามารถสร้างร่างจำลองของข้าได้ แต่ร่างนี้กลับมีพลังเพียงหนึ่งในสิบของข้าด้วยซ้ำ” กู้ฉางชิงครุ่นคิดในใจ
อย่างไรก็ตาม กู้ฉางชิงคงไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาทำลงไปเพียงดาบเดียวในตอนนี้ ได้นำความสั่นสะเทือนอย่างมหาศาลมาสู่ผู้คนที่อยู่เบื้องหลัง
ในเวลานี้ แม้แต่เสียงเข็มตกลงสู่พื้นก็ดังชัดเจนราวกับระฆัง
พวกเขา... เห็นอะไรอยู่?
ผู้เฝ้าวิหาร...
ผู้เฝ้าวิหารที่พวกเขาเชื่อว่าไร้เทียมทาน ผู้ที่เอาชนะเซียวเสินหวัง และสังหารฝูงอสูรจนสะท้านสะเทือน ผู้ที่พวกเขาคิดว่าเว้นเสียแต่ผู้แข็งแกร่งขอบเขตจักรพรรดิมาเองก็ไม่มีวันเอาชนะได้
กลับถูกกู้ฉางชิงสังหารลงได้ในดาบเดียว?
ความแตกต่างนี้ มันเกินกว่าที่จะยอมรับได้จริงๆ!
ทุกคนมองไปยังกู้ฉางชิงด้วยสายตาราวกับเห็นตัวตนอันน่าสะพรึงกลัว
หรือว่าผู้เฝ้าวิหาร... อ่อนแอเกินไป?
บางคนเกิดความสงสัยขึ้น แต่ไม่นานก็ส่ายหัว
ไม่ใช่ ผู้เฝ้าวิหารไม่ใช่ผู้ที่อ่อนแอ
พวกเขาจ้องมองไปที่กู้ฉางชิงด้วยความตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิม
เพราะผู้ที่แข็งแกร่งเกินไปก็คือกู้ฉางชิงผู้นี้!
จักรพรรดิ?
คำนี้ผุดขึ้นมาในใจของหลายๆ คนทันที
หรือว่ากู้ฉางชิงผู้นี้จะเป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตจักรพรรดิ?
แต่ว่าผู้แข็งแกร่งขอบเขตจักรพรรดิไม่สามารถเข้าสู่แดนลับจักรพรรดิคุนได้ไม่ใช่หรือ?
หากทำได้ พวกผู้แข็งแกร่งขอบเขตจักรพรรดิจากสามท้องทะเลก็คงบุกเข้ามานานแล้ว
“เข้าไปสิ ข้าบอกแล้วว่าภายในไม่มีอะไรเลย”
กู้ฉางชิงกล่าวพลางโบกมือเก็บแหวนเก็บของและถุงเก็บสมบัติที่ตกอยู่บนพื้นทั้งหมด
“แหวนพวกนี้ ข้าขอเก็บไป เจ้าทั้งหลายไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่?”
“ไม่นะ... ไม่มีขอรับ ท่านจะเก็บไปก็ได้”
“ไม่กล้าขัดข้อง”
จะให้พวกเขากล้าคัดค้านได้อย่างไร?
ภาพที่กู้ฉางชิงสังหารผู้เฝ้าวิหารในดาบเดียวยังคงแจ่มชัดในใจของทุกคน
ขณะเดียวกัน อาวุโสเก้าจากตำหนักชิงหลวนก็รู้สึกสั่นสะเทือนไม่แพ้ผู้อื่น
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าตำหนักของตนถึงย้ำเสมอว่าให้สร้างสัมพันธ์อันดีกับสำนักใจพิสุทธิ์
เพราะสำนักใจพิสุทธิ์มีตัวตนอันยิ่งใหญ่เช่นนี้อยู่!
ผู้อาวุโสผู้นี้... หรือกู้ฉางชิงผู้นี้... เกรงว่าเขาจะเป็นถึงผู้แข็งแกร่งขอบเขตจักรพรรดิ!
จักรพรรดิ?
แดนลับจักรพรรดิคุน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง
ในเวลานี้ กู้ชิงเอ๋อกำลังยืนประจันหน้ากับกลุ่มผู้ฝึกตนในชุดคลุมสีน้ำเงิน
ฝ่ายของกู้ชิงเอ๋อมีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน นอกจากศิษย์ของสำนักใจพิสุทธิ์หลายคนแล้ว ยังมีผู้คนจากตำหนักชิงหลวนร่วมอยู่ด้วย
ผู้นำของฝ่ายตำหนักชิงหลวนในครั้งนี้ คืออวี่เหวินเฟย บุตรศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักชิงหลวน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่พยายามตามจีบกู้ชิงเอ๋อ
หลังจากพบเจอกันในวันที่สามของการเข้าสู่แดนลับจักรพรรดิคุน พวกเขาก็เดินทางร่วมกันตั้งแต่นั้นมา
หากให้พูดตามตรง กู้ชิงเอ๋อไม่ได้ต้องการร่วมทางกับใคร เพราะนางอยากสำรวจแดนลับแห่งนี้เพียงลำพังมากกว่า ทว่าอวี่เหวินเฟยผู้นี้ กลับตามติดไม่ยอมปล่อย แถมยังพาผู้ติดตามจากตำหนักชิงหลวนมาด้วย จนไม่สามารถสลัดหลุดไปได้
โดยเขาอ้างว่ามาเพื่อคุ้มครองกู้ชิงเอ๋อ...
ทว่าด้วยพลังของกู้ชิงเอ๋อแล้ว นางจำเป็นต้องให้ใครมาคุ้มครองด้วยหรือ?
แม้อวี่เหวินเฟยจะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักชิงหลวน แต่เขาก็ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักแห่งนั้น พลังของเขาเทียบกับกู้ชิงเอ๋อแล้วยังด้อยกว่าเล็กน้อย
เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น ใครจะคุ้มครองใครกันแน่ยังเป็นเรื่องที่พูดได้ไม่เต็มปาก
ยิ่งไปกว่านั้น กู้ชิงเอ๋อไม่ค่อยชอบใจทั้งตัวอวี่เหวินเฟยและคนของตำหนักชิงหลวนเท่าใดนัก
บางทีอาจเป็นเพราะตำหนักชิงหลวนในฐานะสำนักเก่าแก่ที่มีพลังอำนาจมั่นคงกว่าสำนักใจพิสุทธิ์ จึงทำให้ศิษย์ของตำหนักชิงหลวนแสดงท่าทีหยิ่งยโสออกมาอยู่เสมอ พวกเขามักมองศิษย์จากสำนักใจพิสุทธิ์ด้วยสายตาเหยียดหยามเล็กๆ ซึ่งทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ
ก่อนหน้านี้ กู้ชิงเอ๋อและกลุ่มคนของนางพบแหล่งแร่แห่งหนึ่งที่มีแร่หยกเขียวระดับสามซึ่งมีมูลค่าสูง พวกเขาใช้เวลาร่วมครึ่งวันในการขุดแร่เหล่านั้น ทว่าในขณะที่กำลังจะเสร็จสิ้น กลับมีผู้บุกรุกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
ผู้บุกรุกเหล่านี้ก็คือกลุ่มผู้ฝึกตนในชุดคลุมสีน้ำเงินสี่คน
แม้พวกเขาจะมีจำนวนน้อย แต่ทั้งสี่ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตวิบากกรรม!
หากเปรียบเทียบกับฝ่ายของกู้ชิงเอ๋อแล้ว มีเพียงนางและอวี่เหวินเฟยเท่านั้นที่อยู่ในขอบเขตวิบากกรรม ส่วนที่เหลือไม่ว่าจะเป็นศิษย์จากสำนักใจพิสุทธิ์หรือศิษย์จากตำหนักชิงหลวน ล้วนอยู่เพียงระดับวิญญาณแท้จริง จึงไม่สามารถช่วยอะไรมากนัก
โชคดีที่ทั้งกู้ชิงเอ๋อและอวี่เหวินเฟยเป็นอัจฉริยะผู้มีพลังเหนือกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกัน ดังนั้นหากต้องต่อสู้กันขึ้นมา พวกเขาอาจไม่จำเป็นต้องเกรงกลุ่มคนเหล่านี้
“พวกท่าน ทุกสิ่งย่อมต้องมีลำดับก่อนหลัง แหล่งแร่หยกเขียวแห่งนี้พวกเราใช้เวลาขุดมาตั้งนานแล้ว พวกท่านมาถึงที่นี่ แล้วกลับบอกให้เรามอบแร่ถึงแปดส่วนให้พวกท่าน นี่มัน... ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?” กู้ชิงเอ๋อขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
“หึ! จะลำดับก่อนหลังอะไรกัน ข้ารู้แค่ว่าโลกนี้ ผู้ใดแข็งแกร่งกว่า ผู้นั้นคือความถูกต้อง!” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินที่ดูจะเป็นผู้นำของกลุ่มกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส
จากท่าทางของพวกเขา ดูเหมือนคนอื่นๆ ในกลุ่มนี้จะยอมรับเขาเป็นผู้นำโดยปริยาย
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว กู้ชิงเอ๋อค่อยๆ วางมือลงบนด้ามดาบหยกขาวที่อยู่ตรงเอว
ดูเหมือนว่าการเจรจาจะไร้ประโยชน์เสียแล้ว...
หากต้องยกแร่หยกเขียวที่เหลืออยู่ให้กับพวกนั้นทั้งหมด กู้ชิงเอ๋อก็พอจะยอมรับได้บ้าง เพราะพวกนางได้ขุดไปแล้วเกือบสี่ส่วน ที่เหลืออีกเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น
แต่การจะให้ถึงแปดส่วนนั้น...
มันมากเกินไป!
ฝ่ายตรงข้ามนี่มันเหมือนปล้นชัดๆ แถมยังคิดจะให้พวกตนทำงานให้ฟรีๆ อีกต่างหาก
เมื่อเห็นว่ากู้ชิงเอ๋อและพวกดูเหมือนจะเตรียมพร้อมจะลงมือ ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินก็แสยะยิ้มเย็นออกมา
“ที่ข้าให้พวกเจ้าถึงสองส่วน นั่นก็ถือว่าเป็นความเมตตาอย่างยิ่งแล้ว อย่าหาว่าข้าไม่เตือนพวกเจ้าให้ดีล่ะ อาจารย์ของข้ากำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ อีกไม่นานก็จะมาถึง ที่สำคัญ ท่านเป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตราชา!”
“พอถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่สองส่วนเลย สักส่วนเดียวพวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ไปแม้แต่นิดเดียว!”
“บางที พวกเจ้าทุกคนอาจต้องสังเวยชีวิตเสียด้วยซ้ำ เวลาในการตัดสินใจของพวกเจ้าเหลือไม่มากแล้ว เพราะนิสัยของท่านอาจารย์ข้าน่ะ... ไม่ใจดีเหมือนข้าหรอก...”
ยังไม่ทันที่คำพูดของเขาจะจบลงดี แสงสว่างจ้าสายหนึ่งก็พุ่งมาจากขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินเผยรอยยิ้มบางเบา ราวกับทุกอย่างได้จบลงตามที่เขาคาดหวัง
“มาถึงพอดี ทีนี้ต่อให้พวกเจ้าคิดจะหนี ก็คงไม่ทันแล้วล่ะ”
แสงสว่างเส้นนั้นพุ่งผ่านท้องฟ้ามาอย่างรวดเร็ว และหยุดนิ่งเหนือพื้นที่แห่งนี้
ดวงตาของกู้ชิงเอ๋อและอวี่เหวินเฟยหดเล็กลงพร้อมกัน
“ผู้แข็งแกร่งขอบเขตราชา!”