ตอนที่ 49 ต่อกรคลื่นฝูงอสูร
ตอนที่ 49 ต่อกรคลื่นฝูงอสูร
ฝูงอสูรที่นับไม่ถ้วน เริ่มบุกเข้าสู่ขอบเขตของวิหาร!
และในขณะเดียวกับที่ฝูงอสูรจำนวนมหาศาลเหยียบย่างเข้าสู่เขตของวิหารนั้นเอง ผู้เฝ้าวิหาร “กู้ฉางชิง” ลืมตาขึ้นทันที สายตาที่เย็นยะเยือกพุ่งทะลุผ่านออกมาจากดวงตาคู่นั้น
“กู้ฉางชิง” ขยับแล้ว
ดาบวิญญาณทั้งสี่เล่มที่ปักอยู่ทั้งสี่ทิศลุกโชนขึ้นด้วยแสงสีแดงเจิดจ้า
“กู้ฉางชิง” ก้าวออกไปข้างหน้าเพียงหนึ่งก้าว พร้อมกับฟาดดาบออกไปหนึ่งครั้ง!
แสงดาบรูปเสี้ยวจันทร์พุ่งออกไป ทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า พื้นที่ที่ดาบกวาดผ่านนั้น พังทลายราบคาบ อสูรที่อยู่ในแนวการโจมตีล้วนถูกฉีกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นซากศพที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า
“โฮก——”
อย่างไรก็ตาม จำนวนของฝูงอสูรนั้นมากมายเกินไป ตัวหนึ่งล้มลง อีกตัวหนึ่งก็พุ่งตามมาไม่หยุดหย่อน!
กลิ่นคาวเลือดที่แผ่กระจายออกมา ยิ่งกระตุ้นความบ้าคลั่งของพวกอสูรให้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม คลื่นฝูงอสูรที่บ้าคลั่งอยู่แล้ว ยิ่งดุร้ายเกินควบคุม
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น “กู้ฉางชิง” กลับยังคงไร้ความรู้สึก ดาบยาวในมือฟาดฟันอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่ดาบถูกเหวี่ยงออกไป อสูรนับพันนับหมื่นก็ต้องล้มตาย!
ในเวลานี้ “กู้ฉางชิง” เปรียบดั่งเครื่องจักรสังหารไร้หัวใจ ต่อให้ฝูงอสูรมีมากแค่ไหน เขาก็ยังคงมีคำเดียวในใจเท่านั้น — ฆ่า!
มามากเท่าใด เขาก็ฆ่ามากเท่านั้น!
แม้แต่อสูรราชาระดับราชาลึกลับ หรือแม้แต่ราชาสวรรค์ ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!
ไม่ว่าจะเป็นราชาลึกลับ หรือราชาสวรรค์ เพียงดาบเดียวก็ปลิดชีพลงได้ และไม่ได้ตายเพียงตัวเดียว แต่เป็นการสังหารในคราเดียวเป็นกลุ่มก้อน!
ซากศพของอสูรที่กองทับถมกันจนสูงราวภูเขา ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านหลังวิหารต่างตัวสั่นไปทั้งร่าง
แข็งแกร่งเกินไป!
ผู้เฝ้าวิหารผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป!
ท่ามกลางฝูงอสูรที่ไร้ที่สิ้นสุด เขากลับสามารถกวาดล้างพื้นที่ว่างเปล่าขึ้นมาได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งไม่มีอสูรตัวใดสามารถย่างเท้าเข้ามาได้เลย!
เพียงคนเดียวและดาบหนึ่งเล่ม ฟาดฟันผ่านฝูงอสูร!
ไม่รู้ด้วยเหตุใด ในใจของผู้คนกลับเกิดความรู้สึกขอบคุณผู้เฝ้าวิหารขึ้นมา
แม้เขาจะไร้ซึ่งความรู้สึก ไร้ซึ่งจิตสำนึก และมีหน้าที่เพียงสังหารผู้ที่ล่วงล้ำเข้ามาในขอบเขตของวิหาร
แต่การที่พวกเขายังมีชีวิตรอดอยู่จนถึงตอนนี้ ก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
หากไม่มีผู้เฝ้าวิหาร ในยามนี้พวกเขาคงถูกฝูงอสูรฉีกทึ้งจนไม่เหลือซากไปนานแล้ว!
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ
นั่นหมายความว่า ฝูงอสูร... ผ่านไปแล้ว
ในที่สุด...
พวกเขาก็รอดชีวิต!
บางคนถึงกับหัวเราะออกมาอย่างไร้สติจากความโล่งใจ
สิ่งที่พวกเขาเพิ่งเผชิญมาเมื่อครู่ จะเป็นสิ่งที่พวกเขาจดจำไปชั่วชีวิต
หลายคนต่างหันไปทางผู้เฝ้าวิหาร "กู้ฉางชิง" แล้วค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความขอบคุณ
แม้ “กู้ฉางชิง” จะไม่มีสติรับรู้ใดๆ แต่ความจริงที่ว่าเขาช่วยชีวิตพวกเขาไว้ ก็สมควรที่พวกเขาจะคารวะตอบแทน
และในขณะเดียวกันนั้นเอง ที่ไม่ไกลออกไปนัก ชายหนุ่มในชุดขาวคนหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณนี้
หากมีใครสังเกตเห็น ก็คงจะจำได้ในทันทีว่า ชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้... ก็คือผู้เฝ้าวิหาร “กู้ฉางชิง” ที่ยืนอยู่หน้าวิหารเมื่อครู่
“ฝูงอสูร? หรือเป็นผลมาจากการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทวะที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้?” กู้ฉางชิงมองฝูงอสูรที่เพิ่งผ่านไปพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลายวันที่ผ่านมา กู้ฉางชิงไม่ได้เดินทางออกไปไกลนัก เขายังคงวนเวียนอยู่แถวนี้เพื่อค้นหาสมบัติ
แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่น่าพอใจ ส่วนใหญ่เป็นเพียงสมุนไพรระดับสามหรือสี่ แม้แต่สมุนไพรระดับห้ายังไม่มีให้เห็น
จนกระทั่งไม่นานมานี้ เขารับรู้ได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณระดับราชาเทวะที่ปะทุขึ้นจากที่แห่งนี้ เขาจึงรีบมาดูให้แน่ชัด
แต่เมื่อเข้ามาใกล้จุดที่พลังวิญญาณแผ่ออกมา กู้ฉางชิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกพูดไม่ออก
สถานที่แห่งนี้... มันไม่ใช่ที่ที่เขาเคยผ่านมาแล้วหรอกหรือ?
ไม่ไกลจากจุดนี้ก็คือวิหารโบราณที่เขาเคยเข้าไปสำรวจ ซึ่งภายในไม่มีอะไรเลย ทุกสิ่งล้วนเป็นภาพลวงตา
แต่หลังจากที่เขาจากไป ก็เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ทำไมจึงมีผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทวะมาปรากฏตัว และเกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่?
ด้วยความสงสัย กู้ฉางชิงจึงมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งของวิหารโบราณ
ไม่นานนัก วิหารโบราณก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา
ในขณะนั้นเอง ผู้ฝึกตนที่รอดชีวิตจากคลื่นฝูงอสูรกำลังนั่งพักฟื้นพลังวิญญาณกันอยู่ หลังจากการต่อสู้อันหนักหน่วง พวกเขาเองก็สูญเสียพลังไปไม่น้อย
ทันใดนั้น แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นที่ท้องฟ้า และร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือวิหารโบราณ
ผู้คนทั้งหมดต่างชะงักไปในทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า หัวใจพวกเขาแทบจะหยุดเต้นไปในทันที
ส่วนกู้ฉางชิงที่อยู่กลางอากาศ ก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน...
เพราะสิ่งที่กู้ฉางชิงเห็นอยู่หน้าวิหารโบราณก็คือ... ตัวเขาเอง!
ไม่สิ ให้พูดให้ถูกต้อง มันคือ “กู้ฉางชิง” อีกคนที่มีใบหน้าเหมือนกับเขาทุกประการ
กู้ฉางชิงถึงกับพูดไม่ออก
เขาจำได้ชัดเจนว่าตอนที่เขาเข้ามายังวิหารโบราณแห่งนี้ ผู้เฝ้าประตูไม่ใช่หน้าตาแบบนี้ อีกทั้งยังอ่อนแออย่างน่าสมเพช มีพลังเพียงขั้นราชาลึกลับเท่านั้น
แต่ผู้เฝ้าวิหารที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ กลับมีพลังแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ กะคร่าวๆ แล้วน่าจะมีพลังใกล้เคียงกับขั้นราชาเทวะ หรือประมาณหนึ่งในสิบของพลังแท้จริงของเขาเอง... หรืออาจจะยังไม่ถึงด้วยซ้ำ
การต่อสู้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนของพลังขั้นราชาเทวะ คงเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้เฝ้าวิหารผู้นี้กับเซียวเสินหวังสินะ?
กู้ฉางชิงจ้องมองผู้เฝ้าวิหารตรงหน้าอย่างละเอียดอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน เหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านหลังวิหารซึ่งกำลังพักฟื้นพลัง ต่างพากันอึ้งจนพูดไม่ออก
คนสองคนที่เหมือนกันทุกประการ?
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ กู้ฉางชิงที่มาใหม่ผู้นี้คือ “มนุษย์มีชีวิต” ส่วนผู้เฝ้าวิหารที่ยืนอยู่หน้าวิหารนั้น ไร้ซึ่งพลังชีวิตโดยสิ้นเชิง และไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความสงสัยและสับสน
“ผู้อาวุโสสูงสุด?”
ในขณะนั้นเอง อาวุโสที่สามจากสำนักใจพิสุทธิ์ ซึ่งยืนอยู่ข้างอาวุโสเก้าจากตำหนักชิงหลวน ก็เอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง
เขาแน่ใจว่า ผู้เฝ้าวิหารตรงหน้าคือร่างจำลองบางอย่าง แต่กู้ฉางชิงที่ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้านี้... คือผู้อาวุโสสูงสุดตัวจริงของสำนักใจพิสุทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย!
นี่ครั้งนี้เป็นเรื่องจริงแน่นอน!
เมื่อได้ยินเสียงเรียก กู้ฉางชิงละสายตาจากผู้เฝ้าวิหาร มองไปยังอาวุโสที่สามของสำนักใจพิสุทธิ์ที่อยู่ด้านล่าง
“อาวุโสที่สาม? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักใจพิสุทธิ์ กู้ฉางชิงย่อมรู้จักเหล่าอาวุโสทุกคนดี และเขาจำได้ว่านี่คืออาวุโสที่สามแห่งสำนักของตน
นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาเข้ามาในแดนลับจักรพรรดิคุน ที่เขาได้พบกับคนรู้จัก
แดนลับแห่งนี้กว้างใหญ่เกินกว่าที่เขาจะคาดคิด เขาเคยคิดว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้พบกับผู้คนที่คุ้นเคยเลยจนกระทั่งแดนลับปิดตัวลง แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะได้พบกับอาวุโสที่สามในตอนนี้
“ผู้อาวุโสสูงสุด จริงๆ เป็นท่านหรือ!?”
อาวุโสที่สามเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ราวกับทั้งตกตะลึงและตื่นเต้น
ส่วนเหล่าศิษย์จากสำนักใจพิสุทธิ์ที่อยู่ด้านหลัง ต่างมองไปยังกู้ฉางชิงบนท้องฟ้าด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสงสัยและความอยากรู้อยากเห็น
เหล่าศิษย์ใหม่ของสำนักใจพิสุทธิ์ที่อยู่ตรงนี้ ล้วนไม่เคยพบเห็นกู้ฉางชิงมาก่อน แต่พวกเขารู้มาว่า สำนักใจพิสุทธิ์ยังมีผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ผู้หนึ่ง ทว่าบุคคลผู้นั้นแทบจะมีตัวตนเพียงแค่ในตำนานเท่านั้น
ไม่คาดคิดว่า วันนี้พวกเขาจะได้พบผู้อาวุโสสูงสุดในแดนลับแห่งนี้
ความสงสัยใคร่รู้จึงเอ่อล้นขึ้นในใจของทุกคน
“เป็นเช่นนี้เอง พวกเรามาที่นี่ได้ไม่นานนัก วิหารโบราณแห่งนี้แผ่กระจายคลื่นพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งออกมา ดูเหมือนภายในจะมีสมบัติล้ำค่าอยู่ แต่ทว่ามีผู้เฝ้าอยู่... ผู้เฝ้าผู้นั้นก็คือคนผู้นี้ ที่มีใบหน้าเหมือนกับผู้อาวุโสสูงสุดทุกประการ”
อาวุโสที่สามชี้ไปยังผู้เฝ้าวิหารที่ยังคงนั่งหลับตาสงบนิ่งอยู่ตรงประตู
อาวุโสที่สามรีบเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กู้ฉางชิงฟัง
“เอ่อ...”
กู้ฉางชิงถึงกับพูดไม่ออกเมื่อฟังจบ รู้สึกได้ทันทีว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เกิดจากความเข้าใจผิดล้วนๆ
“ข้าเคยเข้าไปในวิหารแห่งนี้มาแล้ว ภายในไม่มีอะไรเลย...”
คำพูดของกู้ฉางชิงทำให้ผู้คนที่ยืนฟังอยู่ต่างตกตะลึง
ตายไปมากมายเพราะสมบัติล้ำค่าในวิหาร แต่แท้จริงแล้วภายในกลับไม่มีอะไรเลยอย่างนั้นหรือ?
ถ้าคนเหล่านั้นรู้ว่าพวกเขาเสียชีวิตเพราะไขว่คว้าหาสมบัติที่ไม่มีอยู่จริง คงไม่อาจตายตาหลับได้แน่ๆ
“อะไรนะ?”
“ท่านเข้าไปแล้ว?”
“ไม่มีสมบัติใดเลย?”
คำพูดของกู้ฉางชิงทำให้ทุกคนตกใจและไม่อยากเชื่อ
“ท่านผู้อาวุโส ท่าน... ท่านเข้าไปได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
พวกเขาทุกคนล้วนเห็นความแข็งแกร่งของผู้เฝ้าวิหารมาแล้วกับตา แล้วกู้ฉางชิงเข้าไปได้อย่างไร?
“แน่นอน ข้าบอกแล้วว่าภายในไม่มีอะไรเลย หากไม่เชื่อ พวกเจ้าก็ลองเข้าไปดูเองสิ” กู้ฉางชิงกล่าวอย่างสบายๆ ก่อนจะก้าวเดินไปยังวิหาร
“ท่านผู้อาวุโส โปรดหยุดก่อน!”
“ผู้อาวุโสสูงสุด ท่านเข้าไปไม่ได้!”
เสียงเตือนดังขึ้นพร้อมๆ กันจากทุกทิศทาง ทุกคนต่างพยายามขวางทางกู้ฉางชิงเอาไว้