56 - เล่านิทาน
หลังจากวันหยุดพักผ่อน ชีวิตกลับคืนสู่ความสงบสุข จูผิงอัน ขี่หลังวัวแก่พร้อมสะพายกระเป๋าหนังสือมุ่งหน้าไปสำนักศึกษา โดยมีจูผิงจวิ้น ที่ไม่เต็มใจตามหลังมาด้วย
ระหว่างทางที่ผ่านบ้านเล็กๆ ที่มีประตูไม้ เจ้าหมาสีเหลืองตัวใหญ่ก็โผล่หัวออกมาจากประตูและเห่าใส่พวกเขา
“เนื้อบนฟ้าเป็นเนื้อมังกร ส่วนเนื้อบนดินคือเนื้อสุนัข” นี่คือสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของจูผิงอันเมื่อเห็นเจ้าหมาตัวนี้ ต้องยกโทษให้กับความตรงไปตรงมาของคนรักการกินอย่างเขา
“เห่าไปเถอะ เห่าอีกทีจะส่งไปเรียนประถมซะเลย!” จูผิงจวิ้นยกกระเป๋าหนังสือขึ้นพร้อมพูดข่มขู่เจ้าหมา
แม้เจ้าหมาเหลืองจะฟังภาษาคนไม่ออก แต่มันก็รู้ว่าท่าทางแยกเขี้ยวของจูผิงจวิ้นไม่ได้ชมว่ามันตัวโตสง่างามหรือขนสวยแต่อย่างใด ดังนั้นมันจึงเห่าลั่นก่อนจะพุ่งเข้าใส่พวกเขา
จูผิงจวิ้นตกใจจนล้มก้นกระแทกพื้น โชคดีที่เจ้าหมาเหลืองถูกล่ามไว้ ไม่เช่นนั้นคงได้ฝากรอย ไว้บนตัวจูผิงจวิ้นแน่
“พี่จวิ้น เป็นอะไรไหม?” จูผิงอันที่อยู่บนหลังวัวคิดจะลงมาช่วย เพราะเมื่อครู่ดูเหมือนจูผิงจวิ้นล้มแรงทีเดียว
แต่ยังไม่ทันที่จูผิงอันจะลงจากหลังวัว จูผิงจวิ้นก็ลุกขึ้นเอง ปัดดินออกจากตัวแล้วพูดอย่างขุ่นเคืองว่า "ทำไมไม่ล้มตายไปเลย จะได้ไม่ต้องไปเรียน!"
เมื่อไปถึงสำนักศึกษา เด็กๆ ในชั้นที่ไม่ได้เจอกันสองวันต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น โดยเฉพาะหลี่เสี่ยวเปา เด็กอ้วนที่นำขนมจากบ้านมาแบ่งปันกับจูผิงอันและเด็กๆ อีกหลายคน พลางเล่าโม้เรื่องที่ตัวเองตกปลาได้เยอะแค่ไหนและปลาตัวใหญ่เพียงใด
การสอนของอาจารย์ในวันนี้ก็เหมือนทุกครั้ง คือสอน สามอักษร และ นามสกุลร้อยตระกูล เพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้ตัวอักษร นอกจากนี้อาจารย์ยังสละเวลาส่วนตัวมาสอน ตำราขงจื๊อ ให้จูผิงอันอีกสองสามประโยค
ระหว่างพักกลางวัน คุณหนูเจ้าอารมณ์ หลี่ซู ที่เคยโดนจูผิงอันตี พร้อมกับสาวใช้จอมซื่อบื้อ
ฮวาเอ๋อร์ ก็ปรากฏตัวตรงหน้าจูผิงอันอีกครั้ง
พวกนางมาในชุดใหม่และทรงผมใหม่ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยคือท่าทีหยิ่งทะนงและอวดดีเหมือนเคย
ฮวาเอ๋อร์สาวใช้ตัวน้อย เมื่อเห็นจูผิงอันจูงวัวแก่มาจากเนินเขา ก็ส่งสายตาอาฆาตใส่เขาอย่างชัดเจน ราวกับยังโกรธเรื่องที่เคยโดนตี
“สวัสดีตอนเช้า” จูผิงอันเดินผ่านพวกนางไปอย่างไม่ใส่ใจ ทักทายสั้นๆ ก่อนจะผูกวัวไว้กับต้นไม้ริมแม่น้ำ
“เช้าบ้าอะไรล่ะ พวกเรารอเจ้าตั้งนานแล้ว!” หลี่ซูพูดเสียงแข็งใส่เขาอย่างหัวเสีย
“โอ้ ขอโทษที วันนี้อาจารย์เลิกช้ากว่าปกติ” จูผิงอันพยักหน้าอย่างรู้สึกผิด
“นี่” ฮวาเอ๋อร์ส่งกล่องข้าวให้จูผิงอัน แม้จะยังไม่พอใจ แต่แววตาของเขาก็มีความคาดหวังบางอย่างแอบแฝง แม้มันจะวูบไหวเพียงชั่วครู่ แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของจูผิงอัน
จูผิงอันรับกล่องข้าวแล้ววางมันไว้บนก้อนหิน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ข้าคิดอยู่นานเลยนะ เอ่อ เมื่อวานไม่ควรจะตีพวกเจ้าเลยจริงๆ ผู้หญิงน่ะ ไม่ควรให้ใครมาตีที่ก้นง่ายๆ...”
ทันทีที่พูดถึงเรื่องตี หลี่ซูและฮวาเอ๋อร์ก็มองจูผิงอันด้วยสายตาโกรธจัด โดยเฉพาะหลี่ซูที่ดูเหมือนอยากจะกระโจนเข้ามากัดใบหน้ากลมๆ ของเขา
“ดังนั้น... เอ่อ ยังไงข้าก็ผิดอยู่ดี วันนี้ฉันเลยจะเล่าเรื่องสนุกๆ ให้ฟังเป็นพิเศษละกัน” จูผิงอันนั่งลงบนก้อนหิน ถือกล่องข้าวในมือ พร้อมแสดงท่าทีจริงใจ
“แค่กๆ ไม่ต้องใส่ใจมากก็ได้ พวกเราก็ผิดเหมือนกัน เจ้ารีบกินข้าวแล้วเล่าเรื่องให้พวกเราฟังเร็วๆ เถอะ!” หลี่ซูพูดอย่างทำเป็นใจกว้าง แต่ยังคอยเร่งให้จูผิงอันรีบกินข้าวอยู่ดี
"เอาล่ะ ถือว่าจ้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้วนะ แต่พวกเจ้าไม่ไขว่คว้าเอง อย่ามาโทษข้าก็แล้วกัน" จูผิงอันคิดในใจพร้อมรอยยิ้มซื่อๆ
"ก่อนจะเล่าเรื่อง วีรบุรุษยิงอินทรี (มังกรหยก) ข้าจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับการปีนเขาให้ฟังก่อน" จูผิงอันพูดพลางยิ้มกว้าง
เด็กสาวทั้งสองรีบเข้าสู่โหมดตั้งใจฟังเรื่อง พร้อมนั่งเรียงกันกินขนมอย่างกระตือรือร้น
"เรื่องนี้เกิดขึ้นแถวๆ พวกเรานี่แหละ ภูเขาโหวหนิว ที่อยู่ด้านหลังของพวกเราสูงใหญ่เหลือเกิน มีตำนานเล่าว่าบนยอดเขามีเห็ดหลินจือพันปีสิบดอก ที่สามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด" จูผิงอันเล่าด้วยน้ำเสียงสดใส
"โกหกน่า! ไม่มีสมุนไพรไหนรักษาได้ทุกโรคหรอก" คุณหนูหลี่ซูเจ้าอารมณ์เบ้ปากอย่างไม่เชื่อ
"ก็ถึงเรียกว่าตำนานไง" จูผิงอันตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ "ที่เชิงเขาโหวหนิวมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่รักกันมาก พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก และกำลังจะได้แต่งงานกัน แต่จู่ๆ ผู้หญิงก็ล้มป่วยด้วยโรคประหลาดที่รักษาไม่หาย ดังนั้นฝ่ายชายจึงตัดสินใจจะปีนเขาไปเก็บเห็ดหลินจือพันปีมารักษานาง ส่วนฝ่ายหญิงก็ไม่ยอมให้เขาไปคนเดียว จึงขอตามไปด้วย"
"พอดีว่ามีคนแถวๆ นั้นที่อยากไปเก็บเห็ดหลินจือเหมือนกัน จึงรวมกลุ่มกันไปสิบกว่าคน แต่เมื่อพวกเขามาถึงเชิงเขาและเตรียมจะปีนขึ้นไป ทันใดนั้นสภาพอากาศก็เปลี่ยนแปลงกะทันหัน ฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่พวกเขายังยืนยันจะปีนขึ้นไป จึงทิ้งฝ่ายหญิงไว้ที่กระโจมที่ตั้งไว้พักที่เชิงเขา" จูผิงอันเล่าด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจริงจังขึ้น
เด็กสาวทั้งสองฟังอย่างตั้งใจ ขณะที่ยังเคี้ยวขนมอยู่ในปาก
"แต่สามวันผ่านไปก็ยังไม่มีใครกลับลงมา ฝ่ายหญิงเริ่มกังวล คิดว่าอาจเป็นเพราะฝนตกหนัก นางรอแล้วรอเล่า จนกระทั่งวันที่เจ็ด ในที่สุดคนอื่นๆ ก็กลับมา แต่ชายหนุ่มคนรักของนางกลับไม่อยู่ในกลุ่มนั้น"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เด็กสาวทั้งสองถึงกับหยุดเคี้ยวขนม มองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น
"คนที่กลับมาบอกนางว่า ในวันแรกที่ปีนเขา คนรักของนางประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตแล้ว! พวกเขากลับมาในวันเผาเพื่อรอให้เขากลับมาเจอนางอีกครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงล้อมวงกัน และให้นางอยู่ตรงกลางของวงกลม..." จูผิงอันลดเสียงลง ทำให้บรรยากาศเริ่มลึกลับและน่ากลัว
"...จนกระทั่งเวลาเที่ยงคืน ทันใดนั้นคนรักของนางก็ปรากฏตัวขึ้น! เขาเปื้อนเลือดทั้งตัวและพุ่งเข้ามาจับตัวนาง พานางวิ่งออกไป ฝ่ายหญิงร้องกรีดลั่น พยายามดิ้นรนเต็มที่ และในขณะนั้น คนรักของนางบอกว่า..." จูผิงอันหยุดเล่าชั่วคราว ทำเสียงต่ำลงอย่างจงใจให้ฟังน่ากลัว
"ในวันแรกที่ปีนเขาเกิดดินถล่ม ฝนที่ตกหนักทำให้หินพังทลาย ทุกคนตายหมด... มีแค่ฉันที่ยังมีชีวิตรอด..."
"แล้วพวกเจ้าจะเชื่อใคร?" จูผิงอันถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
"กรี๊ด!"
เด็กสาวทั้งสองตกใจสุดขีด ร้องลั่นก่อนจะโผเข้ากอดกันแน่นเหมือนหนูตัวน้อยสองตัว ดูน่ารักน่าเอ็นดู
ในขณะที่ทั้งสองตกใจจนหน้าซีดเผือด จูผิงอันกลับหัวเราะร่าอย่างไร้เดียงสา เพราะนี่เป็นเพียงเรื่องเล่าผีระดับพื้นฐาน เขายังไม่ได้เล่าเรื่อง ด้ายแดง หรือ รถเมล์ยามเที่ยงคืน ให้ฟังเลย
หลังจากร้องกรี๊ดอยู่พักใหญ่ ทั้งสองก็เริ่มรู้สึกตัว เมื่อมองไปที่จูผิงอันที่ยืนหัวเราะอยู่อย่างมีเลศนัย ก็รู้ทันทีว่าเจ้าตัวอ้วนคนนี้จงใจแกล้งพวกนาง
"จูผิงอัน เจ้ามันเลว!" หลี่ซูพูดพลางเตะเขาอย่างไม่ไว้หน้า
แต่จูผิงอันหลบได้อย่างง่ายดาย พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ "ก็พวกเจ้าเล่นกลในกล่องข้าวก่อนเองนี่"
"เจ้า... เจ้ารู้ได้ยังไง?" ฮวาเอ๋อร์ถามด้วยความสงสัย "เจ้ายังไม่ได้เปิดกล่องข้าวเลยนะ"
"เฮ้อ บ้าจริง! ฮวาเอ๋อร์!" หลี่ซูหน้าดำคล้ำขึ้นทันที
เมื่อได้ยินแบบนั้น จูผิงอันยิ้มกว้าง พลางยักไหล่ "ตอนแรกข้ายังไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้มั่นใจแล้ว"
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางการหยอกล้อกับสาวน้อยและการเรียนในชั้นเรียน จนในที่สุดก็ถึงวันสำคัญที่สองหมู่บ้านต้องมาแข่งขันกันแย่งน้ำ อาจารย์ในสำนักศึกษาจึงประกาศหยุดเรียนหนึ่งวัน