ตอนที่ 35 ตระกูลเจียงเคลื่อนไหว
ตอนที่ 35 ตระกูลเจียงเคลื่อนไหว
ในเวลาเดียวกัน ตระกูลเจียงก็เรียกประชุมผู้ที่จะเดินทางไปยังแดนลับจักรพรรดิคุน เพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง
ครั้งนี้ตระกูลเจียงให้ความสำคัญกับแดนลับจักรพรรดิคุนอย่างมาก ถึงขั้นที่เจียงเทียนหวางต้องออกมาด้วยตัวเอง
เจียงเทียนหวางบรรลุขอบเขตราชาสวรรค์ระดับสัมบูรณ์มานานหลายสิบปีแล้ว แต่ยังไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่ระดับราชาเทวะได้ แม้จะปิดด่านฝึกตนมาหลายปี แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าในการบรรลุขั้นต่อไป
เมื่อแดนลับจักรพรรดิคุนเปิด เจียงเทียนหวางย่อมไม่พลาดโอกาสนี้
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเข้าแดนลับจักรพรรดิคุน ครั้งก่อนที่แดนนี้เปิด เขาเองก็เคยเข้าไป และการที่เขากลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชาสวรรค์ก็มีความเกี่ยวข้องกับแดนลับนี้
หลังกลับมาจากแดนลับจักรพรรดิคุนครั้งก่อน เขาสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตราชาสวรรค์ได้สำเร็จ
ในกลุ่มเยาวชนของตระกูลเจียงครั้งนี้ มีเจียงไป๋เวยเป็นผู้นำ
ปัจจุบันเจียงไป๋เวยเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งในหมู่เยาวชนแห่งจักรวรรดิฮั่นฉิน ไม่มีใครเทียบได้
พลังฝึกตนของเจียงไป๋เวยอยู่ในขอบเขตวิบากกรรมขั้นห้า หลังจากปลุกพลังพิเศษในตัวเมื่อสองปีก่อน นางสามารถทะลวงขอบเขตหลายขั้นอย่างรวดเร็ว จนก้าวข้ามความสำเร็จในอดีตของเจียงเหลียนซิน
สำหรับเจียงไป๋เวย นางแทบจะลืมไปแล้วว่าเคยมีพี่สาวต่างมารดาชื่อเจียงเหลียนซิน
ตั้งแต่เจียงเหลียนซินแต่งงานกับตระกูลกู้ พวกนางก็ขาดการติดต่อกันโดยสิ้นเชิง แม้แต่บิดาก็ไม่เคยเอ่ยถึงเจียงเหลียนซินอีก เหมือนนางไม่เคยมีตัวตน
แม้เจียงเหลียนซินจะอาศัยอยู่ในเมืองชายแดนเล็ก ๆ แห่งจักรวรรดิฮั่นฉิน แต่นางคงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเจียงไป๋เวยไม่น้อย
เพราะในช่วงสองปีที่ผ่านมา เจียงไป๋เวยมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก นางเอาชนะอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของจักรวรรดิฮั่นฉินทั้งหมด
เมื่อผู้คนพูดถึงตระกูลเจียง ชื่อแรกที่นึกถึงคือเจียงเทียนหวาง และชื่อที่สองคือเจียงไป๋เวย
ส่วนเจียงเหลียนซิน?
ยังมีใครจำนางได้อีกหรือ?
“พอเถอะ คิดไปก็เปล่าประโยชน์ ข้ากับนางไม่ได้อยู่ในโลกใบเดียวกันอีกแล้ว”
เจียงไป๋เวยยิ้มบาง ๆ แล้วละทิ้งความคิดนั้นไป
ทะเลใต้แห่งหมื่นอสูร สำนักใจพิสุทธิ์
สำนักใจพิสุทธิ์เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปแดนลับจักรพรรดิคุน
เรือบินขนาดใหญ่ลำหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูสำนัก โดยมีธงของตำหนักชิงหลวนโบกสะบัดบนเรือ
หน้าประตูสำนักใจพิสุทธิ์ไม่ได้มีเพียงสมาชิกของสำนัก แต่ยังมีเหล่าศิษย์และอาวุโสจากตำหนักชิงหลวนอยู่ด้วย
ตั้งแต่สำนักใจพิสุทธิ์ได้รับการยกระดับเป็นพลังอำนาจระดับราชา ตำหนักชิงหลวนก็แสดงไมตรีจิตและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับสำนักใจพิสุทธิ์
ความสัมพันธ์ระหว่างสองพลังอำนาจระดับราชาเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา การแลกเปลี่ยนระหว่างศิษย์ทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
กู้ชิงเอ๋อบรรลุขอบเขตวิบากกรรม ทำให้นางกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงในกลุ่มเยาวชนของทะเลใต้ ด้วยความงามที่สะกดทุกสายตาราวกับเทพธิดา ทำให้มีผู้คนมากมายแวะเวียนมาขอความรักจากนาง แต่จนถึงตอนนี้กู้ชิงเอ๋อยังไม่เคยแสดงความรู้สึกตอบกลับผู้ใดเลย
ในใจของกู้ชิงเอ๋อ ผู้ที่มาแสวงหาความรักเหล่านี้ ไม่มีใครเทียบได้แม้แต่เสี้ยวเดียวกับพี่ฉางชิงของนาง
การไม่ได้พบกู้ฉางชิงมาสองปี ทำให้นางคิดถึงเขามาก
ตลอดสองปีที่ผ่านมา นางมุ่งมั่นฝึกฝนโดยไม่เคยผ่อนคลาย เพราะนางไม่อยากทำให้พี่ฉางชิงผิดหวัง สิ่งที่นางปรารถนาที่สุดคือการได้รับคำชมจากเขาเมื่อได้พบกันอีกครั้ง
“คุณหนูกู้กำลังคิดอะไรอยู่หรือ เรากำลังจะออกเดินทางแล้ว ไปกันเถอะ”
บุรุษหนุ่มผู้สง่างามที่อยู่ข้างกู้ชิงเอ๋อเอ่ยขึ้น เขาไม่ใช่ศิษย์ของสำนักใจพิสุทธิ์ แต่เป็นศิษย์ของตำหนักชิงหลวน
ชายหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่าอวี่เหวินเฟย หนึ่งในศิษย์เอกของตำหนักชิงหลวน และยังเป็นหนึ่งในผู้ที่พยายามตามจีบกู้ชิงเอ๋อ
“อืม”
กู้ชิงเอ๋อพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเรือบิน
เรือบินลำนี้เป็นของตำหนักชิงหลวน โดยทั้งสองสำนักได้ตกลงกันที่จะเดินทางไปยังแดนลับจักรพรรดิคุนพร้อมกันเพื่อช่วยเหลือกันระหว่างทาง
เหล่าศิษย์ทั้งสองฝ่ายได้รับคำสั่งว่าหากพบกันภายในแดนลับ ควรร่วมมือกันสำรวจ
ศิษย์ของสำนักใจพิสุทธิ์ต่างยินดีในความร่วมมือนี้ แต่ศิษย์ของตำหนักชิงหลวนกลับมีความคิดที่ต่างออกไป
สำหรับตำหนักชิงหลวนที่เป็นพลังอำนาจระดับราชาที่เก่าแก่กว่า ความสามารถของศิษย์และอาวุโสนั้นเหนือกว่าสำนักใจพิสุทธิ์ที่เพิ่งเลื่อนระดับขึ้นมา ศิษย์ของตำหนักชิงหลวนบางคนจึงมองว่าการเดินทางร่วมกับสำนักใจพิสุทธิ์อาจเป็นการสร้างภาระ
แต่หากเป็นกู้ชิงเอ๋อ ศิษย์ชายของตำหนักชิงหลวนกลับเต็มใจที่จะช่วยเหลือ
แม้แต่กับน้องสาวของนางก็เช่นกัน
หลายวันผ่านไป
เมื่อกู้ฉางชิงนำพาตระกูลกู้เดินทางผ่านสำนักใจพิสุทธิ์ เขาใช้พลังจิตสำรวจและพบว่าสำนักใจพิสุทธิ์ร้างผู้คนไปแล้ว ทั้งเจ้าสำนักและกู้ชิงเอ๋อ รวมถึงคนอื่น ๆ ต่างออกเดินทางไปยังแดนลับจักรพรรดิคุนก่อนหน้าแล้ว
ดังนั้นกู้ฉางชิงจึงไม่ได้แวะที่สำนักใจพิสุทธิ์ และเร่งเดินทางต่อไปยังทิศทางของทะเลด้านใน
ทางเข้าแดนลับจักรพรรดิคุนมีทั้งหมดสี่แห่ง ตั้งอยู่บริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างทะเลด้านนอกและทะเลด้านใน
บริเวณใกล้ทะเลด้านใน มีเกาะหนึ่งชื่อเกาะม่านสวรรค์
ในการเดินทางจากทะเลใต้ไปยังแดนลับจักรพรรดิคุน จำเป็นต้องผ่านเกาะม่านสวรรค์แห่งนี้
เมื่อเดินทางถึงเกาะม่านสวรรค์ แสดงว่าพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากทางเข้าแดนลับจักรพรรดิคุน และในขณะเดียวกันก็อยู่ไม่ไกลจากทะเลด้านในเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ สัตว์อสูรในบริเวณนี้จึงมีพลังที่แข็งแกร่งมาก และไม่อาจเทียบได้กับพื้นที่อื่น ๆ
หากเป็นกลุ่มอำนาจใหญ่ เช่น สำนักใจพิสุทธิ์ หรือตำหนักชิงหลวนซึ่งเป็นพลังระดับราชา และมีผู้แข็งแกร่งขอบเขตราชาคอยคุ้มกัน การข้ามผ่านทะเลอันตรายนี้เพื่อไปยังแดนลับจักรพรรดิคุนย่อมเป็นเรื่องไม่ยาก
แต่...
ในทะเลใต้แห่งหมื่นอสูร กลุ่มอำนาจระดับราชามีเพียงสิบกว่าแห่งเท่านั้น
สำหรับกลุ่มที่ไม่มีผู้แข็งแกร่งขอบเขตราชาคุ้มกัน การเดินทางผ่านทะเลอันตรายนี้ย่อมไม่ปลอดภัย
แม้จะมีผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งราชา แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะล้มตาย
ส่วนผู้ที่มีพลังต่ำกว่าครึ่งราชา เช่น ผู้ที่อยู่ในระดับวิญญาณแท้จริง หรือขอบเขตวิบากกรรม ส่วนใหญ่จะหยุดพักที่เกาะม่านสวรรค์ก่อน เพื่อรวมกลุ่มกับผู้อื่นหรือหาผู้แข็งแกร่งมาคุ้มกัน การเดินทางร่วมทีมแบบนี้จะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตเมื่อข้ามทะเลอันตรายและไปถึงแดนลับจักรพรรดิคุน
ผู้แข็งแกร่งขอบเขตราชาอาจไม่สนใจรับศิษย์พลังต่ำร่วมทาง แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งราชา บางคนก็ยินดีพาศิษย์ที่มีพลังต่ำกว่าไปร่วมทาง เพื่อแลกกับค่าตอบแทนเป็นหินวิญญาณ ซึ่งสำหรับพวกเขาอาจดูเล็กน้อย แต่สำหรับผู้ฝึกตนอิสระหรือศิษย์จากกลุ่มเล็ก ๆ นั้นถือว่าเป็นจำนวนมาก
เมื่อฟ้าสาง
ท่าเรือของเกาะม่านสวรรค์เต็มไปด้วยความคึกคัก
“เรือทะเลแสงอรุณ มีครึ่งราชาคอยคุ้มกัน ค่าโดยสารหินวิญญาณหกร้อยก้อน ใครมาก่อนมีสิทธิ์ก่อน เหลือที่นั่งไม่มากแล้ว”
“พ่อหนุ่ม ดูเหมือนเจ้าจะมีพลังไม่น้อย สนใจเข้าร่วมทีมของเราหรือไม่? ทีมของเราล้วนแต่มีผู้แข็งแกร่งขอบเขตวิบากกรรม”
“ว่าไงแม่สาวน้อย ตัดสินใจหรือยัง ค่าโดยสารแค่ห้าร้อยหินวิญญาณ มีครึ่งราชาคุ้มกัน รับรองปลอดภัย”
ที่ท่าเรือของเกาะม่านสวรรค์ มีหญิงสาวในชุดสีม่วงยืนถือถุงหินวิญญาณด้วยท่าทีลังเล นางดูเหมือนจะมีอายุราวสามสิบ
หากกู้ฉางชิงอยู่ที่นี่ เขาคงจำได้ทันทีว่าหญิงสาวคนนี้คือมู่จื่ออี้ ซึ่งเคยพบที่งานประมูลบนเกาะไห่เยว่เมื่อสองปีก่อน
แต่ในเวลานี้ มู่จื่ออี้เปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อเทียบกับสองปีก่อน นางดูอิดโรยและสูญเสียความสง่างามที่เคยมี
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากประสบการณ์ที่นางต้องเผชิญในช่วงสองปีที่ผ่านมา
นับตั้งแต่เหตุการณ์บนเกาะไห่เยว่ผ่านไป มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น
จากตระกูลใหญ่ทั้งห้าบนเกาะไห่เยว่ ตอนนี้เหลือเพียงสี่ตระกูลเท่านั้น ตระกูลโม่ซึ่งเคยมีปัญหากับกู้ฉางชิงได้ถูกทำลาย
ผู้ที่ทำลายตระกูลโม่ไม่ใช่กลุ่มอำนาจจากภายนอก แต่เป็นตระกูลต้วนซึ่งเดิมทีเป็นตระกูลที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาห้าตระกูล
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากที่บรรพบุรุษของตระกูลต้วนกลับมาจากการเดินทาง พลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อจนถึงระดับครึ่งราชาสัมบูรณ์
เมื่อมีผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งราชาสัมบูรณ์ ตระกูลต้วนจึงไม่พอใจกับการแบ่งผลประโยชน์จากหอประมูลบนเกาะไห่เยว่ และต้องการครอบครองแต่เพียงผู้เดียว
ตระกูลที่เหลืออีกสี่ตระกูลย่อมไม่ยอม พวกเขาร่วมมือกันเพื่อต่อต้านตระกูลต้วน
แต่…ระดับครึ่งราชาสัมบูรณ์ก็คือระดับครึ่งราชาสัมบูรณ์ ต่อให้ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ที่เหลือรวมพลังกัน ก็ยังไม่อาจต้านทานได้ ในที่สุดตระกูลโม่ก็ถูกทำลายจนสิ้น
ส่วนตระกูลมู่ของนาง ตอนนี้ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม เสี่ยงต่อการล่มสลายเช่นกัน
ในตระกูลมู่ ผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งราชาสองคน ตอนนี้เหลือเพียงอาวุโสหยินที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนสมาชิกระดับสูงในตระกูลก็เสียชีวิตไปเกือบครึ่ง
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การร่วมมือของเหล่าครึ่งราชาจากตระกูลใหญ่ทั้งสี่ บรรพบุรุษระดับครึ่งราชาสัมบูรณ์ของตระกูลต้วนก็ได้รับบาดเจ็บด้วย
บรรพบุรุษของตระกูลต้วนที่เพิ่งบรรลุระดับครึ่งราชาสัมบูรณ์นั้นรีบร้อนเกินไป หากเขารอให้พลังของตนมั่นคงก่อนค่อยลงมือกับตระกูลอื่น คงไม่บาดเจ็บเช่นนี้
ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งราชาที่บาดเจ็บ สถานการณ์จึงเข้าสู่ภาวะชะงักงัน
อนาคตขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายใดจะฟื้นตัวได้ก่อน
เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของอาวุโสหยิน ตระกูลมู่แทบจะต้องเททรัพยากรทั้งหมดที่มี
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหินวิญญาณเพียงห้าร้อยก้อนจึงเป็นเรื่องยากสำหรับมู่จื่ออี้
สถานการณ์ในปัจจุบันแตกต่างจากเมื่อก่อน ห้าร้อยหินวิญญาณเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยสำหรับนาง
การเดินทางของมู่จื่ออี้ไปยังแดนลับจักรพรรดิคุนครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของอาวุโสหยิน และเพื่อปกป้องการอยู่รอดของตระกูล
“ห้าร้อยหินวิญญาณมันมากไป ลดให้หน่อยได้หรือไม่?”
มู่จื่ออี้พยายามเจรจาราคาต่อ
นางมีพลังต่ำ หากต้องเดินทางคนเดียวผ่านทะเลอันตรายข้างหน้า ความตายแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่หากสามารถเดินทางร่วมกับผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งราชา ความปลอดภัยย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“ลดให้ได้ แต่…” ชายผู้นั้นกวาดสายตามองมู่จื่ออี้ด้วยแววตาโลมเลีย ริมฝีปากเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แม้ว่านางจะดูอิดโรย แต่รูปร่างและความงดงามยังคงดึงดูดใจ
ความมีเสน่ห์ตามธรรมชาติของนางทำให้ชายผู้นั้นรู้สึกหลงใหล
มู่จื่ออี้ขมวดคิ้วและเตรียมตัวเดินจากไป
ทันใดนั้น เส้นแสงหนึ่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ทุกคนในบริเวณนั้นเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตื่นเต้น
“ผู้แข็งแกร่งขอบเขตราชา!”
“ผู้แข็งแกร่งท่านนี้ยังเยาว์มาก…”
การเหาะเหินกลางอากาศคือสัญลักษณ์ของผู้ที่อยู่ในขอบเขตราชา
คนทั้งหมดในที่นั้นต่างรู้สึกอิจฉา
ผู้ที่อยู่ในระดับนี้สามารถเดินทางผ่านทะเลอันตรายโดยไม่ต้องสนใจความเสี่ยงในพื้นที่นี้ เพราะที่นี่ไม่ใช่เขตทะเลด้านในโดยสมบูรณ์
มู่จื่ออี้เองก็มองเห็นเส้นแสงนั้น
เมื่อเงยหน้าขึ้นและมองเห็นใบหน้าของผู้ที่อยู่ในเส้นแสง นางถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ
“กู้… ท่านชายกู้?”
บนท้องฟ้า กู้ฉางชิงรู้สึกได้ถึงพลังที่คุ้นเคยบางอย่างมาจากเบื้องล่าง เขาจึงก้มลงมอง
เมื่อสายตาทั้งสองประสานกัน กู้ฉางชิงก็จำมู่จื่ออี้ได้
หญิงสาวที่เคยเป็นผู้ดูแลการประมูลในหอประมูลไห่เยว่
เดิมทีกู้ฉางชิงไม่ได้ตั้งใจจะแวะพักที่เกาะม่านสวรรค์ แต่ในตอนนี้ เขากลับตัดสินใจหยุดพักลงที่นี่