53 - เข้าเมือง
เมื่อจูผิงอันกำลังจะออกจากศาลบรรพชน ท่านย่าก็เดินมาถึงพอดี เพราะลืมใส่แป้งทำขนมลงไปในกล่องอาหาร ท่านย่ากลัวว่าลุงใหญ่จะกินไม่อิ่ม เลยเอาขนมมาส่งให้เพิ่มเติม
ไม่นานก็ได้ยินเสียงท่านย่าตวาดดังออกมาจากศาลบรรพชน แต่สุดท้ายแล้ว ท่านย่าก็ยังคงลำเอียงเหมือนเดิม แม้จะทำเสียงดัง แต่ลุงใหญ่ก็ไม่ได้รับการลงโทษอะไรเลย จูผิงอันเริ่มชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว
รุ่งเช้า
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ท่านย่าก็เร่งพ่อของจูผิงอันให้รีบเอาหมูป่าไปขายในตัวเมือง เพราะสถานะการเงินของครอบครัวกำลังย่ำแย่
หมูป่าตัวใหญ่ถูกมัดนอนอยู่ในลานบ้านตั้งแต่เมื่อคืน เช้านี้ท่านย่าจัดอาหารเต็มชามมาให้มัน เจ้าหมูกินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่รู้ชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง
เพราะหมูป่ามีน้ำหนักมาก ท่านย่าจึงให้อาสี่ไปช่วยจูโซ่วอี้ด้วย วันนั้นตรงกับวันที่ตลาดใหญ่ในเมืองเปิดพอดี สะใภ้ทั้งหลายของบ้านเลยปรึกษากันว่าอยากไปด้วย
ดังนั้น รถลากวัวคันหนึ่งจึงบรรทุกหมูป่าตัวใหญ่ พร้อมดอกจิ่นฮวาหนึ่งตะกร้าที่กลายเป็นเรื่องตลกในครอบครัว นอกจากนี้ยังมีเด็ก ๆ อย่างจูผิงอัน จูผิงจวิ้น และจูผิงชวนขึ้นไปนั่งด้วย
รถมุ่งหน้าไปเมืองโดยมีอาสี่เดินตามอยู่ด้านหลัง พร้อมกับสะใภ้ทั้งหลายและพ่อของจูผิงอันที่เป็นคนขับรถ ครอบครัวนี้นับว่าเกณฑ์กำลังพลมาช่วยกันแบบครบทีม
ระหว่างทาง ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“เสี่ยวจื้อ จะเอาดอกไม้ไปขายอีกแล้วเหรอ?” อาสะใภ้สี่ถามพลางมองดูจูผิงอันกับตะกร้าดอกไม้บนรถ
เฉินซื่อทำหน้าเบื่อหน่าย
“ใช่ขอรับ คราวก่อนข้าได้เงินตั้งหนึ่งอีแปะเชียวนะ” จูผิงอันทำหน้าเคร่งขรึมตอบจริงจัง
คำตอบของเขาทำให้อาสะไภ้สี่ และ อาสี่ และป้าสะใภ้ใหญ่หัวเราะกันเสียงดัง
“แค่หนึ่งอีแปะ คนเขาให้เพราะสงสารที่เจ้าดูซื่อเกินไป ไม่ใช่เพราะดอกไม้หรอก”
อาสะไภ้สี่เปิดประเด็นล้อเลียนจูผิงอัน ทำให้ทุกคนในครอบครัวเริ่มแหย่เขาเพลิน ๆ เพราะมันช่วยแก้เบื่อระหว่างทาง
คนที่เริ่มล้อเลียนต่อคืออาสี่ เขาเดินมาข้างรถ ทำท่าทางเจ้าเล่ห์แล้วถามว่า
“เสี่ยวจื้อ รู้ไหมว่าทำไมท่านย่าถึงให้พวกเราไปขายหมูป่ากัน?”
“ก็เอาไปขายเอาเงินสิขอรับ” จูผิงอันตอบอย่างเรียบเฉย
อาสี่ยิ้มเจ้าเล่ห์กว่าเดิม พูดขู่จูผิงอันว่า
“ใช่เลย เอาไปขายเอาเงิน แต่ตอนนี้บ้านเรายังขาดเงินอีกเยอะนะ แค่ขายหมูอย่างเดียวไม่พอแน่ ๆ เราคงต้องขายคนด้วย”
จูผิงอันได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขำ แต่เขาแกล้งทำหน้ากลัว ทำหน้าสั่นถามว่า
“แล้วจะขายใครล่ะ?”
จูผิงจวิ้นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็หันไปมองอาสี่ด้วยท่าทางสนใจ
อาสี่เห็นเด็กทั้งสองทำหน้ากลัว ยิ่งรู้สึกสนุก เขารีบพูดออกมาทันที
“ก็ขายเจ้าไงล่ะ!”
เดิมทีอาสี่คิดว่าเด็กอย่างจูผิงอันคงร้องไห้ แต่ผิดคาด จูผิงอันกลับหัวเราะแล้วตอบว่า
“ฮ่า ๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าอาสี่ไม่ค่อยมีค่าอะไร”
คำตอบนั้นทำให้อาสี่พูดไม่ออก เขาโดนป้าสะใภ้ใหญ่และอาสะใภ้สี่หัวเราะล้อเลียนจนต้องเดินหนี
ในตัวเมือง
เมื่อมาถึงตลาดใหญ่ ทุกคนแยกย้ายกันไปทำธุระ ป้าสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้ทั้งหลายพากันไปที่ร้านงานเย็บปักเพื่อขายถุงหอมที่พวกนางทำมาและซื้อเส้นด้าย ส่วนพ่อของจูผิงอันกับอาสี่เอาหมูป่าไปขาย ขณะที่จูผิงชวนพาจูผิงอันไปขายดอกไม้ ท่ามกลางเสียงหัวเราะล้อเลียนจากคนในครอบครัวที่ดูเหมือนไม่เชื่อในความสามารถของเขา
เมื่อจูผิงอันและพี่ชายเดินทางไปที่ร้านยาจี้หมินถังอีกครั้ง คราวนี้ทันทีที่เข้าร้าน คนงานคนหนึ่งที่เคยเกือบปฏิเสธพวกเขาครั้งก่อนกลับเดินมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“พวกเจ้ามาได้ทันเวลาเลย ร้านเรากำลังจะขาดแคลนดอกจิ่นฮวาอีกแล้ว” คนงานคนนี้ครั้งนี้กระตือรือร้นมาก
จูผิงชวนที่แบกตะกร้าใบใหญ่มาด้วยพูดไม่ออก ขณะที่จูผิงอันยิ้มแย้มบนใบหน้ากลม ๆ อวบอิ่มของเขา
“ฮ่า ๆ พี่ชาย ครั้งนี้ราคาต้องให้สูงหน่อยนะขอรับ”
หมอจีนชราที่นั่งอ่านตำราอยู่ข้าง ๆ ได้ยินเข้าก็หัวเราะ
“ถ้าดอกจิ่นฮวามีคุณภาพดี ให้เพิ่มอีกหน่อยก็ไม่เป็นไร”
จูผิงอันยิ้มกว้างกว่าเดิม “ขอบคุณท่านหมอเทวดา”
ดอกจิ่นฮวาที่เก็บมาในครั้งนี้ยังถือเป็นดอกชั้นดีเช่นเดิม ราคายังคงเป็น 50 เหรียญต่อจิน (ประมาณครึ่งกิโลกรัม) แต่ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขาเอาตะกร้าเล็ก ๆ มา ครั้งนี้พวกเขานำตะกร้าใบใหญ่ที่มีน้ำหนักรวม 5 จิน 6 เหลียง 3 เชียน (ประมาณ 2.8 กิโลกรัม) คิดเป็นเงิน 267 เหรียญ แต่ด้วยคำพูดของหมอจีนชรา คนงานในร้านจึงใจดีปัดเศษให้รวมเป็น 270 เหรียญ
ก่อนออกจากร้าน หมอจีนยังเตือนอย่างใจดีว่า “ดอกจิ่นฮวากำลังจะหมดฤดูแล้ว รีบไปเก็บมาให้ได้มากที่สุดนะ”
เมื่อออกจากร้านยามาแล้ว จูผิงอันและพี่ชายเก็บเงินเหรียญทองแดงลงในตะกร้า จากนั้นใช้ผ้าขี้ริ้วปิดบังเอาไว้
อีกด้านหนึ่ง
เฉินซื่อและสะใภ้คนอื่น ๆ ได้เดินทางไปที่ร้านเย็บปักประจำ เพื่อนำถุงหอมที่พวกนางใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนทำออกไปขาย ถุงหอมเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่การเย็บผ้าธรรมดา แต่ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน ทั้งการเย็บให้เรียบร้อยและการปักลวดลายที่ซับซ้อน แต่เพราะลวดลายที่พวกนางปักไม่ได้แปลกใหม่ และผ้าที่ใช้ก็เป็นผ้าฝ้ายราคาถูก ทำให้ถุงหอมเหล่านี้ไม่ได้มีราคามากนัก ขายได้เพียงถุงละ 10 เหรียญ
“พวกเจ้าล้วนเป็นสะใภ้ฝีมือดี ไม่มีที่ติ ราคาเหมือนเดิม ถุงละ 10 เหรียญ พวกเจ้าว่าใช้ได้ไหม?” เจ้าของร้านหญิงที่ใจดีและมีมนุษยสัมพันธ์ดีกล่าวอย่างเป็นมิตร
พวกเฉินซื่อไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ เพราะราคาก็เหมือนทุกครั้ง
• สะใภ้ใหญ่และสะใภ้สามทำถุงหอมได้คนละ 8 ใบ ได้เงินคนละ 80 เหรียญ
• เฉินซื่อทำได้ 7 ใบ ได้เงิน 70 เหรียญ
• สะใภ้สี่ทำได้ 9 ใบ ได้เงินมากที่สุด 90 เหรียญ จนนางดูมีความสุขมาก
ก่อนกลับ เฉินซื่อหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบถุงหอม 3 ใบที่แตกต่างจากใบอื่นออกจากห่อสัมภาระของนาง
“ช่วยดูถุงหอม 3 ใบนี้หน่อยเจ้าค่ะ ว่าพอจะขายได้ไหม”
ถุงหอม 3 ใบนี้ทำจากเศษผ้าที่จูผิงอันเคยเก็บมาในครั้งก่อน เศษผ้าเหล่านี้บางส่วนเป็นผ้าดีมาก เช่น ผ้าไหมและผ้าโปร่งบาง เฉินซื่อนำเศษผ้าเหล่านี้มาประกอบกันจนได้ถุงหอม 3 ใบที่มีคุณภาพดี
เจ้าของร้านรับถุงหอมไปลูบคลำดูแล้วยิ้ม
“แบบนี้แปลกใหม่ดี อีกทั้งเนื้อผ้าก็ดี ข้าจะรับไว้ในราคาใบละ 15...ไม่สิ ใบละ 20 เหรียญ เจ้าคิดว่าใช้ได้หรือไม่?”
เฉินซื่อใจเต้นแรงด้วยความดีใจ ใบละ 20 เหรียญ! เขาแทบไม่เชื่อว่าความสุขจะมาเร็วขนาดนี้