ตอนที่ 18 แน่จริง เจ้าเพิ่มราคาอีกทีสิ
ตอนที่ 18 แน่จริง เจ้าเพิ่มราคาอีกทีสิ
"สองพันหนึ่งร้อยหินวิญญาณ"
"สองพันห้าร้อยหินวิญญาณ!"
เสียงของโม่ห่าวไป่ดังขึ้นทันทีหลังจากกู้ฉางชิงเอ่ยราคา
กู้ฉางชิงมองไปยังตำแหน่งที่โม่ห่าวไป่นั่งอยู่ พร้อมทั้งมองตงเหยียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจราวกับจะพูดว่า
"เจ้าไม่ใช่รึที่บอกว่ารวยนัก?"
"มา เพิ่มราคาอีกสิ!"
กู้ฉางชิงไม่ได้เพิ่มราคาอีก แต่ถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบ
"เจ้ากำลังช่วยเหลือคนอื่นอยู่หรือ?"
โม่ห่าวไป่หัวเราะเยาะ "ในเมื่องานประมูลจัดขึ้นก็ย่อมเป็นเรื่องของคนมีเงินมากกว่า ใครรวยก็ย่อมได้สิ่งของไป มา เพิ่มอีกสิ! คุณชายผู้นี้มีทุกอย่าง กระทั่งหินวิญญาณที่ใช้ไม่หมด!"
"วันนี้ ข้าจะทำให้เจ้าจำใส่หัวไว้ เกาะไห่เยว่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาล่วงเกินข้าได้!"
"ตราบใดที่ข้าโม่ห่าวไป่อยู่ตรงนี้ หากเจ้าได้ของชิ้นใดไปก็ถือว่าเจ้ามีฝีมือ!"
"หึ!"
กู้ฉางชิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่ดาบยาวในมือจะปรากฏขึ้นราวกับมาจากอากาศว่างเปล่า และในพริบตาเดียวก็สะบัดดาบใส่โม่ห่าวไป่อย่างไม่ลังเล
แสงคมดาบสว่างจ้า ราวกับจะแยงตาครึ่งค่อนหอประมูล ค่ายอาคมบนเวทีประมูลเริ่มส่องแสงพราวระยับอย่างบ้าคลั่ง
ปึง!
เครื่องรางคุ้มภัยครั้งเดียวที่ติดตัวโม่ห่าวไป่อยู่หลายชิ้นระเบิดออกเพื่อปกป้องเขา โชคดีที่เขาตอบสนองได้รวดเร็วและดึงแขนกลับทันเวลา ไม่เช่นนั้นคมดาบเมื่อครู่คงเฉือนแขนของเขาขาดไปแล้ว
ถึงกระนั้น เหงื่อเย็นก็ชโลมกายของโม่ห่าวไป่อย่างหนัก
ผู้คนในหอประมูลต่างตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ไม่มีใครคาดคิดว่ากู้ฉางชิงจะกล้าลงมือในสถานที่แห่งนี้
อีกทั้งเป้าหมายยังเป็นโม่ห่าวไป่ บุตรชายตระกูลโม่ หนึ่งในห้าตระกูลใหญ่อันทรงอิทธิพลแห่งเกาะไห่เยว่
เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่ยังหลงเหลือจากดาบเล่มนั้น ทุกคนต่างรู้สึกหนาวสะท้านในอก
"ชายผู้นี้...แข็งแกร่งเกินไป!"
กู้ฉางชิงไม่ได้ออกดาบอีกครั้ง แต่เขามองโม่ห่าวไป่ที่ตอนนี้ใบหน้าซีดเผือดและไร้ซึ่งท่าทีหยิ่งผยองเช่นเคย
"เจ้ารวยมากนักใช่หรือไม่? เจ้าหินวิญญาณเยอะนักใช่หรือไม่?"
"เอาเลย ถ้าเจ้ากล้าก็เพิ่มราคาอีกทีสิ"
กู้ฉางชิงกลับไปนั่งที่เดิม สีหน้าของเขาเริ่มฉายแววเบื่อหน่าย
และหากโม่ห่าวไป่กล้าเพิ่มราคาอีกครั้งในรอบนี้ กู้ฉางชิงจะฟันเขาทันที!
ตึก ตึก!
ทั้งหอประมูลเต็มไปด้วยความสั่นสะเทือนในใจของผู้คน
"แน่จริง เจ้าก็เพิ่มราคาอีกสิ!"
เพียงหนึ่งดาบกับประโยคเดียวนี้ ทำให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงความดุดันของกู้ฉางชิง
ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นบุตรชายตระกูลโม่หรือใคร ถ้ากล้าเพิ่มราคา ข้าก็กล้าฟันเจ้า!
สำหรับตงเหยียน ตอนนี้นางทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว
แม้ว่าดาบเมื่อครู่จะไม่ได้พุ่งเป้ามาที่นางโดยตรง แต่เพียงแค่แรงกดดันจากดาบก็เกือบทำให้นางสิ้นสติ
หากดาบนั้นมุ่งมาที่นางแทนที่จะเป็นโม่ห่าวไป่...
ตงเหยียนไม่กล้าจินตนาการต่อ เพราะนางไม่มีเครื่องรางคุ้มภัยมากมายเช่นโม่ห่าวไป่
นี่มันดูถูกกันชัด ๆ!
เมื่อครู่โม่ห่าวไป่เพิ่งโอ้อวดว่า "ตราบใดที่ข้าอยู่ กู้ฉางชิงจะไม่ได้สิ่งใดจากการประมูลไปเลย"
แต่ตอนนี้คำพูดนั้นถูกตบหน้ากลับมาทันที
เสียงของการถูกตบหน้าดังก้องจนทุกคนรับรู้
เวลาผ่านไปพักใหญ่ โม่ห่าวไป่จึงเริ่มคืนสติจากความตื่นตระหนก
สายตาของเขาจับจ้องไปที่กู้ฉางชิงด้วยความไม่พอใจ ใบหน้ามืดครึ้มอย่างที่สุด
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เขาไม่กล้าเสี่ยงที่จะทดสอบว่ากู้ฉางชิงกล้าฆ่าเขาจริงหรือไม่!
กู้ฉางชิงมองดูโม่ห่าวไป่ในสภาพนั้น แล้วหัวเราะเยาะออกมา
"ข้านามว่ากู้ฉางชิง ในสองสามวันนี้ข้าจะอยู่บนเกาะไห่เยว่นี้ อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าแก้แค้น"
"แต่ข้าจะบอกไว้แค่คำเดียว ถ้าเจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ข้าจะฆ่าทั้งครอบครัวเจ้า"
เสียงฮือฮาดังไปทั่วหอประมูล
บ้าคลั่ง!
มันบ้าคลั่งเกินไปแล้ว
ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงความบ้าระห่ำของกู้ฉางชิงที่เกือบถึงขีดสุด
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่คำข่มขู่ต่อโม่ห่าวไป่อีกต่อไป แต่คือการข่มขู่ตระกูลโม่ หนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของเกาะไห่เยว่อย่างตรงไปตรงมา!
แม้แต่เหล่าผู้แข็งแกร่งในระดับครึ่งราชาที่อยู่ในงานก็ยังอดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้
"คนผู้นี้ช่างน่ากลัว!"
การข่มขู่ตระกูลโม่ หนึ่งในห้าตระกูลใหญ่อันดับสามของเกาะไห่เยว่ ซึ่งมีถึงสองผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งราชาเป็นผู้คุมอยู่ ไม่มีใครในที่นี้ที่กล้าทำเช่นนี้ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งในระดับครึ่งราชาเองก็ตาม!
การประมูลในช่วงที่เหลือ กู้ฉางชิงได้ของทุกชิ้นที่เขาต้องการอย่างง่ายดาย
หลังจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแต่โม่ห่าวไป่จะไม่กล้าสู้ราคา แม้แต่คนอื่น ๆ ก็เริ่มหวั่นเกรงชายผู้นี้ ความกล้าหาญและความดุดันของกู้ฉางชิงทำให้ไม่มีใครกล้าแข่งราคา ดังนั้น ของทุกชิ้นที่เขายกมือเสนอราคาจึงแทบไม่มีคู่แข่ง
โม่ห่าวไป่และตงเหยียนออกจากงานประมูลไปตั้งแต่แรก ๆ
ความอับอายที่ได้รับในวันนี้ทำให้โม่ห่าวไป่ไม่อาจอยู่ที่นั่นต่อได้
ในที่สุด ราชาหมาป่าน้ำที่กู้ฉางชิงนำมาฝากขาย ทั้งกระดูก เขี้ยว ขน และอวัยวะภายในต่าง ๆ รวมกันขายได้ถึงหนึ่งแสนสามหมื่นหินวิญญาณ
กู้ฉางชิงพอใจอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน เมื่อโม่ห่าวไป่กลับถึงบ้านตระกูลโม่ เขาก็ตรงไปหาบิดาของเขาทันที
โม่ห่าวไป่ไม่เคยได้รับความอับอายเช่นนี้มาก่อน รู้สึกว่าหากไม่ได้แก้แค้น เขาคงไม่อาจเงยหน้ามองใครในเกาะไห่เยว่อีกต่อไป
แต่เมื่อหัวหน้าตระกูลโม่ฟังเรื่องราวทั้งหมด สีหน้ากลับสงบนิ่ง
"ท่านพ่อ?"
โม่ห่าวไป่เห็นบิดาไม่พูดอะไร เขาจึงมองไปด้วยความสงสัย เพราะท่าทีนี้ต่างจากสิ่งที่เขาคาดคิดอย่างสิ้นเชิง
"ห่าวไป่ เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว เจ้าคือทายาทของตระกูลโม่ แต่เจ้ามีพฤติกรรมเช่นนี้ แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะวางใจให้เจ้าสืบทอดตระกูลได้หรือ?"
"หยุดเสียเวลาไปกับพวกเพื่อนฝูงไร้สาระของเจ้า มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย"
"หา?"
โม่ห่าวไป่ถึงกับอึ้ง เขาไม่คิดว่าบิดาจะมีท่าทีแบบนี้
ชายผู้นั้นไม่ได้แค่ข่มขู่เขาเท่านั้น แต่ยังข่มขู่ทั้งตระกูลโม่!
นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับศักดิ์ศรีของตระกูล หากปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป ตระกูลโม่จะมีหน้าที่ไหนในเกาะไห่เยว่?
แล้วผู้คนจะมองตระกูลโม่อย่างไร?
ถ้าคนธรรมดาคนหนึ่งกล้ามาข่มขู่และท้าทายตระกูลโม่ เช่นนี้ตระกูลโม่จะมีความน่าเกรงขามอะไรเหลือ?
เมื่อเห็นโม่ห่าวไป่ยังคงมีท่าทีงุนงง หัวหน้าตระกูลโม่ยิ่งรู้สึกผิดหวัง พร้อมกับโทษตัวเองลึก ๆ ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขามัวแต่ยุ่งกับงานในตระกูลจนละเลยการอบรมสั่งสอนบุตรชาย
"ลองใช้สมองคิดดูเสียบ้าง ชายผู้นั้นอายุเพียงยี่สิบแต่บรรลุถึงขอบเขตวิบากกรรมขั้นต้นหรือกลางได้แล้ว สำนักที่สามารถปลุกปั้นยอดฝีมือเช่นนี้จะเป็นสำนักธรรมดาได้อย่างไร?"
"อยู่ในเมืองไห่เยว่ แต่กลับกล้าข่มขู่ตระกูลโม่"
"คนเช่นนี้ เจ้ายังคิดจะไปหาเรื่องเขาอีกหรือ? หรือเจ้าคิดว่าชีวิตของเจ้ามันยาวนานเกินไป?"
"หรือบางทีเจ้าอยากให้ตระกูลโม่พินาศเร็วกว่านี้?"
เมื่อพูดจบ หัวหน้าตระกูลโม่เดินผ่านโม่ห่าวไป่ไป พร้อมกับตบไหล่เขาเบา ๆ ก่อนจากไป
"ห่าวไป่ เจ้าควรจะเติบโตได้แล้ว หากเจ้ามีท่าทีเช่นนี้ ตระกูลโม่หากตกอยู่ในมือเจ้า เกรงว่าอีกไม่นานคงถูกลบชื่อออกจากทะเลแถบนี้แน่"
หัวหน้าตระกูลโม่พูดจบก็เดินจากไป ทิ้งให้โม่ห่าวไป่ยืนงงค้างอยู่ตรงนั้น
หลังจากคำพูดของบิดา โม่ห่าวไป่เริ่มสงบสติลง เขาเริ่มนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในหอประมูล และท่าทีสงบนิ่งของกู้ฉางชิงในตอนนั้น ความรู้สึกเย็นวาบพลันแล่นไปทั่วร่าง
ชายคนนี้กล้าข่มขู่เขาและทั้งตระกูลโม่ในดินแดนของตระกูลเอง เรื่องนี้มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง
อย่างแรกคือ ชายคนนั้นไม่เห็นตระกูลโม่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
อย่างที่สองคือ ชายคนนั้นต้องเป็นคนโง่ที่ไม่รู้จักคิด
แต่คนที่สามารถบรรลุถึงขอบเขตวิบากกรรมได้ตั้งแต่อายุราวยี่สิบ จะเป็นคนโง่ได้อย่างนั้นหรือ?
โม่ห่าวไป่พลันรู้สึกว่าตัวเขาเองช่างโง่เขลาเสียจริง