(อ่านฟรีชั่วคราว) บทที่ 1242 คำสั่งทำลายสำนักอมตะ (ตอนยาวพิเศษ)
ในเวลานั้นเอง ชายผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ เมื่อเห็นว่ารอบตัวมีแต่ขุนนางระดับสูง จึงชะลอฝีเท้าและเดินเข้ามาอย่างระมัดระวังจนถึงเบื้องหน้าอ๋องเทียนอวี่
“ฝ่าบาท จักรพรรดิมีรับสั่งให้พระองค์รีบไปยังพระราชวัง”
สิ้นคำกล่าว ทุกสายตาพลันจับจ้องไปยังผู้มาใหม่ แน่นอนว่าพวกเขามิได้มองตัวเขา แต่ฟังคำพูดของเขาเพียงประโยคเดียว
ถัดมา ทุกคนต่างพากันครุ่นคิด ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ดวงตาสะท้อนความคิดหลากหลายที่วกวนในจิตใจ
ในตอนนั้นเอง ยอดฝีมือระดับสถาปนาตนผู้หนึ่งกล่าวต่อ
“ฝ่าบาท ข่าวการตายของอ๋องอู๋จี๋และอ๋องปิง ถูกจักรพรรดิเก็บเงียบไว้ชั่วคราว เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการใช้การตายของทั้งสองเป็นประโยชน์ในเชิงกลยุทธ์ แต่การที่เขาเรียกตัวพระองค์ในเวลานี้ ข้าน้อยเกรงว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายดายเช่นนั้น”
อ๋องเทียนอวี่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ความคิดพลุ่งพล่าน “การตายของอ๋องอู๋จี๋และอ๋องปิง มีแต่จะเป็นผลดีต่อเขา ไม่มีผลเสีย เกียรติยศของราชวงศ์ไม่มีวันสำคัญไปกว่าตำแหน่งจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโยว่ ไม่ว่าเขาคิดทำสิ่งใด ข้าจะต้องไปพบเขา”
“ฝ่าบาท โปรดระวัง ข้าน้อยเกรงว่าเขาอาจใช้โอกาสนี้เพื่อรักษาตำแหน่งจักรพรรดิต่อไป”
“อ๋องหลงหยางกล่าวไว้เช่นนั้นหรือ?”
“ใช่ คนของข้าน้อยที่แทรกตัวอยู่ข้างเขาได้ยินคำพูดนี้ด้วยตนเอง เขาคาดการณ์ว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันไม่ต้องการสละตำแหน่ง”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ก่อนหน้านี้ข้าไม่ใส่ใจนัก ทว่าการตายของอ๋องอู๋จี๋และอ๋องปิง รวมถึงการที่อ๋องเป้าล่วนและอ๋องเหอเป่ยไม่สนใจตำแหน่งจักรพรรดิอีกต่อไป ผู้ที่เป็นภัยคุกคามต่อเขาจึงเหลือเพียงข้ากับอ๋องหลงหยางเท่านั้น”
สิ้นคำ อ๋องเทียนอวี่เข้าสู่ความคิดลึกซึ้ง แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่อาจหาวิธีรับมือ
การตายของอ๋องอู๋จี๋และอ๋องปิง โดยฝีมือยอดฝีมือของสำนักอมตะนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เขาต้องวางแผนใหม่ทั้งหมด และแม้จะต้องวางแผนใหม่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือ หากจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโยว่าไม่ต้องการสละตำแหน่งจริง ๆ ย่อมต้องพยายามกำจัดเขาหรืออ๋องหลงหยาง
คมดาบเล่มนั้นจะฟาดฟันใครก่อนก็เป็นเรื่องที่ทำให้ปวดหัวทั้งสิ้น หรือว่าเขาต้องร่วมมือกับอ๋องหลงหยาง?
...
...
...
ตำหนักอ๋องหลงหยาง
ในขณะเดียวกัน อ๋องหลงหยางก็ได้รับการเรียกตัวจากจักรพรรดิ แต่ในเวลานี้เขาไม่อาจใส่ใจกับเรื่องนี้ได้
สิ่งที่เขากังวลมากกว่าคือความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสำนักอมตะ
การที่สำนักอมตะสังหารราชวงศ์ผู้สถาปนาตน หมายถึงอะไร?
นั่นหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับราชวงศ์ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จากมิตรกลายเป็นศัตรู
สิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด ในที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้
หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ อ๋องหลงหยางจึงหยิบหินส่งเสียงขึ้นมาติดต่อเหวินผิง
“มีธุระอะไร?”
เสียงเรียบเย็นของเหวินผิงดังผ่านหินส่งเสียง ราวกับไร้ความรู้สึก ทำให้อ๋องหลงหยางนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะกัดฟันตอบไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เจ้าสำนักเหวิน ข้าไม่คิดเลยว่าเรื่องจะลงเอยเช่นนี้ ครั้งนี้ข้าคงหมดหนทางแล้วจริง ๆ”
เหวินผิงตอบกลับ “หากจำเป็น สำนักอมตะยังคงยื่นมือช่วยท่านได้อีกครั้ง ภายใต้ครึ่งก้าวหยวนหยาง ข้ายินดีช่วย”
คำพูดนี้ทำให้อ๋องหลงหยางสะเทือนใจอย่างลึกซึ้ง จนเผลอถามออกไปด้วยความตื่นตระหนก
“เจ้าสำนักเหวิน สำนักของท่านมียอดฝีมือระดับครึ่งก้าวหยวนหยางหรือไม่?”
หากมี ความหวังก็ยังคงอยู่
หากไม่มี โอกาสที่สามนี้ก็ไร้ความหมาย
“ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ข้าจะบอกท่านบางสิ่ง บางทีอาจทำให้ท่านมองเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนขึ้น”
อ๋องหลงหยางครุ่นคิดถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดสี่คำแรกของเหวินผิง แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจได้อย่างกระจ่าง
มี หรือไม่มี?
ไม่มี?
แต่เจ้าสำนักเหวินดูเหมือนไม่ได้เร่งรีบ
หรือว่า มี?
ท่ามกลางความสงสัย อ๋องหลงหยางถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “เจ้าสำนักเหวินโปรดกล่าว”
เหวินผิงตอบว่า “ก่อนที่เจียงเหอซานจะจากไป เขาเคยกล่าวไว้กับอ๋องเทียนอวี่ อ๋องปิง และอ๋องอู๋จี๋ว่า ใครก็ตามที่ล้มล้างสำนักอมตะได้ จะได้เป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโยว่”
คำพูดนี้ทำให้อ๋องหลงหยางสะท้านในใจอย่างรุนแรง
ขณะที่อ๋องหลงหยางยังคงตกตะลึงอยู่ เหวินผิงทิ้งคำพูดไว้เพียงประโยคเดียวก่อนจะตัดการติดต่อผ่านหินส่งเสียง
“หากมีโอกาส เชิญมาเยือนสำนักอมตะ”
คำกล่าวนั้นทำให้อ๋องหลงหยางนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง ดวงตาเผยความโกรธเล็กน้อย เพราะหากสิ่งที่เจ้าสำนักเหวินกล่าวเป็นความจริง เช่นนั้นเขาจะนับเป็นอะไร? จักรพรรดิที่ควรจะได้มาจากการแข่งขันอย่างยุติธรรมกลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกจัดฉากไว้แล้ว
ไม่น่าแปลกใจเลย! ไม่น่าแปลกใจที่อ๋องเทียนอวี่และคนอื่น ๆ ต้องการเล่นงานสำนักอมตะ ทั้งที่รู้ว่าสำนักอมตะมียอดฝีมือระดับสถาปนาตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหออิ๋วหยวน และยังมีมากกว่าหนึ่งคน แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะกระทำเช่นนั้น
อ๋องหลงหยางสูดลมหายใจลึกก่อนจะผลักประตูห้องออก เขาเดินออกมาพร้อมกับผู้ติดตามจำนวนมาก ทิ้งทุกอย่างไว้ไว้เบื้องหลัง เหลือแต่ความสงบที่เกิดขึ้นเพราะเหวินผิงและกลับมามีท่าทีสง่างามดังเดิม
ในเวลาเดียวกัน หลังจากเก็บหินส่งเสียง เหวินผิงเตรียมตัวไปยังสวนเซียนผู่เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าในการหลอมโอสถของบิดาและมารดา แต่เพียงออกจากศาลาทิงอี่ เขาก็พบกับลุงหลาน
ลุงหลาน แม้จะบำเพ็ญเพียรจนถึงระดับเจิ้นเยว่ แต่ในสำนักอมตะนั้นยังถือว่าไม่แข็งแกร่งนัก ดังนั้น เหวินผิงจึงจัดให้เขาอยู่ที่หอจิ้นจือ เพื่อช่วยเฉินเซี่ยดูแลหนังสือพิมพ์อมตะ ในฐานะหนึ่งในผู้อาวุโสไม่กี่คนของสำนักอมตะ เหวินผิงไม่ได้หวังให้เขากลายเป็นยอดฝีมือระดับสวรรค์ไร้ขอบเขต เพียงหวังให้เขามีชีวิตอยู่อย่างสงบ และเป็นสหายของบิดา
เพราะบิดาในตอนนี้มีสหายเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน เจ้าเมืองชางอู๋หวนเฉิงนับเป็นหนึ่ง และลุงหลานคืออีกคน
“ท่านเจ้าสำนัก หนังสือพิมพ์อมตะฉบับวันพรุ่งนี้จะใช้ข่าวการตายของอ๋องอู๋จี๋และอ๋องปิงเป็นข่าวพาดหัวดีหรือไม่?”
เหวินผิงตอบทันทีโดยไม่ลังเล “ไม่มีปัญหา คนในอาณาจักรโยว่ย่อมรู้เรื่องนี้ในที่สุด จะรู้ช้าหรือรู้เร็วก็ไม่ต่างกัน”
“ได้”
“ลุงหลาน จากนี้ไป อาณาจักรโยว่จะต้องพยายามโจมตีหนังสือพิมพ์อมตะ และอาจพยายามจับตัวคนของสำนักอมตะ การจับตัวคนของสำนักอมตะเป็นไปไม่ได้ แต่พวกเขาย่อมพยายามจับคนจากหอจิ้นจือ หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น จงจัดการให้คนอื่นทำแทน อย่าออกหน้าด้วยตนเอง”
“ท่านเจ้าสำนัก ข้าจะจำไว้ ไม่ต้องกังวล” ลุงหลานยิ้มเบา ๆ ก่อนจะขอตัวจากเหวินผิง เหวินผิงเองก็มุ่งหน้าไปยังสวนเซียนผู่ทันที
ระหว่างทาง มังกรไม้กลับมาสำนักพร้อมกับจักรพรรดิอสูรแห่งตระกูลชิงกุ้ย แต่จักรพรรดิอสูรผู้นั้นอยู่ในสภาพย่ำแย่ใกล้ตาย
ทันทีที่จักรพรรดิอสูรเห็นเหวินผิง เขาก็ไม่สนใจเกียรติยศ รีบหมอบกราบแทบเท้าของเหวินผิงทันที
“เจ้าสำนักเหวิน ข้ายินดีรับหน้าที่เฝ้าประตู ยินดีปกป้องสำนักอมตะ!”
เหวินผิงมองจักรพรรดิอสูรที่สั่นกลัว ก่อนจะหันไปถามมังกรไม้
“เจ้าทำอะไรกับเขา?”
มังกรไม้ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเลียนแบบเหวินผิง “หนึ่งลมหายใจต่อหนึ่งร้อยหมัด ต่อยเขาต่อเนื่องห้าชั่วยาม”
เหวินผิงยิ้มอย่างจนปัญญา
หนึ่งลมหายใจต่อหนึ่งร้อยหมัด
หนึ่งนาทีเท่ากับหกร้อยหมัด
หนึ่งชั่วยามเท่ากับเจ็ดหมื่นสองพันหมัด คูณด้วยห้า
รวมทั้งหมดสามแสนหกหมื่นหมัด!
ช่างโหดร้ายยิ่งนัก!
...
...
...
วันถัดมา
เมืองเทียนไห่
ฉีจิ่วยังคงเดินตรวจตราตลาดการค้าเช่นเคย ทักทายผู้คนตามรายทาง แต่ในครั้งนี้ จิตใจของเขากลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เหตุเพราะเขาได้เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์อมตะแล้ว
คนที่เคยชักดาบทำลายล้างใส่สำนักภูเขาดาบในอดีตทีละคน ถูกจอมมารดาบสังหารจนหมด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหารหรือขุนนางของทางการ ล้วนไม่อาจรอดพ้นชะตากรรมแห่งความตาย ความแค้นที่เขาสะสมมาเป็นเวลาหลายปีพลันจางหายไปกว่าครึ่งในชั่วพริบตา
รอยยิ้มของเขาในเวลานี้ คือรอยยิ้มที่มาจากใจจริง!
“ขายหนังสือพิมพ์อมตะแล้ว!” เมื่อคนขายหนังสือพิมพ์ปรากฏตัวในตลาดการค้า ฉีจิ่วรีบส่งคนไปซื้อทันทีหนึ่งฉบับ
เมื่อได้มาแล้ว เขารีบหลบเข้าไปในหอสุราของตนเองเพื่ออ่านอย่างละเอียด
แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มอ่าน เสียงของคนในสำนักเจิ้นก็ดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“อวี้จี๋ก็ตายแล้ว!”
“ผู้อาวุโสจอมมารดาบ เขาทำสำเร็จ!”
“ตัวการสำคัญที่ทำลายล้างสำนักภูเขาดาบในอดีต ยกเว้นเพียงราชวงศ์ ล้วนถูกสังหารจนหมด ความแค้นของพวกเราสำเร็จแล้ว!”
เมื่อฉีจิ่วได้ยินเช่นนั้น เขารีบเปิดหนังสือพิมพ์อมตะด้วยความตื่นเต้น ความเศร้าที่เขาเคยรู้สึกในอดีต เมื่อครอบครัวและญาติพี่น้องต้องล่มสลาย กลับแปรเปลี่ยนเป็นความปีติบนใบหน้าที่สดใส
“ยังไม่หมดแค่นั้น พวกเจ้าดูต่อ จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโยว่าได้ออกคำสั่งสังหารจอมมารดาบ แต่สำนักอมตะกลับปกป้องเขาไว้ได้ ไม่เพียงแค่นั้น ยอดฝีมือของสำนักอมตะยังสังหารอ๋องอู๋จี๋ อ๋องปิง และอ๋องซือได้อีกด้วย”
“นี่มัน… สำนักอมตะช่างโหดเหี้ยมเสียจริง เพื่อปกป้องจอมมารดาบ พวกเขายังกล้าสังหารยอดฝีมือระดับสถาปนาตนสองคน ซึ่งทั้งคู่ยังมีสายเลือดราชวงศ์โดยตรงอีกด้วย!”
“แข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งเกินไป!”
ในสายตาของพวกเขา ไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับระดับครึ่งหยวนหยาง ดังนั้นยอดฝีมือระดับสถาปนาตนจึงถือเป็นขีดสุดในจินตนาการของพวกเขา และเมื่อยอดฝีมือระดับนี้ยังถูกสังหารโดยยอดฝีมือของสำนักอมตะ เช่นนั้นสำนักอมตะย่อมไร้เทียมทาน!
“พี่เต้า ขอบคุณ!” ฉีจิ่วฟังเสียงโห่ร้องยินดีรอบตัว ก่อนจะยิ้มอย่างปลื้มปิติและกล่าวออกไปเบา ๆ โดยมองไปยังทิศทางของแดนหยวนหยาง
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือ ในบริเวณไม่ไกลออกไป จอมมารดาบกำลังมองดูพวกเขาอยู่พร้อมรอยยิ้มอ่อนจางบนใบหน้า
หลังจากยิ้มเพียงครู่ จอมมารดาบก็หมุนตัวจากไป
การหมุนตัวในครั้งนี้หมายความว่า จากนี้ไปพวกเขาจะต้องกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
เจ้าไม่รู้จักข้า
ข้าก็ไม่รู้จักเจ้า
ไม่เช่นนั้นจะนำมาซึ่งภัยร้ายแรงอย่างกายาพิฆาต
หลังจากจอมมารดาบจากไป เด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งพร้อมแหวนเก็บของในมือก็เดินเข้ามาในหอสุราของฉีจิ่ว และเอ่ยขอพบเขาโดยเฉพาะ
ฉีจิ่วมึนงงไปครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กชายคนนี้ถึงต้องการพบเขาโดยตรง แต่สุดท้าย ฉีจิ่วก็ยอมพบ
“ท่านผู้อาวุโส นี่คือสิ่งที่ชายท่านหนึ่งฝากมาให้ท่าน” เด็กชายส่งแหวนให้ก่อนจะรีบถอยไปยืนที่หน้าประตู
ฉีจิ่วมองแหวนเก็บของที่ดูมีมูลค่าสูงในมือด้วยความสงสัย เขาจึงลองตรวจสอบภายใน และทันใดนั้นเขาก็ต้องตกตะลึง
ภูเขาหินวิญญาณที่กองสุมสูงเป็นพะเนิน!
น้อยที่สุดก็สิบล้าน หรืออาจมากกว่านั้น
นอกจากนี้ยังมีเคล็ดวิชาระดับปฐพีชั้นสูง และเคล็ดวิชาลมปราณประจำสายอีกมากมาย
ฉีจิ่วรีบไล่เด็กชายออกไปพร้อมมอบรางวัลเล็กน้อยให้ และปิดประตูลง ก่อนจะสร้างปราการป้องกันเสียงอย่างรวดเร็ว
“สิ่งที่อยู่ในแหวนเก็บของนี้ ขุมกำลังระดับห้าดาวทั่วไปยังไม่มีสมบัติเทียบได้เช่นนี้ หากเรามีสิ่งนี้ อนาคตของสำนักเจิ้นจะไร้ขอบเขตอย่างแน่นอน”
เสียงร้องอุทานดังขึ้นพร้อมกัน
เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่อยู่ในแหวนเก็บของ ความรู้สึกตื่นเต้นจนยากจะสงบลงได้ครอบงำทุกคนในทันที
สิ่งของเหล่านี้มีค่ามหาศาลเกินกว่าที่จะประเมินได้สำหรับสำนักเจิ้น ซึ่งเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับขุมกำลังสี่ดาว
หลังจากนั้น ทุกคนในสำนักเริ่มคาดเดากันอย่างบ้าคลั่งว่าใครคือผู้มอบสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขา
ฉีจิ่วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “น่าจะเป็นพี่เต้าที่ฝากไว้ให้เรา เรื่องนี้อย่าเผยแพร่ออกไป ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่ง จะต้องตาย!”
“รับทราบ!”
ทุกคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
หลังจากสิ้นคำ ฉีจิ่วก็จมอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ
...
...
...
สำนักอมตะ
เหวินผิงยังคงบำเพ็ญเพียรต่อไป พร้อมกับพยายามให้กระบี่ชิงเหลียนช่วยสอนเขาเกี่ยวกับการบำเพ็ญเจตจำนงกระบี่ชิงเหลียน
แม้ว่ากระบี่ชิงเหลียนจะมีพลังใกล้เคียงกับเหวินผิง แต่ในเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับเจตจำนงกระบี่นั้น กระบี่ชิงเหลียนย่อมลึกซึ้งกว่ามาก
หากเขาสามารถเรียนรู้กระบวนท่าดัชนีกระบี่ได้ เช่นนั้นความเข้าใจของเขาในเจตจำนงกระบี่ชิงเหลียนจะลึกซึ้งยิ่งขึ้น และพลังของเขาย่อมก้าวหน้าไปอีกระดับหนึ่ง
เพราะบรรพบุรุษอาวุโสของราชวงศ์อาณาจักรโยว่ มิได้เหมือนกับเจียงเหอซานทั้งหมด ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ยังไม่อาจกล่าวได้ว่าไร้ผู้ต่อต้าน และอาจไม่สามารถต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่มีพลังสูสีกันได้
ขณะที่เหวินผิงกำลังจะพักผ่อน และคิดจะไปหาของกินในครัว เฉินเซี่ยก็รีบเร่งเข้ามาหา
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้มาเพราะตรวจสอบตัวตนที่แท้จริงของผู้ฝึกตนระดับกลางทั้งสามสิบคนที่เกี่ยวข้อง
“ท่านเจ้าสำนัก อ๋องหลงหยางเพิ่งส่งข่าวมา จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโยว่าได้เรียกตัวเขา รวมถึงอ๋องเป้าล่วน อ๋องเหอเป่ย และอ๋องเทียนอวี่ไปพบ อ๋องเป้าล่วนและอ๋องเหอเป่ยได้เสนอตัวไปสมรภูมิเป๋ยเจ๋อเพื่อร่วมรบ ขณะที่อ๋องหลงหยางและอ๋องเทียนอวี่ได้รับมอบหมายภารกิจหนึ่ง...การกวาดล้างสำนักอมตะ! ยิ่งไปกว่านั้น จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโยว่ายังได้เดินทางไปยังภูเขาบรรพชนเพื่อพบกับเจียงเหอซาน บรรพบุรุษอาวุโสของราชวงศ์”
“หากเป็นแค่เจียงเหอซาน เรื่องนี้คงไม่มีปัญหา” เหวินผิงที่รู้ถึงพลังของเจียงเหอซานกล่าวขึ้น “แต่ในเวลานั้น ย่อมไม่ได้มีเพียงเจียงเหอซานผู้เดียว”
“ท่านเจ้าสำนัก เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรดี?”
แม้ว่าเฉินเซี่ยจะรู้สึกกังวล แต่เขาไม่ได้แสดงความตื่นตระหนก เพราะใบหน้าของเจ้าสำนักยังคงสงบนิ่ง ไร้ร่องรอยของความหวาดกลัว
เหวินผิงตอบด้วยเสียงมั่นคง “ไม่เป็นไร หอปกฟ้าจะช่วยเราได้ ก่อนหน้านี้ข้าให้หลงเค่อไปสืบเรื่อง นางสืบเจอแล้วหรือยัง?”
“ยังอยู่ระหว่างการสืบสวน แต่คนที่ประจำอยู่ในเขตเป๋ยเจ๋อสำหรับสงครามครั้งนี้ คืออี้ลั่วเทียน ผู้ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งรองจากเหออิ๋วหยวน ว่ากันว่าเขาเป็นบุตรชายของอู๋จิ้นเทียนเสวียน แต่จะจริงหรือไม่นั้นยังไม่ทราบแน่ชัด อู๋จิ้นเทียนเสวียนปกปิดเรื่องนี้ไว้อย่างมิดชิด”
“ถ้าเช่นนั้น ให้สืบต่อไป และพยายามเร่งให้เร็วที่สุด ยิ่งได้ข้อมูลเร็วเท่าไร ยิ่งเป็นผลดีต่อสำนักอมตะ หากมีอู๋จิ้นเทียนเสวียนอยู่เบื้องบน อาณาจักรโยว่จะไม่มีสมาธิมาเล่นงานเราได้เต็มที่ เว้นเสียแต่พวกเขาอยากให้หอปกฟ้าฉวยโอกาสโจมตีเข้ามาจนถึงเขตแดนกลางอันศักดิ์สิทธิ์”
“รับทราบ ท่านเจ้าสำนัก!” เฉินเซี่ยพยักหน้ารับคำ
.
(จบตอน)