ตอนที่ 105 คำพิพากษาของพระเจ้า!
ตอนที่ 105 คำพิพากษาของพระเจ้า!
หลังจากผ่านค่ำคืนอันยาวนานที่เต็มไปด้วยบทสนทนาและการออกกำลังกายแบบที่ยากจะบรรยาย มายา แฮนเซ่นก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเอริคไปโดยสิ้นเชิง
เดิมทีเธอเคยคิดว่าเอริคคงเป็นพวกหลงใหลในร่างกายของเธอเหมือนโทนี่ สตาร์ค แต่เธอไม่คิดเลยว่า เอริคจะสนใจทั้งร่างกายและสมองของเธอในเวลาเดียวกัน . . .
ไวรัสเอ็กซ์ตรีมิส คืองานวิจัยที่เธอภาคภูมิใจที่สุด แม้จะยังอยู่ในขั้นพัฒนาและเคยทดลองแค่ในพืชเท่านั้น แต่เมื่อเอริคได้เห็นตัวอย่างและข้อมูลวิจัย เขากลับชี้ให้เห็นข้อบกพร่องทันที พร้อมเสนอแนวทางปรับปรุงมากมายให้เธอ
ซึ่งทุกข้อเสนอของเขาล้วนแม่นยำและกระตุ้นความคิดของมายาอย่างมากจนเธออยากกลับไปที่ห้องทดลองทันที แต่เมื่อเธอพยายามจะลุกขึ้น เอริคกลับหยุดเธอไว้ และบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาต้องการจ้างเธอทำงาน พร้อมทั้งเสนอ ‘ของขวัญชิ้นใหญ่’ ให้เธอ ซึ่งของขวัญนี้เองที่ทำให้เธอตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะติดตามเอริคในอนาคต
ในวันแรกของศตวรรษที่ 21 หลังจากทั้งคู่ทานอาหารเช้าร่วมกัน พวกเขาก็ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวของเอริคมุ่งหน้าสู่ทะเลทรายสะฮารา ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์แห่งอนาคต
อาวุธอวกาศ ที่เคยเป็นเพียงฝัน ได้กลายเป็นความจริงในวันแรกของศตวรรษใหม่!
เนื่องจากลักษณะเฉพาะของอาวุธอวกาศทำให้ผู้ซื้อหลักของมันก็คือกองทัพ และรัฐบาลสหรัฐฯ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางอนุญาตให้ใครครอบครองอาวุธประเภทนี้โดยส่วนตัว ด้วยเหตุนี้เองผู้ที่เข้าร่วมงานเปิดตัวจึงเป็นบุคคลระดับสูงจากกองทัพ โดยตัวแทนจากกองทัพอากาศยังคงเป็น นายพลรอสส์ ซึ่งเคยร่วมงานกับเอริคมาหลายปี และเนื่องจากงานครั้งนี้ยิ่งใหญ่ นายพลรอสส์จึงไม่พลาดที่จะมาให้การสนับสนุนด้วยตัวเอง
“นายพลรอสส์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ!” เอริคสวมกอดนายพลรอสส์อย่างอบอุ่น ก่อนจะทักทายและพูดคุยกับบุคคลสำคัญคนอื่น ๆ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
บริษัท สกาย อินดัสตรีส์ ในปัจจุบันไม่เพียงผลิตอาวุธสำเร็จรูป เช่น อาวุธคลื่นเสียงและปืนแม่เหล็กไฟฟ้า แต่ยังจัดหาวัสดุกึ่งสำเร็จรูปจำนวนมากให้กองทัพ เช่น เตาปฏิกรณ์อาร์ค แบตเตอรี่กราฟีน และวัสดุที่เป็นตัวนำยิ่งยวดในอุณหภูมิห้อง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเอริคกับเหล่านายพลนั้นแน่นแฟ้นเป็นอย่างมาก
หลังจากทักทายกันเสร็จทุกคนก็เข้าสู่ประเด็นสำคัญทันที เพราะทุกคนล้วนเป็นคนใหญ่คนโต และไม่มีเวลามาอ้อมค้อม
ทันใดนั้นนายพลรอสส์สั่งให้ลูกน้องนำรถยนต์ 20 คัน ออกไปในทิศทางที่ต่างกัน แบ่งเป็นกลุ่มละ 2 คัน โดยกำหนดเส้นทางและจุดจอดเอง หลังจากจอดรถแล้ว รถอีกคันจะถูกนำกลับมา ส่วนรถที่ถูกทิ้งไว้จะกลายเป็นเป้าหมายของการแสดงอนุภาพของอาวุธอวกาศ
จากนั้นไม่นานก็ถึงเวลาแสดงของเอริค เขาหยิบกล่องโลหะขนาดเท่ากระเป๋าเอกสารออกมา พร้อมใส่รหัสผ่าน ตรวจสอบลายนิ้วมือ ม่านตา และเสียง หลังผ่านขั้นตอนความปลอดภัยหลายขั้น กล่องโลหะก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นคอมพิวเตอร์พร้อมช่องใส่กุญแจสองข้างอยู่ด้านใน
เอริคหยิบกุญแจสองดอกออกมา ดอกหนึ่งส่งให้นายพลรอสส์ และอีกดอกถือไว้เอง เมื่อทั้งสองใส่กุญแจและหมุนพร้อมกัน ระบบปฏิบัติการก็เริ่มทำงาน โดยหน้าจอแสดงผลมีความเรียบง่ายมาก ผู้ใช้งานเพียงใส่พิกัด ปรับแต่งเล็กน้อย และรอให้ดาวเทียมอยู่ในตำแหน่ง ก่อนจะยืนยันการยิง
ทันใดนั้นแสงสีขาวเจิดจ้าก็พุ่งลงมาจากบนท้องฟ้า ราวกับการลงโทษจากสวรรค์ตกกระทบกับรถคันหนึ่ง ซึ่งแสงนี้มันสว่างเสียจนแม้แต่คนที่สวมแว่นกันแดดยังต้องหยีตา
หลังจากนั้นไมถึงหนึ่งนาทีเป้าหมายทั้งหมด 10 คันก็ถูกกำจัดจนสิ้นซาก
เมื่อเห็นเป้าหมายถูกจัดการเรียบร้อยเอริคก็พานายพลและบุคคลสำคัญไปตรวจสอบจุดเป้าหมาย โดยผลลัพธ์ที่ได้นั้นช่างน่าทึ่ง ร่องรอยการโจมตีแสดงให้เห็นว่าอาวุธอวกาศนี้สามารถโจมตีในรัศมี 10 เมตรได้อย่างแม่นยำ ตัวรถถูกทำลายจนระเหยเป็นไอ เหลือเพียงเศษชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่ละลายจนดูไม่ออกว่ามันคืออะไร
เรียบง่าย รวดเร็ว ทรงพลัง และแม่นยำที่สุดในโลก!
ไม่เพียงเท่านั้น ภายในรัศมีการโจมตี 10 เมตร พื้นดินยุบตัวลงไปหลายเมตร ทรายทั้งหมดถูกหลอมละลายจนกลายเป็นวัสดุที่ดูเหมือนกระจกซึ่งปกคลุมพื้นดิน ทำให้ผู้ที่เดินไปบนพื้นผิวนี้สามารถมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองได้อย่างชัดเจน
“ความแม่นยำถือว่าดี แต่พลังทำลายล้างดูเหมือนจะต่ำไปหน่อยหรือเปล่า?” นายพลรอสส์และบรรดาผู้นำกองทัพปรึกษากันครู่หนึ่งก่อนจะถามเอริค ในความคิดของพวกเขา อาวุธอวกาศควรทรงพลังไม่ต่างจากระเบิดนิวเคลียร์ แต่นี่กลับทำได้เพียงสร้างหลุมขนาดรัศมี 10 เมตรเท่านั้น ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะอ่อนแอเกินไปหน่อย
เอริคกลอกตา ก่อนตอบพร้อมรอยยิ้มที่มีเลศนัย “ทุกท่าน ก่อนหน้านี้ผมได้ปรับพลังของการโจมตีในครั้งนี้ไว้ที่ 1% เท่านั้น” เขาชูนิ้วชี้ขึ้นพร้อมหมุนไปมาเบา ๆ “ถ้าหากพวกท่านคิดว่าพลังทำลายล้างของมันยังไม่เพียงพอ พวกท่านสามารถปรับเพิ่มได้ และไม่ใช่แค่พลังทำลายล้างเท่านั้นที่ปรับได้ แม้แต่รัศมีการโจมตีก็สามารถปรับได้ ตั้งแต่ 10 เมตรไปจนถึง 1,000 เมตร ยิ่งรัศมีแคบลง พลังงานก็จะถูกบีบอัดและมีพลังทำลายล้างที่สูงขึ้น”
คำตอบนี้ทำให้บรรดาผู้นำพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนถามต่อ “แล้วการใช้พลังงานล่ะ?”
“ดาวเทียมเก็บพลังงานจากดวงอาทิตย์ผ่านอุปกรณ์สะสมพลังงานและเก็บไว้ในแบตเตอรี่ การโจมตีทั้งหมด 10 ครั้งเมื่อสักครู่ ใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ในการสะสมพลังงาน”
“หนึ่งสัปดาห์? มันนานเกินไปหรือเปล่า?” นายพลรอสส์ขมวดคิ้วพร้อมเงยหน้ามองท้องฟ้า
“ไม่เลยครับ! ไม่นานเลย!” เอริครีบโบกมือพร้อมอธิบาย “ลองคิดดูสิครับ อาวุธอวกาศไม่ได้ถูกใช้งานทุกวัน มันถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในช่วงเวลาที่จำเป็นเท่านั้น ระหว่างเวลาที่ไม่ได้ใช้งาน ระบบจะสะสมพลังงานอย่างต่อเนื่อง และแบตเตอรี่ที่ติดตั้งกับดาวเทียมของ สกาย อินดัสตรีส์ ก็มีความจุขนาดใหญ่เพียงพอที่จะสะสมพลังงานได้ถึงครึ่งปี!”
“ครึ่งปี หมายความว่าถ้าหากพลังงานเต็มก็สามารถยิงได้ถึง 260 ครั้งติดต่อกัน” นายพลคนหนึ่งซึ่งถนัดคำนวณสรุปผลด้วยความพึงพอใจ
เอริคยิ้มพร้อมมองไปรอบ ๆ ด้วยสีหน้าแปลกใจ “พวกท่านไม่ได้คิดจะติดตั้งอาวุธอวกาศเพียงชิ้นเดียวบนโลกนี้ใช่ไหม?” คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในห้อง
“เอาล่ะ ในเมื่ออาหารจานเหล็กเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาของของหวาน!” เอริคหยิบกล่องโลหะออกมาอีกครั้ง พร้อมยิ้มอย่างลึกลับ “พวกท่านรู้ไหมว่าทำไมผมถึงเลือกทะเลทรายสะฮาราเป็นสถานที่ทดลอง? เพราะที่นี่เป็นที่เดียวที่สามารถแสดงพลังสูงสุดของอาวุธอวกาศได้!”
พูดจบเอริคก็เริ่มปฏิบัติการอีกครั้ง โดยเปิดกล่องโลหะและทำตามขั้นตอนเดิม คราวนี้เขาหมุนกุญแจสองดอกสามครั้ง พร้อมกับหน้าจอการทำงานที่เปลี่ยนไปเป็นสีแดงเข้ม
“พวกท่านพูดถูก หากมันไม่มีพลังทำลายล้างเทียบเท่าระเบิดนิวเคลียร์ แล้วจะเรียกว่าอาวุธอวกาศได้อย่างไร? ต่อไปนี้ ผมจะแสดงพลังสูงสุดของมัน ซึ่งผมขอเรียกมันว่า 'คำพิพากษาของพระเจ้า'! ให้พวกท่านได้รับชม”
โปรดติดตามตอนต่อไป …