42-บูชาครู
เฉินซื่อกลับไปที่ห้องอย่างอารมณ์ดี เหมือนทหารที่กลับมาหลังชัยชนะ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสดชื่นและมั่นใจ ก่อนที่จะเดินไปทำกระเป๋านักเรียนให้จูผิงอัน ขณะเดินผ่านห้องของสะไภ้สามและสะไภ้สี่ นางก็พูดจาเหน็บแนมเล็กน้อย
จูผิงอันผูกวัวเสร็จแล้วก็รีบตามแม่ของเขาเข้าไปในห้อง
ด้านนอกห้อง อาสะไภ้สี่และป้าสะไภ้ใหญ่ยังคงไม่เชื่อและพูดลับหลัง พวกนางบอกว่าคงไม่มีใครเรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พวกนางคิดว่าจูผิงอันคงจะโกหกว่าอยากไปเรียนหนังสือ หรือไม่ก็คิดว่าอาจารย์แค่ล้อเล่นกับจูผิงอัน นี่แสดงให้เห็นว่า พวกนางเองไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ จึงพูดให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
หลังจากเข้าห้องแล้ว เฉินซื่อเริ่มวิตกกังวล เพราะนางไม่รู้จะทำกระเป๋าให้จูผิงอันอย่างไร ในสมัยนั้น กระเป๋านักเรียนจะทำจากไม้หรือไม้ไผ่เป็นกล่องขนาดเล็กพกพาได้ โดยเลือกวัสดุและการทำงานที่พิถีพิถันเพื่อแสดงความภูมิฐาน นี่เป็นงานของช่างไม้ และเฉินซื่อก็รู้สึกดีใจจนหลงลืมไป
"เอ่อ...จื้อเอ๋อร์ กระเป๋านักเรียนเดี๋ยวรอท่านพ่อเจ้ามาทำให้เถอะ ท่านพ่อของเจ้าทำงานไม้เก่ง" เฉินซื่อพูดเสียงอายๆ
จูผิงอันได้ยินแล้วก็หันไปมองอย่างเบื่อหน่าย ในยุคปัจจุบันที่เขาพกกระเป๋าผ้าเป็นประจำ ไม่เคยใช้กระเป๋าไม้ที่หนักแบบนั้น
"กระเป๋าไม้หนักเกินไปนะ... ข้า...จะใช้กระเป๋าผ้าอะไรก็ได้ แค่ผืนผ้าแบนๆ พับและเย็บให้สามารถใส่ของได้ แล้วเย็บสายด้านข้างให้แขวนไว้ที่คอ" จูผิงอันพูดไปพร้อมกับทำท่าทาง
เฉินซื่อที่ทำงานเย็บผ้าเป็นประจำ เมื่อเห็นท่าทางของจูผิงอันก็เข้าใจทันที
"เจ้าลูกชายจอมเจ้าเล่ห์" เฉินซื่อพูดพลางหัวเราะ ขณะหยิบผ้าฝ้ายจากตู้และเริ่มตัดผ้า และเย็บอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก กระเป๋านักเรียนก็เสร็จสมบูรณ์ รูปทรงของกระเป๋าคล้ายกับกระเป๋านักเรียนในยุค 80-90 ของยุคปัจจุบัน แต่ไม่มีลวดลายหรือรูปแบบที่ซับซ้อน มันเรียบง่ายและดูดี กระเป๋านี้ไม่ใหญ่มาก เมื่อจูผิงอันลองสะพายแล้วพอดีกับตัว กระเป๋าไม่ดูใหญ่เกินไป แต่ก็พอดีกับขนาดและสามารถใส่หนังสือและอุปกรณ์การเรียนได้พอสมควร
"ขอบคุณนะขอรับท่านแม่" จูผิงอันพูดอย่างซาบซึ้ง ขณะสะพายกระเป๋าและมองไปที่นิ้วโป้งของท่านแม่ที่โดนเข็มเย็บแล้วบาด
เฉินซื่อพูดอย่างขำๆ "หุบปากไปเถอะ อย่ามาทำให้แม่โมโห"
ไม่นานนัก สมาชิกในครอบครัวก็กลับมาถึงบ้าน เริ่มจากท่านปู่ที่เดินเข้ามาพร้อมกับถือท่อสูบบุหรี่ ท่านปู่เห็นว่าจูผิงอันได้รับการยอมรับจากอาจารย์ให้เรียนฟรี ก็รู้สึกตื่นเต้นจนใบหน้าของเขาแดงก่ำและพูดคำว่า "ดี ดี ดี" ซ้ำๆ อย่างดีใจ
ตามมาด้วยอาสี่ที่กลับมามีกลิ่นเหล้าคลุ้งตัว เขาเดินเซไปเซมาและพูดว่า "ข้าไปดื่มกับเพื่อนมาแล้ว ไม่ต้องเรียกข้ากินข้าวเย็น" พูดจบก็เดินเซเข้าห้องไปชนประตู ดูเหมือนจะเมามาก อาสะไภ้สี่ถึงแม้จะโกรธ แต่ก็รีบวิ่งตามไปช่วยพยุงและกอดคออาสี่แน่นๆ เพื่อปลดปล่อยความเครียด
ท่านปู่เห็นแล้วก็แทบจะไม่สามารถทนได้ อยากจะเตะอาสี่สักสองสามที และพูดออกมาว่า "เจ้าลูกชายไร้ประโยชน์"
ท่านย่าผลักท่านปู่และพูดขึ้นมา "ผู้ชายก็ต้องมีการออกไปสังคมบ้าง มันก็แสดงให้เห็นว่า เจ้าสี่มีเพื่อนเยอะ"
“เพื่อนเยอะอะไร ขนาดนั้นก็แค่พวกเพื่อนที่ทำเรื่องไม่ดี มันก็แค่กลุ่มเพื่อนที่ชั่วเท่านั้นเอง! เจ้าก็รู้แต่ตามใจเขาตลอด!” ท่านปู่พูดด้วยความโกรธและตำหนิท่านย่า
จูโซ่วอี้และจูผิงชวนเป็นคนสุดท้ายที่กลับมา ทั้งสองคนถือกระบุงขึ้นหลัง วันนี้ไปขึ้นเขามา
“โอ๊ะ! พี่รองกลับมาจากเขาแล้ว!”
อาสะไภ้สี่ที่ควรจะอยู่ในบ้านดูแลอาสี่ แต่เหมือนกับได้กลิ่นเลือดของหมาป่า เขาก็รีบวิ่งออกมาด้วยความตื่นเต้น ทำให้หน้าของเฉินซื่อที่พึ่งจะก้าวออกจากห้องมืดครึ้มไปทันที
ในกระบุงของจูโซ่วอี้ มีของเต็มไปหมด เช่น กระต่ายสองตัว ไก่ป่าหนึ่งตัว หน่อไม้และเห็ดป่าอีกมากมาย พออาสะไภ้สี่เห็นก็ยิ้มแย้ม เพราะจะได้ทานเนื้อแล้ว แต่ในกระบุงของจูผิงชวนมีแต่ดอกไม้ป่า ทำให้อาสะไภ้สี่รู้สึกไม่พอใจ เพราะทำไมจูผิงชวนถึงไปเก็บดอกไม้ป่าเยอะแยะแบบนี้
“ดอกไม้ที่ข้าต้องการเอง” จูผิงอันที่เดินออกมาด้วยเท้าสั้นๆ ชี้แจงให้อาสะไภ้สี่เข้าใจ
ท่านย่าและอาสะไภ้สี่ไม่ได้สนใจดอกไม้ป่า เอาของอื่นๆ ที่มีค่าจัดเรียงไว้หมด และโยนกระบุงดอกไม้ป่าทิ้งไปให้จูผิงอัน
จูผิงอันยืนล้อมรอบกระบุงที่เต็มไปด้วยดอกไม้ป่า ยิ้มอย่างมีความสุข
ป้าสะไภ้ใหญ่ที่ยืนดูอยู่คิดในใจ “แค่ดอกไม้ป่า ทำไมถึงดีใจขนาดนี้ ถ้าไปเรียนหนังสือแล้วจะเป็นอย่างไร”
เมื่อท่านพ่อและพี่ชายได้ยินว่าจูผิงอันได้รับการยอมรับจากอาจารย์ให้เรียนหนังสือฟรี ก็รู้สึกดีใจมาก ท่านพ่อถึงกับยกจูผิงอันขึ้นในอากาศหมุนไปหมุนมา จนเกือบจะทำให้เขาหมุนจนเวียนหัว
“ท่านแม่ อาจารย์บอกว่าไม่เก็บเงินค่าเล่าเรียนแล้ว เราก็ไม่ควรไปแบบนี้นะขอรับ ข้าคิดว่า พรุ่งนี้จะเอาไก่ป่ากับเห็ดป่าไปให้อาจารย์ซุนลองชิมดู” หลังจากวางจูผิงอันลงแล้ว ท่านพ่อพูดกับท่านย่า
ท่านย่าดูไม่ค่อยเต็มใจจะรับฟัง แต่ยังไม่ทันพูดคำปฏิเสธ ท่านปู่ก็เปิดปากพูดก่อน
“ก็เป็นความคิดที่ดี เจ้ารองพูดถูก เห็ดป่าและของป่าเหล่านี้มันไม่ใช่ของมีค่าอะไร เอาไปให้เขาเถอะ” ท่านปู่พยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่ต้องใช้เยอะขนาดนั้นหรอก” ท่านย่าพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ
“เจ้าเป็นผู้หญิงจะเข้าใจอะไร!” ท่านปู่พูดเสียงดังขัดจังหวะ “ฟังข้า ไปพรุ่งนี้ต้องเอาไปให้หมด”
มื้อเย็นในบ้านกลับเป็นไปอย่างราบรื่น ท่านปู่ดื่มไปสองถ้วย เกือบจะเมาแล้ว
“ผ้าอันนี้ถ้าเอามาทำเสื้อใหม่ให้จื้อเอ๋อร์คงดีมาก แต่ทั้งหมดก็เพราะเจ้าใช้เงินฟุ่มเฟือย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่ดีๆ เลย”
หลังมื้อเย็น เฉินซื่อมองไปที่ผ้าฝ้ายสีขาวและชมพูที่อยู่บนหัวเตียงแล้วเริ่มบ่นให้ท่านพ่อ
ท่านพ่อก็ตอบว่า “ใช่ๆ” และยิ้มให้
นอกหน้าต่าง จูผิงชวนกำลังช่วยจูผิงอันหาน้ำเพื่อล้างตัว เพราะวันพรุ่งนี้ต้องไปเรียนหนังสือ ต้องเตรียมตัวให้สะอาดสะอ้าน การไปเรียนหรือเข้ารับการฝึกสอนในสมัยโบราณนั้นต้องทำการอาบน้ำและแต่งตัวใหม่ เพื่อแสดงความเคารพและตั้งใจจริง
“โอ๊ะ ใช่แล้ว ผ้าห่มสีน้ำเงินที่ข้าเอามาด้วย ยังไม่ได้เอาออกเลย รีบไปหามันมาเถอะ ข้าจะทำเสื้อใหม่ให้จื้อเอ๋อร์” ขณะบ่นเกี่ยวกับการใช้จ่ายของท่านพ่อ ท่านแม่นึกขึ้นได้ รีบพูดด้วยรอยยิ้มและเร่งให้ท่านพ่อหาผ้ามา
“อันนั้นมันเป็นของสินสอดของเจ้านะ...” ท่านพ่อพูดเสียงเบา
“เจ้าอย่าพูดมาก ข้าอยากทำให้ลูก!” ท่านแม่เตะขาท่านพ่อเบาๆ แล้วเร่งให้หาผ้ามา