41- เย็บกระเป๋านักเรียน
พระอาทิตย์ตกยังไม่ลับขอบฟ้า ตะวันยังไม่เปลี่ยนเป็นสีทอง แต่จูผิงอันก็กำลังขี่วัวแก่กลับบ้านแล้ว
เด็ก ๆ ในหมู่บ้านวิ่งไล่กันไปมาเล่นเกม “เหยี่ยวจับไก่” กันอยู่ โดยมีเพื่อนเล่นของเขาคือหมาดำและเออร์หนิว เป็นเหยี่ยวและแม่ไก่ตามลำดับ เด็ก ๆ วิ่งเล่นกันเสียงดัง ราวกับลิงในโคลน เมื่อเห็นจูผิงอันขี่วัวแก่กลับมา พวกเขาก็โห่ร้องขอให้เขามาร่วมเล่นด้วย
“พวกเจ้าก็เล่นกันไปเถอะ ข้าต้องกลับบ้านแล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวโดนตี” จูผิงอันปฏิเสธกลุ่มเด็ก ๆ ขณะนั่งขี่วัวแก่
“เจ้าเด็กขี้ขลาด ฮ่า ๆ ๆ...”
“ท่านแม่ข้าใช้ไม้กวาดฟาดข้าจนหักแล้ว ข้ายังไม่กลัวเลย... เจ้าเด็กขี้ขลาด ฮ่า ๆ ๆ...”
กลุ่มเด็ก ๆ หัวเราะอย่างภาคภูมิใจและกลับไปเล่นกันต่อในโคลน
จูผิงอันมองเด็ก ๆ ด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขามาจากไหนถึงได้ภาคภูมิใจขนาดนี้ พวกเขากำลังเล่นเหยี่ยวจับไก่ หรือกำลังกลิ้งไปกลิ้งมาในดินกันแน่ แล้วไหนจะมีการขว้างดินใส่กันอีก? นี่พวกเขาโดนพ่อแม่ตีแล้วรู้สึกภูมิใจเลยหรือไง?
เมื่อขี่วัวแก่กลับถึงบ้าน บ้านในวันนี้ไม่วุ่นวายเหมือนเมื่อวาน แต่ก็ยังคงเป็นการชิงดีชิงเด่นระหว่างสะไภ้ทั้งหลาย ท่านปู่ได้ทำให้เรื่องเงินสองก้วนนิ่งสงบลง แม้จะยังมีความไม่พอใจจากท่านแม่ของเขาและสะไภ้คนอื่น ๆ แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะในยุคนี้ การเคารพพ่อแม่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องยอมรับ แม้ว่าจะไม่มีการพูดถึงเรื่องเงิน แต่ก็ยังคงมีการพูดคุยในเรื่องอื่น ๆ และบรรยากาศก็เต็มไปด้วยคำพูดแอบเหน็บแนมกัน
“โอ้ พวกเจ้าคงไม่รู้หรอก วันนี้ข้าไปส่งจวิ้นเอ๋อร์ไปเรียน อาจารย์บอกว่าลูกข้ามีปัญญา ข้าก็เชื่ออาจารย์เลย การสอนที่เข้มงวดทำให้ลูกข้ารู้ดีขึ้น ข้ายิ่งดีใจที่อาจารย์เข้มงวดกับจวิ้นเอ๋อร์” ป้าสะไภ้ใหญ่พูดพร้อมกับเก็บผักไปด้วย และยิ้มอย่างภาคภูมิใจเมื่อพูดถึงลูกชาย
ทุกครั้งที่พูดถึงการเรียนของจวิ้นเอ๋อร์ ป้าสะไภ้ใหญ่จะเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ขณะที่แม่ของจูผิงอันมักจะรู้สึกไม่ค่อยดี และมีความรู้สึกขุ่นเคือง
“ยังไม่รู้เลยว่าเงินที่ใช้จ่ายเรียนจวิ้นเอ๋อร์มาจากไหน!” ท่านแม่ของจูผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
ป้าสะไภ้ใหญ่หน้าซีดลงเล็กน้อย แต่ก็พยายามพูดต่อ “พวกเจ้าก็เห็นแล้ว มันมาจากบ้านข้าต่างหาก”
“พี่สะไภ้ใหญ่ ข้าก็เห็นอยู่หรอกว่าบ้านท่านเป็นฝ่ายเอ่ยให้จวิ้นเอ๋อร์เรียน แต่ข้าก็เห็นว่าเจ้าหยิบเงินสอง
ก้วนนั่นมาจากท่านแม่” อาสะไภ้สี่พูดด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน คล้ายกับผู้หญิงในยุคสาธารณรัฐ
การพูดคุยระหว่างสะไภ้ทั้งหลายวนเวียนอยู่ที่เรื่องเงินสองก้วน จนเสียงเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ท่าทางเหมือนจะมีเรื่องทะเลาะกันอีก แต่ในขณะที่บรรยากาศตึงเครียด ท่านย่าก็ได้เคาะเสียงดัง เพื่อให้ทุกคนเงียบ
หลังจากนั้นสักพัก ป้าสะไภ้ใหญ่คิดว่าน่าจะถึงเวลาทำอาหารแล้ว ก็เริ่มพูดอีกครั้ง
“น้องหญิงทั้งหลาย เอาล่ะ พวกเด็ก ๆ ไปเรียนก็คงเหนื่อย คงต้องตื่นเช้ากลับเย็น ข้าก็เริ่มเสียใจที่ให้จวิ้นเอ๋อร์ไปเรียน ป่านนี้น่าจะให้เขาทำนาอย่างจื้อเอ๋อร์ดีกว่า ตอนนี้ข้าจะทำอาหารให้เขาเพิ่มแรงหน่อย แน่นอนว่าให้จื้อเอ๋อร์ด้วย เพราะการเลี้ยงวัวก็เหนื่อยเหมือนกัน”
สะไภ้ใหญ่พูดด้วยท่าทางโอ้อวด ดูเหมือนจะบอกว่า “ลูกข้าฉลาด เรียนเก่งจะเป็นขุนนาง ส่วนลูกของพวกเจ้าแค่เลี้ยงวัว” แม่ของโจวผิงอันรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็พยายามเก็บอารมณ์ไว้
จูผิงอันที่ยืนฟังอยู่ข้างนอกเห็นท่าทางของป้าสะไภ้ใหญ่ รีบตบวัวแล้ววิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อละลายความตึงเครียด
“ท่านแม่ ๆ ช่วยเย็บกระเป๋านักเรียนให้ข้าหน่อย ข้าจะใช้พรุ่งนี้” จูผิงอันพอเข้าบ้านก็พูดขึ้น
คำพูดของจูผิงอันทำให้ป้าสะไภ้ใหญ่ที่เพิ่งโอ้อวดรู้สึกยิ้มออก และหัวเราะอย่างเต็มที่มองไปที่จูผิงอันที่ขี่วัวเข้ามา ป้าสะไภ้ใหญ่ไม่สามารถหักห้ามได้ “จื้อเอ๋อร์ เจ้ากำลังเลี้ยงวัวอยู่ แล้วต้องการกระเป๋านักเรียนทำไม?”
นี่คือการดูถูกอย่างโจ่งแจ้ง!
อาสะไภ้สี่ ก็หัวเราะออกมา แม้ว่าเขาจะเป็นพวกเดียวกับเฉินซื่อในเรื่องเงินสองก้วนนั้น แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกันในเรื่องอื่น ๆ
เฉินซื่อตกใจทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ใบหน้าของนางดูเศร้าและมึนงง "นี่มันหมายความว่าอะไร? นี่หมายถึงการดูถูกลูกชายของข้าหรือไง? ท่านพ่อของเขาเองที่ศึกษาเพื่อสอบขุนางและเตรียมตัวทำงานหนักเพื่อหาเงิน ข้าก็ไม่เห็นเจ้าพูดแบบนี้เลย ลูกชายของเจ้าเรียนหนังสือ แต่ลูกชายของข้าทำการเกษตร ส่วนลูกชายคนเล็กก็ไปเลี้ยงวัว แล้วทำไมเจ้าถึงพูดคำพูดแบบนี้?"
จูผิงอันเห็นท่าไม่ดี รีบพูดสั้น ๆ เพื่อไม่ให้สถานการณ์ตึงเครียดไปมากกว่าเดิม
"ที่ข้าไปเลี้ยงวัวข้าเอาวัวไปกินหญ้าไกล้ๆสำนักศึกษา เพราะข้าไปแอบนั่งฟังการสอนข้างนอก แล้วที่ข้าอยากให้ท่านพ่อทำพู่กันใหม่ให้ข้า ดูนี่สิ นี่แหละ" จูผิงอันยกพู่กันไม้เก่าที่ทำขึ้นเองขึ้นมา "ข้าไปฟังครูสอนที่หน้าสำนักศึกษาและยังฝึกเขียนตัวหนังสือบนแผ่นไม้เหล่านี้"
คำพูดของจูผิงอันดึงดูดความสนใจของคนในบ้านได้อย่างทันที
เฉินซื่อมองพู่กันไม้เก่าหรือแผ่นไม้ที่ใช้ฝึกเขียนอย่างเศร้าใจจนแทบจะหลั่งน้ำตา
"วันนี้อาจารย์เห็นข้าแอบฟังการสอน" จูผิงอันพูดต่อ "แล้วอาจารย์ก็ชมว่าข้าเขียนตัวหนังสือได้ดี กว่าพวกเด็กในสำนักเสียอีก อาจารย์บอกให้ข้าไปเรียนหนังสือในสำนักพรุ่งนี้ด้วยนะ"
อ๊ะ?
ป้าสะไภ้ใหญ่กับอาสะไภ้สี่ทำหน้าทำตาเหมือนกลืนแมลงวันเข้าไป พวกเขาหยุดหัวเราะทันทีและตกตะลึงจนใบหน้าของพวกเขาดูเหมือนกับกลืนแมลงวันไปจริง ๆ
หลังจากนั้น ทั้งสองก็พูดพร้อมกันว่า "เรียนหนังสือเหรอ? แต่ในบ้านไม่มีเงินแล้วนะ"
ทันใดนั้น ท่านย่าก็พูดขึ้นเพื่อไม่ให้แม่ของจูผิงอันคิดที่จะส่งลูกชายไปเรียนหนังสือ "บ้านนี้ไม่มีเงินแล้วนะ"
เฉินซื่อรู้สึกว่าจูผิงอันไม่ได้รับการสนับสนุนจากท่านย่ามากเกินไป ทั้งที่ให้เงินสองก้วนนั้นกับลูกชายคนโตโดยไม่ลังเล แต่เมื่อจะให้หลานชายคนเล็กไปเรียนหนังสือกลับไม่ยอม
เพื่อไม่ให้สถานการณ์ในบ้านเกิดความตึงเครียดขึ้น จูผิงอันจึงรีบพูดต่อ
"อาจารย์บอกให้ข้าไปบอกทุกคนว่าเขาจะไม่เก็บเงินจากข้า อาจารย์บอกว่าเขาจะรับข้าไปเรียนหนังสือฟรี"
อะไรนะ?
ไม่เก็บเงินเหรอ?
ใบหน้าของป้าสะไภ้ใหญ่เต็มไปด้วยความตกใจ ขณะที่อาสะไภ้สี่รู้สึกอิจฉาและเคืองใจ
เฉินซื่อเองก็ยิ้มอย่างภูมิใจ ใบหน้าของนางแสดงถึงความภาคภูมิใจที่ลูกชายของนางได้รับการชมเชย
อาสะไภ้สามก็ดีใจจากใจจริง เพราะเขาชอบหลานชายคนนี้มาก ที่ฉลาดและรู้จักเอาใจใส่ลูกสาวตัวน้อยของเขา
"ท่านแม่ ๆ ทำไมยังยืนอยู่ตรงนั้นอีก? รีบเย็บกระเป๋านักเรียนให้ข้าหน่อย ข้าจะไปเรียนพรุ่งนี้แล้วนะ" จูผิงอันลงจากหลังวัวแล้วพูดอย่างเร่งรีบ
"โอ้ ๆ รู้แล้ว รู้แล้ว ข้านี่ก็ถูกเจ้าลูกชายตัวแสบสั่งเสียแล้ว" เฉินซื่อพูดไปอย่างหงุดหงิด แต่ใบหน้าของนางก็ไม่สามารถปกปิดความยินดีได้ มีลูกชายแบบนี้ช่างน่าภาคภูมิใจจริง ๆ
เฉินซื่อลุกขึ้นไปที่ห้องเพื่อเย็บกระเป๋าให้ลูกชาย ขณะลุกขึ้นไป นางก็หันไปมองสะไภ้ใหญ่หลินแล้วถามเสียงดัง "ท่านแม่ ๆ อาจารย์ไม่เก็บเงินจากลูกชายแล้ว แบบนี้ลูกชายข้าก็สามารถไปเรียนได้ใช่ไหม?"
(ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุน ขอบคุณมากค่ะ)