39 - ก็แค่เด็กซน
อาจารย์ซุนเดินมาหยุดตรงหน้าจูผิงอันด้วยความสงสัย อยากรู้ว่าเด็กซนคนนี้กำลังเล่นเกมอะไรอยู่ แต่เมื่อสายตามองไปยังสิ่งที่อยู่ในมือของเด็กซน เวลาราวกับหยุดนิ่ง อาจารย์เฒ่าซุนลูบเคราของตนเองอยู่พลางดึงเส้นเคราสีขาวออกมาอีกสองสามเส้นโดยไม่รู้ตัว
ในสายตา สิ่งที่เห็นคือเด็กซนที่ว่ากำลังถือพู่กันที่ทำจากไม้ไผ่และขนสัตว์อย่างง่าย ๆ จุ่มน้ำในร่องของก้อนหิน ก่อนจะลงมือเขียนบนกระดานไม้สีดำอย่างตั้งอกตั้งใจ
น้ำใสที่ใช้แทนหมึกเมื่อหยดลงบนกระดานไม้สีดำ จะอยู่ได้เพียงช่วงสั้น ๆ แต่ก็เห็นได้ชัดว่า เด็กคนนี้ หรือควรเรียกว่าผู้ตั้งใจศึกษา เขียนตัวอักษรได้ดีกว่าเด็กในสำนักศึกษาที่เขียนดีที่สุดเสียอีก
พู่กันที่ใช้ก็เป็นพู่กันที่ด้อยคุณภาพ ม้านั่งที่นั่งก็เป็นหินขรุขระ หมึกคือน้ำใสที่เทลงในร่องหิน และกระดาษที่ใช้คือกระดานไม้สีดำที่วางอยู่บนหินที่ขรุขระ แต่เขากลับเขียนด้วยความมุ่งมั่น เหงื่อที่ไหลลงมาบนใบหน้าก็ไม่ได้เช็ดออก เมื่อกระดานเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ เขาก็ยังใช้พู่กันเขียนต่อไป ตัวอักษรที่เขียนนั้นแม้จะดูไม่ชำนาญ แต่ก็ดูเรียบร้อย
สิ่งนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับที่ตนเคยคิดว่าเด็กคนนี้เป็นเพียงเด็กซน มันทำให้เกิดความรู้สึกสะเทือนใจอย่างรุนแรง
นี่คือหยกเนื้อดีที่สวรรค์ประทานมาให้ตนได้เจียระไน
“เจ้าเด็กซน เจ้าจะยอมตามข้าไปเรียนที่สำนักศึกษาหรือไม่?” อาจารย์ซุนลูบเคราแล้วถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
จูผิงอันที่กำลังตั้งใจเขียนตัวอักษรถึงกับเกือบทำพู่กันหลุดจากมือ เสียงนั้นคุ้นเคยเสียจนไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคือเสียงของอาจารยืซุน การตกใจไม่ได้เกิดจากคำพูดของอาจารย์ เพราะคำพูดนั้นจูผิงอันใฝ่ฝันจะได้ยิน แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือเสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันในขณะที่เขากำลังตั้งสมาธิ
แต่ในสายตาของอาจารย์ซุน ภาพที่เห็นกลับเป็นการแสดงความดีใจจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
แน่นอนว่าจูผิงอันไม่ได้ทำให้อาจารย์ซุนผิดหวัง เพราะในร่างกายนี้มีวิญญาณที่โตเป็นผู้ใหญ่ หลังจากตกใจอยู่ชั่วครู่ เขาก็ตั้งสติได้
จูผิงอันลุกขึ้นจากหิน ใบหน้ากลมอ้วนแสดงความดีใจอย่างชัดเจน แต่ไม่นานกลับเปลี่ยนเป็นความเศร้าสลด ในใจคิดว่าตนถูกจับได้ว่าแอบฟังบทเรียนแต่กลับไม่ถูกตำหนิ ซ้ำยังได้รับการชื่นชม ก็น่ายินดีอยู่หรอก แต่พอนึกถึงบ้านที่เพิ่งทะเลาะกันอย่างหนักเพราะเงินสองก้วน หากตนเสนอขอเงินเพื่อเข้าเรียนหนังสือ บ้านคงไม่พ้นจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอีก จึงรู้สึกหดหู่
อาจารย์ซุนมองเด็กอ้วนตรงหน้าด้วยความสนใจ ใบหน้าที่เปลี่ยนอารมณ์ไปมาเหมือนการแสดง
“ทำไมล่ะ เจ้าไม่อยากเรียนหรือ?” อาจารย์ซุนแสร้งถามอย่างเคร่งขรึม
จูผิงอันรีบโบกมืออ้วน ๆ พร้อมแสดงสีหน้าเศร้าสร้อย “อยากสิ ข้าอยากเรียนมาก แต่เพราะครอบครัวข้ายากจน ไม่มีเงินส่งข้าเข้าเรียนหนังสือ”
พูดจบ ดวงตาของจูผิงอันกลับสว่างขึ้นอีกครั้ง “วันหนึ่งข้าได้ยินบทเรียนของท่านอาจารย์ขณะที่กำลังต้อนวัว เลยรู้แจ้งในหลายเรื่อง อีกทั้งได้ยินท่านอาจารย์กล่าวว่า ‘ทุกสิ่งล้วนด้อยกว่าการศึกษา’ ข้าจึงกล้าแอบฟังบทเรียนของท่าน ท่านอาจารย์สอนดีมาก ข้าย่อมอยากเรียนกับท่าน แต่เพราะครอบครัวยากจน ข้าจึงหวังว่าท่านอาจารย์จะอนุญาตให้ข้าแอบฟังบทเรียนจากข้างนอกได้”
เด็กคนนี้ไม่เพียงขยันหมั่นเพียร แต่ยังพูดจาเป็นลำดับ มีเหตุผลชัดเจน เมื่อตนแสร้งถามอย่างเคร่งขรึม เด็กกลับตอบอย่างสุขุม ต่างจากเด็กในสำนักศึกษาที่เมื่อเห็นตนก็พากันกลัวจนทำตัวไม่ถูก
ในสายตาของอาจารย์ซุน จูผิงอันยิ่งเป็นดั่งหยกที่รอคอยการเจียระไน
เจ้ายากจนหรือ? ไม่เป็นไร ข้าไม่เก็บค่าเล่าเรียน เจ้ามาเรียนเถิด ข้าไม่เดือดร้อนเรื่องเงินอยู่แล้ว อาจารย์ซุนไม่เหมือนลุงใหญ่ของจูผิงอัน เพราะแม้เขาจะไม่ได้สอบเป็นจวี่เหริน แต่ก็เป็นบัณฑิตที่ได้รับเบี้ยเลี้ยงจากรัฐบาลทุกเดือน อีกทั้งยังมีที่นาอุดมสมบูรณ์หลายสิบหมู่ ไม่ขัดสนเรื่องเงินทองเลยสักนิด
อาจารย์ซุนเปิดสำนักศึกษาเพื่อการศึกษาเบื้องต้น (มงเสวี่ย) เพราะตนเองหมดหวังกับการสอบเข้ารับราชการ และตั้งใจที่จะช่วยปลูกฝังผู้มีความสามารถให้แก่ประเทศชาติ รวมถึงเพื่อสร้างบุคคลที่มีความรู้ความสามารถให้กับตระกูลและหมู่บ้านของตน หากเป็นไปได้ก็หวังว่าศิษย์คนใดคนหนึ่งจะสามารถทำตามความฝันที่ตนเองไม่สามารถทำได้ให้สำเร็จ
“ไม่เป็นไร ข้าจะไม่เก็บค่าสอนของเจ้า พรุ่งนี้ข้าจะรับเจ้าเข้าเรียนในสำนักศึกษาอย่างเป็นทางการ” อาจารย์ซุนพูดพร้อมลูบเคราและยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
แอบฟังการเรียน ถูกชื่นชม ได้รับโอกาสเข้าเรียน แถมไม่ต้องเสียค่าสอน
ความยินดีต่อเนื่องเช่นนี้เหมือนสวรรค์ส่งโชคหล่นใส่ ทำให้จูผิงอันที่หลังจากข้ามเวลามายังโลกนี้ไม่เคยโชคดีเลย รู้สึกเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง
“ขอบคุณอาจารย์” จูผิงอันแสดงความขอบคุณต่ออาจารย์ซุนอย่างจริงใจ เขารู้สึกว่านี่คืออาจารย์ผู้ควรค่าแก่ความเคารพยิ่ง เปรียบเสมือนผู้มีคุณธรรมสูงส่ง เขาก้มตัวแสดงความขอบคุณจนศีรษะแทบจรดอก
อาจารย์ซุนเข้าใจว่าจูผิงอันคงซาบซึ้งถึงขั้นจะคุกเข่าขอบคุณเสียอีก ทำให้ยิ่งพอใจในความซื่อบริสุทธิ์ของเด็กคนนี้มากขึ้น รีบยื่นมือมาห้าม
“อย่าเพิ่งรีบร้อน รอพรุ่งนี้หลังจากกราบไหว้ขงจื๊อค่อยว่ากัน” อาจารย์ซุนพูดพร้อมลูบหัวของจูผิงอัน “วันนี้เอาแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้หลังจากพิธีรับเป็นศิษย์ เจ้าก็เข้าเรียนได้แล้ว เจ้ากลับไปบอกพ่อแม่และผู้ใหญ่ในบ้าน ว่าข้าจะไม่เก็บค่าสอนของเจ้า ให้เจ้ามาเรียนได้เลย”
ในยุคโบราณ การศึกษาในระดับมงเสวี่ยมีพิธีการที่ค่อนข้างพิถีพิถัน โดยปกติจะต้องมีการกราบไหว้รูปปั้นขงจื๊อและทำพิธีรับเป็นศิษย์ก่อนจึงจะเริ่มเรียนได้ อีกทั้งพิธีนี้ยังต้องเลือกฤกษ์ดีด้วย อาจารย์ซุนที่ไม่ได้ให้จูผิงอันทำพิธีในวันนี้ ก็เพราะคำนึงถึงเรื่องนี้
“ขอบคุณอาจารย์ ข้าจะรีบกลับไปบอกท่านพ่อท่านแม่ทันที” จูผิงอันกล่าวขอบคุณจากใจจริง การได้พบอาจารย์ที่ดีเช่นนี้ถือเป็นโชคดีของเขา
“เจ้าจงรีบกลับไปบอกผู้ใหญ่ในบ้าน พรุ่งนี้หลังเข้าเรียนก็ต้องตั้งใจเรียนให้ดี มิฉะนั้นไม้บรรทัดของอาจารย์จะไม่ปรานี”
หลังจากจัดการจูผิงอันเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ซุนก็กลับไปสอนต่อ เขารู้สึกว่าหลังจากได้พบศิษย์ผู้มีศักยภาพคนนี้ ร่างกายของเขาดูแข็งแรงขึ้น เดินเหินก็เบาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนจูผิงอันก็ยังคงนั่งฟังบทเรียนอยู่ด้านนอก
คนหนึ่งสอนอย่างตั้งใจ อีกคนฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
แต่ดูเหมือนจะมีใครบางคนที่ไม่ได้โชคดีนัก คุณหนูเจ้าอารมณ์ที่รอฟังเรื่อง "มังกรหยก" อยู่ในป่าไผ่ รอคอยจูผิงอันอยู่นานจนหมดความอดทน เขาถือแส้ขี่ม้าเดินออกมาจากป่าไผ่ด้วยความโกรธ
“คราวนี้ต้องสั่งสอนเจ้าเด็กยากจนคนนี้ให้เข็ดหลาบ!”
ขณะที่คุณหนูเจ้าอารมณ์เพิ่งเดินออกจากป่าไผ่ จูผิงอันก็สังเกตเห็นทันที เพราะจากที่เพิ่งถูกอาจารย์ทำให้ตกใจมาก่อน ทำให้เขาตื่นตัวมากขึ้น จึงสังเกตเห็นคุณหนูเจ้าอารมณ์เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเล็ก ๆ ที่พองลมจนดูน่ารักแต่แฝงไปด้วยความโกรธ และแส้ในมือของนางบอกชัดเจนว่านางมาด้วยเจตนาไม่ดี
ไม่ได้การ! ในช่วงเวลาสำคัญนี้จะให้เกิดปัญหาไม่ได้ จูผิงอันรีบลุกขึ้นและเดินเข้าไปหา ไม่กล้าให้คุณหนูเจ้าอารมณ์อาละวาดจนรบกวนการเรียนในห้อง เพิ่งได้รับคำอนุญาตจากอาจารย์ให้เข้าเรียนฟรี ถ้าทำให้อาจารย์ไม่พอใจแล้วเปลี่ยนใจ จะไม่คุ้มกันเลย
(นิยายใหม่ยังต้องการการสนับสนุนจากทุกคน ขอให้ช่วยเก็บไว้ในรายการโปรดและแนะนำกันด้วยนะ)