36 - ความวุ่นวายกลับมาอีกครั้ง
ช่วงเย็น หลังจากถูกคุณหนูเจ้าอารมณ์บังคับให้เล่าเรื่อง จูผิงอันจึงไม่มีเวลาย่างปลาอีกเช่นเคย ขากลับจากสำนักศึกษาเขาเลยหอบตะกร้าดักปลากลับบ้านทั้งใบ ปลาที่จับได้วันนี้มีเพียงห้าตัว ขนาดประมาณฝ่ามือแต่ก็ยังพอทำให้ชื่นใจได้บ้าง
เมื่อขี่วัวแก่กลับถึงบ้าน เขาพบว่าที่บ้านกำลังวุ่นวายราวกับหม้อที่กำลังเดือด
อาสะไภ้สี่ อาสะไภ้สาม และแม่ของเขา กำลังทะเลาะกับท่านป้าสะไภ้ใหญ่และท่านย่าที่ลานบ้าน เสียงดังจนไก่บินหมาเห่า
ดูเหมือนเรื่องจะเกี่ยวกับเงินสองก่วนที่ป้าสะไภ้ใหญ่ไปขอจากท่านย่า แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มประเด็น
สะไภ้สามคนต่อสู้กับป้าสะไภ้ใหญ่และท่านย่าอย่างไม่ลดละ ท่านย่าเองไม่ได้พูดอะไร ส่วนท่านแม่ของเขาก็ไม่ยอมเสียเปรียบเช่นกัน จูผิงอันจึงเลือกที่จะไม่เข้าไปยุ่ง
"พี่สะใภ้ใหญ่ เจ้าไม่คิดจะร่วมมือกับบ้านพี่หญิงของเจ้าเพื่อหลอกพวกเราใช่ไหม? เมื่อไม่กี่วันก่อนบ้านพี่หญิงของเจ้าเพิ่งส่งเงินมาหนึ่งก้วน เมื่อวานเจ้าก็ไปขอสองก้วนจากท่านแม่ นี่มันดอกเบี้ยสูงกว่าพวกปล่อยเงินกู้อีกหรือไง? ข้ากับสะใภ้รองและสะใภ้สามก็แค่ถาม เจ้ากลับกล่าวหาว่าพวกเราสร้างปัญหา ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง พวกเราถามไม่ได้หรือไง?" อาสะไภ้สี่พูดด้วยท่าทีเหมือนคนโดนรังแก
"ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่ามันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด พี่ใหญ่ของเจ้าจะไปเรียนเพิ่มเติมที่อำเภอ อีกไม่นานเขาต้องสอบได้แน่นอน คราวนี้บ้านเราจะได้ชื่อเสียงและอยู่ดีกินดีไปด้วย ถึงขนาดได้ยืนเทียบเท่ากับผู้ว่าการโดยไม่ต้องคุกเข่า และยังได้รับการยกเว้นภาษีกับแรงงาน สะใภ้สี่ ข้าบอกไว้เลยว่าเจ้าอย่ามองอะไรแค่ระยะสั้น พี่ใหญ่ของเจ้าได้ดิบได้ดีเมื่อไหร่ เขาไม่มีทางลืมพวกเจ้าหรอก" ป้าสะไภ้ใหญ่พูดตอบอย่างมั่นใจ พร้อมยิ้มด้วยท่าทีของผู้ใหญ่กำลังตักเตือนเด็ก
"ได้ๆๆ พี่สะใภ้ใหญ่พูดอย่างนี้ทุกครั้ง แต่ข้าก็ไม่เห็นพี่ใหญ่สอบผ่านสักที!" อาสะไภ้สี่พึมพำเบาๆ
"เจ้าว่าอะไรนะสะใภ้สี่?" รอยยิ้มบนหน้าป้าสะไภ้ใหญ่เริ่มแข็งค้าง
"เปล่าๆ ข้าไม่ได้ว่าอะไร แต่พวกเราจะรู้ได้ยังไงว่าเงินสองก้วนนั้น พี่ใหญ่เอาไปเรียนจริงหรือเอาไปเอาใจบ้านพี่หญิงเจ้ากันแน่" สะไภ้สี่รีบส่ายหัว ไม่กล้าแตะประเด็นที่อ่อนไหวนี้อีก และรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที
"ใช่เลย พี่สะใภ้ใหญ่ เงินสองก่วนไม่ใช่น้อยๆ ถ้าเอามาใช้ในบ้าน พวกเราก็สามารถส่งจวิ้นเอ๋อร์ไปสำนักศึกษาได้ และยังพอส่งเจ้าจื้อเอ๋อร์ไปเรียนพร้อมกันอีกด้วย" แม่ของจูผิงอันพูดเสริม
เมื่อได้ยินดังนั้น ป้าสะไภ้ใหญ่มองไปที่จูผิงอันซึ่งกำลังขี่วัวแก่เข้ามาพร้อมตะกร้าดักปลา ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน แต่ปากยังคงยิ้มพลางพูดว่า
"สะใภ้รอง ข้าเห็นว่าเจ้าจื้อเอ๋อร์เหมาะกับการเลี้ยงวัวมากกว่า ดูสิ เขาจับปลาได้อีกแล้ว เดิมทีข้าก็ไม่อยากให้จวิ้นเอ๋อร์ไปเรียนเหมือนกัน คิดว่าจะให้เขาอยู่บ้านเลี้ยงวัวเหมือนกัน แต่พวกหมอดูบอกว่าจวิ้นเอ๋อร์คือเทพดาวนักปราชญ์มาเกิด พวกเขาพูดเหมือนกันทุกคน ถ้าข้าไม่ส่งเขาไปเรียน จะเป็นการขัดต่อฟ้าดิน ข้าจึงต้องไปบอกกับแม่ใหญ่ และแม่ใหญ่ก็ดีใจจนรีบหยิบเงินให้ทันที"
จูผิงอันเห็นว่าท่านแม่ของเขากำลังโมโหจนหน้าเขียว และทำท่าจะลุกขึ้นไปทะเลาะกับป้าสะไภ้ใหญ่
ในขณะนั้น จูผิงจวิ้นน้องชายของเขาเพิ่งกลับจากโรงเรียน
"ท่านแม่ ข้าไม่ไปเรียนอีกแล้วนะ! ท่านอาจารย์ไม่ชอบข้าเลย ตีฝ่ามือข้าทุกวัน ดูสิ บวมหมดแล้ว! ยังไงข้าก็ไม่ไปอีกแล้ว!"
จูผิงจวิ้นเดินเข้ามาพร้อมเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ยื่นมือที่ถูกตีจนแดงให้ดู
จูผิงอันแม้แต่งตัวเรียบง่าย มีรอยปะ แต่ก็ดูสะอาดสะอ้านและอ้วนท้วนดี ส่วนจูผิงจวิ้นแม้จะใส่เสื้อผ้าใหม่ แต่ใบหน้า...
บนใบหน้าเปื้อนน้ำมูกน้ำตาของจูผิงจวิ้น ยังเห็นร่องรอยคราบดินอยู่ เด็กน้อยที่ควรแต่งตัวดีๆ กลับดูเหมือนเด็กเลี้ยงวัวมากกว่า ในขณะที่จูผิงอันที่เรียบง่ายสะอาดสะอ้าน กลับดูเหมือนนักเรียนในสถานศึกษาเสียอีก
แม่ของจูผิงอันเห็นภาพนี้เข้า ความโมโหที่มีเมื่อครู่กลับหายวับไปทันที นางส่งสายตาและท่าทางแบบเดียวกับป้าสะไภ้ใหญ่คืนกลับไป
ป้าสะไภ้ใหญ่ที่ถูกกระตุ้นเช่นนี้ มองลูกชายตัวเองที่ร้องไห้ฟูมฟาย และบ่นว่าไม่อยากไปเรียนอีกแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าอาจารย์มักตีฝ่ามือของเขาทุกวัน เขาถึงกับระเบิดอารมณ์ออกมา
"ข้าจะให้เจ้าไม่ไปเรียนอีกเลย! เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อแม่ต้องทุ่มเทแค่ไหนเพื่อส่งเจ้าไปเรียน!" ป้าสะไภ้ใหญ่ตวาดลั่น ก่อนจะดึงตัวจูผิงจวิ้นเข้ามาใกล้ และคว้าไม้กวาดที่อยู่ข้างๆ มาตีลงไปที่ก้นของจูผิงจวิ้นไม่ยั้ง
"โธ่ พี่สะใภ้ใหญ่ โมโหก็อย่าไปตีเด็กสิ จวิ้นเอ๋อร์ยังเล็ก จะรู้เรื่องอะไร นั่นมันเทพนักปราชญ์จากฟ้าจะตีจนเสียไม่ได้หรอก" แม่ของจูผิงอันพูดราวกับจะเข้าข้างจูผิงจวิ้น แต่คำพูดกลับเต็มไปด้วยการเหน็บแนมป้าสะไภ้ใหญ่
"พี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อกี้ท่านบอกว่าต้องทุ่มเทแค่ไหนเพื่อส่งจวิ้นเอ๋อร์ไปเรียน ข้าฟังผิดหรือเปล่า? ไม่ใช่ว่าบ้านพี่หญิงของเจ้าเป็นคนจ่ายเงินค่าเรียนหรือ?" อาสะไภ้สี่ซึ่งหูไวเกินใครรีบจับประเด็นนี้และไม่ยอมปล่อยไป
"ใช่ ข้าก็ได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่พูดแบบนั้นเหมือนกัน" อาสะไภ้สามที่เงียบมาตลอดก็พูดเสริมขึ้น
ป้าสะไภ้ใหญ่ที่กำลังตีลูกอยู่หยุดมือชะงักทันที จูผิงจวิ้นฉวยโอกาสนี้ดิ้นหลุดออกมาได้ เขาไม่ได้วิ่งหนีไปไหน กลับนอนกลิ้งไปมาบนพื้นดินแทน พร้อมกับร้องไห้เสียงดัง
"ตีข้าให้ตายเลย ตีข้าให้ตายไปเลย! ยังไงข้าก็ไม่ไปเรียนอีกแล้ว!"
ไม่นานจูผิงจวิ้นก็กลายเป็น "ลิงโคลน" น้ำตาที่ไหลออกมาล้างคราบดินบนหน้าเป็นรอยทางขาวสองข้างตา ตัดกับคราบดินที่เหลืออยู่ชัดเจน น้ำมูกเปื้อนดินยังห้อยติดจมูก ร้องไห้โวยวายจนดูน่าสงสารยิ่งนัก
"พี่จวิ้น ลุกขึ้นเถอะ พื้นมันสกปรก" เด็กสาวน้อยชื่อ "อวี้เอ๋อร์" โผล่ออกมาจากมุมหนึ่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ เดินเข้ามาเกลี้ยกล่อมจูผิงจวิ้น
จูผิงจวิ้นไม่สนใจอวี้เอ๋อร์ ยังคงกลิ้งและร้องไห้ต่อไป
จูผิงอันเดินเข้ามาเช่นกัน หลังจากลงจากหลังวัวแก่พร้อมตะกร้าดักปลา เขามองน้องชายที่กลายเป็นลิงโคลน ก่อนจะหันไปมองอวี้เอ๋อร์ที่จ้องมาด้วยดวงตากลมโตเปี่ยมความหวัง
"ไปเถอะ อวี้เอ๋อร์ พี่จับปลาได้ตั้งหลายตัว เราเอาไปใส่กะละมังเล่นกันดีกว่า มีตัวหนึ่งหลังเป็นสีสันสวยงามเชียว"
พูดจบ จูผิงอันก็จูงมืออวี้เอ๋อร์พร้อมหอบตะกร้าปลาไปที่บ่อน้ำในลานบ้าน
"มีปลาสวยๆ เหรอ? รอข้าด้วย ข้าจะไปด้วย!" จูผิงจวิ้นที่นอนกลิ้งร้องไห้อยู่ พอได้ยินว่ามีอะไรสนุกๆ ก็หยุดร้องทันที เขาลุกขึ้น ปาดน้ำตาและน้ำมูกด้วยมือเปื้อนดิน แล้ววิ่งตามพี่ชายไปทันทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกคนในลานบ้านต่างมองภาพนี้ด้วยความงุนงง
จากนั้น
อาสะไภ้สี่เป็นคนแรกที่ได้สติ นางหันไปถามป้าสะไภ้ใหญ่ต่อ "พี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อกี้ยังไม่ได้ตอบคำถามข้ากับพี่สะใภ้สามเลยนะ จวิ้นเอ๋อร์ไม่ได้เรียนด้วยเงินจากบ้านพี่หญิงท่านหรือ แล้วท่านกับพี่ใหญ่ไปทุ่มเทอะไรกันนัก?"
"ใช่เลย พี่สะใภ้ใหญ่ ต้องอธิบายให้ชัดเจนหน่อยแล้วล่ะ"
"จริงด้วย พี่สะใภ้ใหญ่"
บรรยากาศในลานบ้านกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง...