บทที่ 219+220 ชิงอินผู้ไร้เดียงสา กับความสุขที่เรียบง่าย
ฉินฉางชิงพยักหน้าแล้วชี้ไปที่ชิงอิน “ตัดเสื้อให้พอดีกับตัวนาง...สิบชุด! ใช้วัสดุที่ดีที่สุด ข้าต้องการให้มีหลากหลายรูปแบบ”
เจ้าของร้านยิ้มจนแก้มแทบปริ พลางถูมือด้วยความยินดี “ไม่ต้องกังวล ร้านของข้าขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ วัสดุที่ใช้ล้วนเป็นหนังของปีศาจชั้นเลิศ แถมยังมีการวางค่ายกลป้องกันโดยจอมค่ายกลอีกด้วย เมื่อสวมใส่ก็เท่ากับมีสมบัติป้องกันติดตัวไปด้วย คุ้มเกินคุ้มแน่นอน...”
ด้วยฝีปากที่จัดจ้านของเจ้าของร้าน ทำเอาชิงอินที่ยืนฟังถึงกับตาลุกวาว เธอรีบหันมาหาฉินฉางชิงและเอ่ยว่า “อีกสิบชุดด้วย!”
ฉินฉางชิงส่ายหัวเล็กน้อย เขาไม่ได้ห้ามอะไรเพราะไม่ได้ขาดแคลนหินพลังปราณ
ไม่นานนัก ชิงอินก็เปลี่ยนมาในชุดใหม่เอี่ยม เธอกระโดดโลดเต้นตามฉินฉางชิงออกจากร้าน และเริ่มเดินชมสิ่งต่าง ๆ รอบตัวด้วยความสนใจ ทุกสิ่งล้วนดูแปลกใหม่สำหรับเธอ
“ว้าว พี่ฉางชิง เจ้าดูนี่สิ สิ่งนี้ที่เสียบไว้ในผม มันสวยมากเลย! คืออะไร?”
“ปิ่นปักผม”
“ข้าก็อยากได้บ้าง!”
ชิงอินหยุดอยู่หน้าร้านแผงลอยร้านหนึ่ง และหยิบปิ่นปักผมที่มีรูปผีเสื้อขึ้นมาดู ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
ฉินฉางชิงมองปิ่นในมือของเธอ และแววตาก็มีประกายขึ้นเล็กน้อย ปิ่นอันนี้มีรูปผีเสื้อที่ดูเหมือนมีชีวิต สีสันสดใสจนแทบแยกไม่ออกว่ามันเป็นของจริงหรือไม่
“สหาย ขอบอกเลยว่าปิ่นปักผมอันนี้ไม่ธรรมดา”
คนขายที่เป็นชายหนุ่มหน้าขาวนั่งอยู่ข้างคนชราเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม เขาบอกให้ชิงอินลองเป่าที่ผีเสื้อเบา ๆ
แม้จะดูเป็นชายหนุ่ม แต่ฉินฉางชิงที่เคยผ่านประสบการณ์มานับไม่ถ้วน รู้ทันทีว่านี่คือผู้หญิงปลอมตัว เขาแอบยิ้มในใจ
ชิงอินทำตามคำแนะนำ เป่าลมเบา ๆ ไปที่ปิ่น ทันใดนั้น ผีเสื้อบนปิ่นก็เริ่มกระพือปีกอย่างแผ่วเบา คล้ายกับมันมีชีวิตขึ้นมา
“แค่นี้?”
ฉินฉางชิงแอบเบ้ปากเล็กน้อย สำหรับเขาที่เคยเห็นของมหัศจรรย์มากมายนับไม่ถ้วน ของเล่นแบบนี้ดูไม่ต่างอะไรจากของพื้น ๆ ในโลกเดิม
ชายหนุ่มยิ้มพร้อมกับเอ่ยต่อ “ลองใส่พลังปราณดูสิ!”
ชิงอินที่ตื่นเต้นอยู่แล้วรีบส่งพลังปราณเข้าไปในปิ่นปักผมทันที แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้เธออุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น เพราะผีเสื้อที่อยู่บนปิ่นบินออกมาหมุนวนไปหนึ่งรอบก่อนจะกลับไปเกาะที่ปิ่นเหมือนเดิม
ฉินฉางชิงมองด้วยความสนใจเล็กน้อย แม้จะไม่ใช่ของล้ำค่า แต่เขาก็ยอมรับว่าของแบบนี้ดึงดูดใจผู้หญิงได้ไม่ยาก
“ราคาเท่าไหร่?” ฉินฉางชิงถาม
ชายชราเงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่แพงหรอก พันหินพลังปราณเท่านั้นเอง!”
พันหินพลังปราณ?
ฉินฉางชิงแอบหัวเราะในใจ ของแบบนี้แม้จะดูแปลกตา แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นสมบัติอะไร การตั้งราคาขนาดนี้เห็นได้ชัดว่าหวังจะฟันกำไรจากเขา
“หนึ่งร้อยหินพลังปราณ” ฉินฉางชิงต่อราคาอย่างไม่สนใจ
ชายชราเริ่มพูดร่ายยาวถึงความยากลำบากในการสร้างปิ่น พร้อมกับอวดอ้างว่านี่คือเทคนิคเฉพาะของพรรคตน
ชิงอินที่กำลังตื่นเต้นกับปิ่น ไม่สนใจอะไรนอกจากปิ่นในมือ เธอหันมามองฉินฉางชิงด้วยแววตาอ้อนวอน
“ซื้อเถอะ ๆ!”
ฉินฉางชิงส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะยอมจ่ายหินพลังปราณตามที่อีกฝ่ายเรียกร้อง เพื่อไม่ให้ชิงอินผิดหวัง
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ ชายชราและชายหนุ่มต่างพอใจที่ได้กำไร แต่ฉินฉางชิงมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็ก ๆ เขาคิดว่าคนสองคนนี้มีพรสวรรค์ในการสร้างเครื่องประดับของผู้หญิง หากนำพวกเขาไปทำงานให้ตัวเอง อาจได้ประโยชน์ไม่น้อย
เขาจึงลงตราประทับบนร่างทั้งสองคน เพื่อไว้ใช้ในอนาคต ก่อนจะพาชิงอินเดินออกไป
ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ฉินฉางชิงสั่งอาหารวิญญาณเต็มโต๊ะด้วยท่าทีสบาย ๆ ชิงอินมองอาหารที่ทยอยถูกนำมาเสิร์ฟด้วยความตื่นเต้น น้ำลายแทบไหลทันทีที่เห็น
“อยากกินก็กินเถอะ!”
ฉินฉางชิงยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล<br >
ชิงอินในตอนนี้ไว้ใจฉินฉางชิงอย่างเต็มที่ สำหรับเธอ นอกจากมารดาและพี่ชายสองคนแล้ว ฉินฉางชิงคือคนที่ดีที่สุดกับเธอ ด้วยความเชื่อใจ เธอจึงไม่มีการป้องกันตัวเองใด ๆ และลงมือกินอาหารตรงหน้าด้วยความเอร็ดอร่อย
สายตาของฉินฉางชิงเลื่อนไปทางหน้าต่าง ภายหลังจากการสอบถามข้อมูลในช่วงก่อนหน้านี้ เขาเริ่มเข้าใจภาพรวมของสถานการณ์ในแคว้นชิงอย่างชัดเจน
สถานการณ์ของแคว้นชิงไม่ได้แตกต่างจากแคว้นหยงหรือแคว้นเหลียงมากนัก แต่ที่นี่กลับแข็งแกร่งยิ่งกว่า แม้ว่าจะถูกปกครองโดยราชวงศ์และจักรพรรดิราชวงศ์เช่นเดียวกัน แต่พื้นที่ภายใต้การปกครองกลับเต็มไปด้วยสำนักต่าง ๆ
สำนักเหล่านี้มีหน้าที่ดูแลทั้งมนุษย์ธรรมดาและผู้ฝึกปราณ อย่างไรก็ตาม ราชวงศ์และจักรพรรดิราชวงศ์ก็ยังคงส่งยอดฝีมือไปประจำการในแต่ละพื้นที่เพื่อป้องกันไม่ให้สำนักเหล่านี้เกิดความคิดทรยศ
ด้วยรูปแบบการปกครองเช่นนี้ สำนักต่าง ๆ ในแคว้นชิงจึงมีอิสระในการจัดการตัวเองมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดผู้ฝึกปราณที่แข็งแกร่งขึ้นมามากมาย ในขณะเดียวกัน ราชวงศ์และจักรพรรดิราชวงศ์ก็ยังสามารถควบคุมสำนักเหล่านี้ได้ ด้วยการส่งตัวแทนจากแต่ละสำนักไปทำงานในเมืองหลวง ซึ่งเป็นเสมือนการประกันความภักดี
กล่าวให้ชัดคือ หากสำนักใดคิดก่อกบฏ ก็ต้องพิจารณาความปลอดภัยของผู้อาวุโสในสำนักที่อยู่ในเมืองหลวงเสียก่อน
นอกจากนี้ การที่สำนักใดมีตัวแทนอยู่ในเมืองหลวงยังถือเป็นเกียรติและได้รับผลประโยชน์ตอบแทนมากมาย นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “คนหนึ่งประสบความสำเร็จ ทุกคนได้ลาภลอย”
สายตาของฉินฉางชิงหันกลับมาที่ชิงอิน เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มขำเล็กน้อย เด็กคนนี้คงเป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มลองอาหารพลังปราณจากโลกมนุษย์ เธอจึงกินอย่างเต็มที่จนปากพองานแน่นเหมือนมีไม่พอ
“ค่อย ๆ กินเถอะ ไม่มีใครแย่งเจ้า” ฉินฉางชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงขบขัน ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “ชิงอิน เจ้าหมายความว่าไม่เคยออกจากแดนลับนั้นเลยหรือ?”
ชิงอินกลืนอาหารในปากก่อนตอบหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในความทรงจำของข้า ก่อนหน้านี้เราไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่แม่พาเราหนีจากที่อยู่เดิม พวกเราหลบซ่อนอยู่หลายปี กว่าจะไปถึงแดนลับแห่งนั้น ดูเหมือนว่าแม่กำลังหลบหนีศัตรูอะไรบางอย่าง แต่แม่ไม่เคยบอกเรา และไม่อนุญาตให้พวกเราออกจากที่นั่น...”
หลังจากที่เธอผ่านประสบการณ์โหดร้ายมาไม่นานนี้ ชิงอินเริ่มเข้าใจถึงความตั้งใจของมารดาแต่แรก เธอที่เคยไม่รู้ประสีประสาใฝ่ฝันถึงโลกภายนอก บัดนี้เข้าใจแล้วว่าโลกภายนอกนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย
ย้อนคิดถึงอดีต มารดาต้องพาพวกเธอหลบหนีไปยังที่ต่าง ๆ ทนทุกข์ยากลำบากนานนับปี กว่าจะหาที่หลบซ่อนที่ปลอดภัยได้ แต่เธอกลับเอาแต่ดื้อทำตัวซุกซน ทำให้แม่ต้องเป็นห่วง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชิงอินเบะปากเล็กน้อย ก่อนที่น้ำตาจะหยดลงมาทีละหยด
เธอคิดถึงแม่อีกครั้ง!</br >