ตอนที่ 100 ข้าไม่บอกอะไรเจ้าหรอก แต่ถ้าเจ้าอยากรู้ ก็ลองค้าหาดูเอาเองสิ!
ตอนที่ 100 ข้าไม่บอกอะไรเจ้าหรอก แต่ถ้าเจ้าอยากรู้ ก็ลองค้าหาดูเอาเองสิ!
ในจักรวาลมาร์เวล มีเผ่าพันธุ์มากมายที่แปลกประหลาด และถ้าหากมีการจัดอันดับเผ่าพันธุ์ที่พิลึกที่สุด 'เดอะวอชเชอร์' จะต้องติดอันดับอย่างแน่นอน
เผ่าพันธุ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มของจักรวาล พวกเขามีระดับเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าเผ่าพันธุ์อื่นในจักรวาลนับพันล้านปี และสมาชิกของเผ่าพันธุ์นี้ก็ได้รับการวิวัฒนาการขั้นสูง มีอายุยืนยาวและพลังที่แข็งแกร่ง
ในอดีตอันไกลโพ้น หลังจากที่ได้เห็นว่าอารยธรรมอื่นยังอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์ ผู้นำของเดอะวอชเชอร์จึงได้เสนอว่า ในฐานะเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดและทรงพลังที่สุดในจักรวาล พวกเขามีหน้าที่ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอให้พัฒนาอย่างรวดเร็ว
โดยสมาชิกส่วนใหญ่ของเดอะวอชเชอร์นั้นล้วนสนับสนุนแนวคิดนี้อย่างเต็มที่ ทำให้พวกเขาเดินทางไปยังดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ยังอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์ สอนให้ผู้คนใช้พลังงานนิวเคลียร์ เฝ้าดูการพัฒนาของเผ่าพันธุ์นั้นจนสามารถสร้างประเทศและเมือง กำจัดความอดอยากและโรคภัยได้สำเร็จ จากนั้นก็จากไปอย่างมีความสุข
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี เมื่อพวกเขากลับมายังดาวดวงเดิมและพบว่าดาวทั้งดวงอยู่ในสภาพย่อยยับ เนื่องจากเมื่อเผ่าพันธุ์นั้นพัฒนาสูงขึ้น ผู้คนก็เริ่มแย่งชิงทรัพยากรและอำนาจกัน ทำให้มีการต่อสู้ที่นำไปสู่การทำลายดาวเคราะห์ด้วยพลังงานนิวเคลียร์
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้นำของเดอะวอชเชอร์รู้สึกผิดอย่างรุนแรงและให้คำปฏิญาณว่าจะไม่แทรกแซงการพัฒนาอารยธรรมอื่นอีกต่อไป และจะเฝ้าสังเกตการณ์เท่านั้นโดยไม่ยุ่งเกี่ยว ทำให้สมาชิกในเผ่าต่างปฏิบัติตามคำปฏิญาณนั้น ทำให้เกิด ‘ผู้เฝ้าดู’ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาลมาร์เวลขึ้นมา
เดอะวอชเชอร์มักจะปรากฏตัวในเหตุการณ์สำคัญหลายครั้งในจักรวาลมาร์เวล แต่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเฝ้าดู อย่างไรก็ตามอย่าได้ดูถูกพลังของพวกเขา เพราะสมาชิกของเดอะวอชเชอร์ล้วนมีพลังในระดับมัลติเวิร์ส โดยแต่ละจักรวาลจะมีเดอะวอชเชอร์เพียงคนเดียว ซึ่งสามารถเฝ้าดูการทำงานของจักรวาลนั้นทั้งหมดได้ตลอดเวลา
พวกเขามีความสามารถในการมองเห็นทั้งอดีตและอนาคต และถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าตนเองกำลังจะตายในอีกไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็ยังยอมรับมันอย่างสงบ
“ท่านเดอะวอชเชอร์ที่เคารพ ผมกำลังเผชิญปัญหาเล็กน้อย ไม่ทราบว่าท่านจะช่วยให้คำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้หรือไม่?” เอริคพูดด้วยน้ำเสียงที่ถ่อมตัวที่สุด
ผู้พิทักษ์กำแพงหัวเราะออกมาเสียงดัง พลางพูดเยาะเย้ยทันที “ฮ่าฮ่าฮ่า ไร้ประโยชน์ เขาไม่พูดอะไรหรอก ฉันมาที่นี่หลายร้อยครั้งแล้ว เขายังไม่เอ่ยออกสักคำเดียวเลย”
ทันใดนั้นเดอะวอชเชอร์ที่ลอยอยู่กลางอากาศดูเหมือนจะตอบสนองเล็กน้อย เขาหันมามองเอริคอย่างเฉยเมย จากนั้นก็ไม่สนใจอีกต่อไป
แต่เอริคก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเช่นกัน เพราะเขารู้ว่ามีคนที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน นั่นก็คือนักรบหนึ่งคนหนึ่งที่ชื่อโนวา เขาเคยไปขอความช่วยเหลือจากเดอะวอชเชอร์บนดวงจันทร์ และได้รับคำตอบที่ต้องการ
“ท่านเดอะวอชเชอร์ ท่านคงทราบว่าผมมาจากอีกจักรวาลหนึ่ง การมาถึงครั้งนั้นเกือบทำให้จักรวาลคู่ขนานสองแห่งต้องพินาศ โชคดีที่ท่านตุลาการสามหน้าได้ช่วยกอบกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ทัน . . .”
เอริคเริ่มเล่าเรื่องราวที่อันตรายที่สุดของตนเองออกมาเพื่อหวังว่าจะดึงดูดความสนใจของเดอะวอชเชอร์ จนผู้พิทักษ์กำแพงที่ยืนฟังอยู่เริ่มลังเลว่าจะใช้ปืนจัดการภัยคุกคามนี้ดีหรือไม่
โดยคำพูดนี้ของเอริคต้องการจะบอกเป็นนัยกับเดอะวอชเชอร์ว่า ‘ดูสิ ฉันสร้างปัญหาใหญ่ แต่ตุลาการสามหน้าก็ยังมาเก็บกวาดให้จนเรียบร้อย นี่ไม่ได้แปลว่าฉันกับเขาสนิทกันงั้นเหรอ? เพราะงั้นนายจะต้องให้เกียรติตุลาการสามหน้าหน่อยสิ!”
ในที่สุด เดอะวอชเชอร์ก็ดูเหมือนจะขยับเล็กน้อย ปากของเขาขยับเล็กน้อยราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง ทำให้เอริคที่เห็นเช่นนั้นก็เฝ้ารอด้วยความคาดหวัง ส่วนผู้พิทักษ์กำแพงก็กำหมัดแน่นด้วยความลุ้นเช่นกัน
จากนั้น . . . เดอะวอชเชอร์ก็หันหลังกลับแล้วลอยจากไปเงียบ ๆ ทิ้งพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้ในความงุนงง
ทันใดนั้นผู้พิทักษ์กำแพงหัวเราะลั่นจนล้มลงกับพื้น ขณะที่เอริคกัดฟันแน่น ตัดสินใจเดินตามเดอะวอชเชอร์เข้าไปด้านใน
ในถ้ำที่เดินผ่านไปนั้น เขาได้เห็นของสะสมแปลก ๆ มากมาย เช่น ชุดเกราะ อาวุธ อุปกรณ์ตรวจจับ รวมถึงพืชและหินประหลาด แต่น่าเสียดายที่ไม่มีวี่แววของ ‘สุดยอดอาวุธทำลายล้างแห่งจักรวาล’ ที่เขาต้องการค้นหาเลย . . .
ระหว่างที่เดินตาม เดอะวอชเชอร์ก็พาเอริคเข้าสู่ห้องมืดเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกที่สุดของฐาน ซึ่งถ้ามองจากภายนอกห้องนี้ไม่มีแสงลอดเข้ามาเลยสักนิด ภายในนั้นมืดสนิทจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด ดังนั้นเมื่อเดอะวอชเชอร์เข้าไป เขาก็หายตัวไปทันที
เอริคยืนลังเลอยู่หน้าประตูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกัดฟันแล้วตัดสินใจเดินตามเข้าไป
เมื่อเข้ามาด้านใน เขาก็พบว่าภายในห้องนั้นมืดสนิทอย่างที่เห็นจากภายนอก มีเพียงแหล่งกำเนิดแสงเล็ก ๆ สองจุดที่พอทำให้มองเห็นได้ จุดแรกคือแสงจากตัวเดอะวอชเชอร์เอง ซึ่งเปล่งแสงจาง ๆ พอให้เอริคมองเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน
อีกจุดหนึ่งก็คือหน้าจอยักษ์ ที่กำลังฉายภาพต่าง ๆ สลับไปมาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นภาพของโลก มนุษย์ต่างดาว เหตุการณ์ในอดีต และปัจจุบัน
ทันใดนั้นดวงตาของเอริคก็ถูกดึงดูดไปที่หน้าจอทันที เขาเห็นภาพของ ทีชาก้าที่กำลังเล่นกับเจ้าหญิงชูริ เห็นฮอว์คอายที่กำลังต่อสู้กับไซล็อคโดยมีสกายยืนปรบมือเชียร์อยู่ใกล้ ๆ เห็นกัปตันมาร์เวลที่บินผ่านอวกาศ โดยมียานอวกาศของชาวครีตามหลังไปหลายลำ เห็นมันเทศสีม่วงกำลังบัญชาการกองทัพเพื่อสังหารพลเรือนกลุ่มหนึ่ง โดยมีเด็กหญิงผิวสีเขียวยืนอยู่ข้างหลังเขา . . .
ภาพต่าง ๆ บนหน้าจอเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนแทบจับใจความไม่ได้ แม้ว่าเอริคจะมีสายตาที่เฉียบคมในตอนนี้ แต่เขาก็ยังสามารถจับภาพได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
เดอะวอชเชอร์รอเขาอยู่ราวสิบวินาที และเมื่อเห็นว่าเอริคยังคงจ้องหน้าจออยู่ เขาก็โบกมือหนึ่งครั้ง ทำให้ภาพบนหน้าจอกลายเป็นเบลอและเต็มไปด้วยโมเสกทันที
“เฮ้! ขอผมดูอีกหน่อยสิ!” เอริคโบกมือประท้วงพยายามขอให้เดอะวอชเชอร์เอาโมเสกออก แต่เดอะวอชเชอร์กลับจ้องมองเขาอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร ทำให้เอริคเรริ่มรู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย
ทันใดนั้นเอริคเกิดความคิดบางอย่างขึ้น เขาเบิกตากว้างแล้วจ้องไปที่เดอะวอชเชอร์ ก่อนชี้ไปยังหน้าจอด้วยท่าทางตกใจ
เดอะวอชเชอร์ยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม แต่จ้องมองเอริคด้วยสายตานิ่งเฉย เหมือนกำลังรอให้เขาพูดอะไรบางอย่าง
ซึ่งความหมายของมันชัดเจนมาก — ‘ข้าจะไม่บอกอะไรเจ้าหรอก แต่ถ้าเจ้าอยากรู้ ก็ลองค้นหาดูเอาเองสิ!’
โปรดติดตามตอนต่อไป …