ตอนที่ 85 ง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอ?!
ตอนที่ 85 ง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอ?!
การได้ กราวิโทเนียม นั้นง่ายกว่าการเอาโอเบลิสก์เสียอีก เพราะสิ่งนี้ในตอนนี้ไม่มีเจ้าของ และส่วนใหญ่ก็ถูกทิ้งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ถ้าหากรู้ตำแหน่งที่แน่นอนแล้ว สิ่งที่เหลือก็แค่การขุดขึ้นมา และเมื่อพูดถึงการขุด มีใครบนโลกที่จะเชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากกว่าเขาอีกเหรอ?
ทันใดนั้นสนามแม่เหล็กก็กระจายตัวออกอย่างรวดเร็วครอบคลุมพื้นที่หลายไมล์ ก่อนที่แสงจะเริ่มบิดเบี้ยว และร่างของเอริคก็หายไปในทันที
บนโลกใบนี้เต็มไปด้วยผู้มีพลังพิเสษและเทคโนโลยีขั้นสูงมากมาย ดังนั้นมันจึงอาจมีบางสิ่งที่เขาไม่สามารถตรวจจับได้กำลังเฝ้าดูเขาอยู่ ซึ่งการขุดสิ่งสำคัญขนาดนี้เขาจึงจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เศษไวเบรเนียมขนาดเท่าลูกฟุตบอลค่อย ๆ บินออกมาจากกระเป๋าของเอริค ทันใดนั้นก็เอริคแตะมันเบา ๆ พร้อมกับไวเบรเนียมที่เริ่มขยายใหญ่ขึ้นและบางลง ก่อนที่ในพริบตามันจะกลายเป็นแผ่นบางยาวนับสิบเมตร จากนั้นมันก็หมุนตัวในอากาศกลายเป็นกระบอกบาง ๆ คล้ายปล่องไฟ
เอริคชี้นิ้วลงพื้นควบคุมให้ไวเบรเนียมปล่องไฟตกลงสู่พื้นและเริ่มหมุนด้วยความเร็วสูงขุดหลุมเป็นวงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายเมตรบนพื้น
หลังจากนั้นเอริคก็แบมือออกและกระแทกลงไปที่พื้นอย่างแรง ทำให้ปล่องไวเบรเนียมที่กำลังเจาะลึกลงไปกลายเป็นสว่านกลวงทันที
ครืน ครืน . . .
ผืนดินเริ่มสั่นสะเทือนราวกับกำลังส่งเสียงครางด้วยความเจ็บปวด แต่ใบหน้าของเอริคกับเคร่งขรึมไม่ได้แสดงอาการสะทกสะท้านใด ๆ เขาใช้พลังวิเศษของตัวเองอย่างเต็มที่ ขณะที่จับจังหวะการเจาะได้อย่างแม่นยำ
ที่นี่เป็นเหมืองร้างในแอฟริกา ไม่มีผู้คนอยู่บริเวณนี้เลย แม้แต่สัตว์ก็ยังหาได้ยาก ประกอบกับสนามแม่เหล็กที่หักเหแสง เอริคมั่นใจว่าถึงจะเกิดปรากฏการณ์ใหญ่แค่ไหนก็จะไม่มีใครพบเห็นอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นไม่นานการสั่นสะเทือนก็ค่อย ๆ หยุดลง เสียงรบกวนก็เบาลงเรื่อย ๆ ไม่ใช่เพราะปล่องไวเบรเนียมหยุดทำงาน แต่เพราะมันเจาะลึกลงไปในพื้นดินเรื่อย ๆ ทำให้เสียงและแรงสั่นสะเทือนถูกชั้นดินหนาทึบปกปิดเอาไว้
ผ่านไปประมาณสิบห้านาที ใบหน้าเอริคก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะตอนนี้ปล่องไวเบรเนียมได้ถึงความลึกที่กำหนดเอาไว้แล้ว
“สูดด . . .” เอริคสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ และยกมือขึ้นราวกับกำลังยกของหนักบางอย่าง
“ขึ้นมา!” เอริคตะโกนเสียงดัง มือทั้งสองข้างที่ดูเหมือนแบกรับน้ำหนักอันมหาศาลเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย
ตูม!!
เสาหินขนาดใหญ่ผุดขึ้นจากจุดที่ปล่องไวเบรเนียมขุดไว้ มันพุ่งสูงขึ้นรวดเร็วราวกับกระบองทองของหงอคงที่ยืดออก
ชั้นบนสุดเป็นดินบาง ๆ ส่วนล่างเป็นแร่หินหนาแน่นที่มีหินโปร่งแสงจุดประกายระยิบระยับอยู่ในนั้นภายใต้แสงอาทิตย์
นี่คือเพชร หนึ่งในสมบัติจากธรรมชาติ และเป็นหนึ่งในกลลวงทางการตลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ แม้จะมีค่ามาก แต่เอริคไม่ได้สนใจมันเลย
ด้านล่างลงไปเป็นชั้นหินหนาแน่นยิ่งขึ้น ประกอบด้วยหินทราย หินดินดาน และหินปูน . . .
หินหลากชนิดถูกตัดอย่างเป็นระเบียบเป็นทรงกระบอก ตั้งตรงสูงทะลุฟ้า พร้อมกับเสียงดังรัวไม่ขาดสายต่อเนื่องนานหลายนาที
ในที่สุดปล่องไวเบรเนียมก็ปรากฏอีกครั้ง มันเหมือนยักษ์ที่ทรงพลัง แบกเสาหินสูงเสียดฟ้าขึ้นมาอย่างมั่นคง
ทันใดนั้นสายตาเอริคก็ถูกดึงดูดด้วยสารลึกลับสีดำที่ไหลเวียนอยู่บนเสาหินนั้นทันที
มันเหมือนน้ำแต่ไม่ใช่น้ำ เหมือนทองแต่ไม่ใช่ทอง สารพิเศษคล้ายปรอทกลุ่มหนึ่งไหลเวียนไปมาระหว่างเสาหินราวกับมีชีวิต ดูแปลกประหลาดอย่างมาก
จนกระทั่งเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ เอริคจึงสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาของสนามแม่เหล็กที่อ่อนแอมาก
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่สนามแม่เหล็กโลกไม่สามารถตรวจจับมันได้ สนามแม่เหล็กของสิ่งนี้อ่อนกว่ากิ่งไม้ผุ ๆ เสียอีก!”
เอริครู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ก่อนที่เขาจะโบกมือเบา ๆ ควบคุมให้ปล่องไวเบรเนียมห่อหุ้มเสาหินเอาไว้และควบคุมให้มันบินไปอยู่ด้านหลัง
ตูม!!
หลังจากนั้นเอริคก็ทำการปิดหลุมที่เขาขุดเอาไว้ โดยเหลือไว้เพียงรอยวงตื้น ๆ บนพื้นดินเท่านั้น
หลังจากจัดการหลุมเรียบร้อยเอริคก็มองไปรอบ ๆ และใช้พลังตรวจสอบเพื่อยืนยันว่าไม่มีสิ่งผิดปกติ ก่อนจะพา ‘ของรางวัล’ ของเขาจากไป
กราวิโทเนียม มีความสัมพันธ์กับแรงโน้มถ่วงของโลก และการนำมันออกมามากเกินไปอาจจะส่งผลเสีย เอริคนึกถึงจักรวาลคู่ขนานที่ กราวิตอน เคยดูดซับกราวิโทเนียมโดยไม่สนผลลัพธ์ จนกระทั่งโลกแตกเป็นเสี่ยง ๆ และลูกสาวบุญธรรมของเขา สกาย กลายเป็นแพะรับบาป และถูกขนานนามว่า ‘ผู้ทำลายโลก’
ด้วยเหตุนี้เอริคจึงเลือกขุดกราวิโทเนียมมาเพียงเพื่อควบคุมแรงโน้มถ่วงเท่านั้น เพราะมันเป็นเหมือนตัวเร่งปฏิกิริยาที่ช่วยให้เขาเข้าใจแรงโน้มถ่วงในขั้นเริ่มต้น และไม่มีความจำเป็นต้องขุดมันมากเกินไป
เพราะถ้าหากเขาดูดซับพลังของ กราวิโทเนียม โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์เหมือนที่ กราวิตอน เคยทำ เขาอาจจะกลายเป็นเพียงทาสของมัน และสูญเสียตัวตนไปตลอดกาล
ดังที่เอริคเคยเตือนฟิวรี่เอาไว้ว่า การใช้พลังอันยิ่งใหญ่มันย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย . . .
. . .
เอริคใช้เวลานานถึงหนึ่งเดือนเต็มกว่าจะเดินทางกลับมาถึงนิวยอร์ก เหตุผลหลักคือหินที่ขนกลับมามีขนาดใหญ่มาก มันมีความสูงถึง 20 เมตร ดังนั้นไม่เพียงแค่สร้างความยุ่งยากในการขนส่งเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาดูน่าสงสัยอย่างยิ่ง
ลองคิดดูสิ ใครกันที่จะเดินทางไกลจากแอฟริกามาเพื่อเล่นกับเสาหินยักษ์แบบนี้ หากไม่มีอะไรทำหลังมื้ออาหาร . . .
หลังจากฝ่าความยุ่งยากจนมาถึงนิวยอร์กได้ เอริคก็นำเสาหินนั้นตรงไปยังห้องทดลองใต้ดินทันที โดยที่นี่นั้นมีทั้งซูเปอร์คอมพิวเตอร์และเตาปฏิกรณ์อาร์กขนาดใหญ่ ทำให้พื้นที่ว่างเหลือไม่ถึง 100 ตารางเมตร และเมื่อยัดเสาหินขนาดมหึมาเข้าไป พื้นที่ก็ถูกบีบอัดจนแทบไม่มีที่เหลือให้เขาเดินอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม เอริคไม่ได้สนใจเรื่องพื้นที่ว่างที่มีอยู่อย่างน้อยนิด ก่อนที่เขาจะรีบนำเตียงฟื้นฟูออกมาด้วยความตื่นเต้น และวางแผนจะฉีดกราวิโทเนียมเข้าไปในเตียงฟื้นฟูเพื่อทำให้มันรวมเป็นหนึ่งกับเขา
“อืม . . . แล้วฉันจะเอาสิ่งนี้ลงไปในเตียงฟื้นฟูได้ยังไง?” เอริคพบปัญหาทันทีเมื่อมาถึงขั้นตอนสุดท้าย เพราะกราวิโทเนียมดูเหมือนสิ่งมีชีวิต และมันก็ไม่ตอบสนองกับการควบคุมสนามแม่เหล็กของเขาเลย
จะใช้ช้อนตัก? ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนของเหลว แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ มันเป็นสสารที่อยู่ในสถานะพิเศษระหว่างของแข็งและของเหลว อีกทั้งกราวิโทเนียมรอบตัวมันยังทำตัวเหมือนเด็กซุกซน
ถ้าวางชามไว้ข้างบน กราวิโทเนียมก็จะลอยอยู่แค่ปากชามโดยไม่ตกลงมา แต่ถ้ายกชามออก มันจะว่ายหนีไปมาเหมือนปลาทอง
เอริคขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะสร้างลูกบอลกลวงเล็ก ๆ ด้วยไวเบรเนียมเพื่อพยายามห่อหุ้มกราวิโทเนียมเอาไว้ข้างใน แต่ทันทีที่ลูกบอลเริ่มเคลื่อนตัว เอริคก็ตกใจที่พบว่ากราวิโทเนียมสามารถไหลผ่านช่องว่างระหว่างโมเลกุลของไวเบรเนียมได้ราวกับมันอยู่ในมิติที่ต่างกัน! ทำให้ลูกบอลไวเบรเนียมไม่สามารถกักเก็บกราวิโทเนียมไว้ได้เลย
“ทำยังไงดี? คงไม่ต้องหลอมรวมเสาหินทั้งต้นหรอกใช่ไหม?” เอริคเอามือไขว้หลังเดินวนรอบเสาหินอย่างครุ่นคิด จนรองเท้าแทบจะสึกโดยไม่มีไอเดียอะไรใหม่ ๆ อะไรในหัว
“กราวิตอนทำยังไงกันนะ? ต้องสร้างตัวควบคุมกราวิโทเนียมด้วยไหม? แล้วจะสร้างยังไง? อะไรเนี่ย! ชิบหายแล้ว!”
ในขณะที่เอริคกำลังคิดอย่างสับสน เขาก็เผลอเดินเข้าไปใกล้เสาหินโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งเมื่อเขารู้สึกตัวเขาก็อยู่ห่างจากเสาหินเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
และด้วยความผิดพลาดบางอย่าง เอริคจึงยื่นมือออกไปและแตะเบา ๆ ที่พื้นผิวกราวิโทเนียมโดยไม่ทันระวัง
ทันใดนั้น กราวิโทเนียมรอบตัวก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาทันที มันไหลทะลักเข้ามาที่ปลายนิ้วของเอริคอย่างรวดเร็ว และไม่กี่อึดใจต่อมา กราวิโทเนียมทั้งหมดก็หายไปจากเสาหิน เหลือเพียงก้อนกรวดร่วงหล่นลงมาที่พื้น
“อะไรกัน . . . ง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอ? แล้วฉันขนเสาหินกลับมาทำไม?” เอริคอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
โปรดติดตามตอนต่อไป …