31 - ความลำเอียง
“จักรพรรดิให้ความสำคัญกับยอดคน การเรียนหนังสือสอนลูกหลาน ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องรอง มีเพียงการอ่านหนังสือที่สูงส่งที่สุด”
จูผิงอันถือพู่กันและแผ่นไม้สีดำเดินกลับไปที่ด้านนอกของสำนักศึกษาพอดี ตอนที่ซุนเหล่าซิ่วไฉกำลังสอนเด็ก ๆ ท่องบทกลอนแนะนำการเรียนบทนี้ ดูเหมือนว่าการศึกษาในยุคโบราณจะมีความอิสระอย่างมาก แน่นอนว่าความอิสระนี้เป็นของ "จื่อฟู" หรืออาจารย์ผู้สอน เพราะสามารถสอนได้ตามความต้องการของตนเอง ไม่เหมือนกับระบบการศึกษาในยุคปัจจุบันที่ถูกจำกัดด้วยหลักสูตร
อาจารย์ต้องการปลูกฝังความสำคัญของการอ่านหนังสือให้เด็ก ๆ และทำให้พวกเขาภาคภูมิใจในความรู้ เพื่อให้พวกเขามีสมาธิในการศึกษา
เด็ก ๆ ที่อยู่ด้านล่างยังไม่เข้าใจความหมายของบทกลอน แต่ก็พากันพยักหน้าและท่องตามอาจารย์ทีละคำด้วยความตั้งใจ
จูผิงอันคุ้นเคยกับบทกลอนแนะนำการเรียนนี้อยู่แล้ว และเข้าใจความหมายของประโยคที่ว่า "ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องรอง มีเพียงการอ่านหนังสือที่สูงส่งที่สุด" มากกว่าเด็ก ๆ พวกนี้ เขาได้เปรียบจากการมีประสบการณ์ในยุคโบราณหลายร้อยปี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าข้อได้เปรียบนี้จะมากมายนัก หากคุณเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย การสอบระดับประถมอาจไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าคุณต้องกลับไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งหลังจากเรียนจบแล้ว คุณจะมั่นใจได้แค่ไหน? ยิ่งไปกว่านั้น การสอบคัดเลือกในยุคโบราณนั้นยากกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือปริญญาโทในยุคปัจจุบันเสียอีก แม้ว่าเขาจะเคยเห็น "โชคชะตา" สองครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรนัก และเขายังไม่สามารถมองเห็นโชคชะตาได้ด้วยตนเองอีกด้วย
คิดได้ดังนั้น จูผิงอันก็วางแผ่นไม้สีดำลงบนก้อนหินอีกครั้ง แล้วเทน้ำจากกระบอกไม้ไผ่ลงในร่องของแผ่นไม้ เตรียมตัวฝึกเขียนพู่กัน การสอบคัดเลือกในยุคนี้นั้น การเขียนหนังสือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเป็นความประทับใจแรกที่ผู้ตรวจข้อสอบจะเห็น จึงจำเป็นต้องฝึกฝนอย่างหนัก
ซุนเหล่าซิ่วไฉ ที่กำลังนำเด็ก ๆ ท่องบทกลอนแนะนำการเรียนอยู่นั้น เผลอเห็นจูผิงอัน ตัวอ้วนกลม ที่กำลังเล่นรดน้ำหินอยู่ด้านนอกสำนักศึกษาอีกแล้ว ช่างเป็นเด็กซนเสียจริง เฮ้อ... เด็กในวัยนี้ที่อยู่ในตัวเมืองก็คงเริ่มเข้าเรียนหนังสือแล้ว เดินช้าก้าวหนึ่ง ก็ตามหลังไปทุกก้าว
อาจารย์ถอนหายใจด้วยความรู้สึกหนักใจ ยิ่งรู้สึกว่าจำเป็นต้องเข้มงวดกับเด็ก ๆ ในสำนักศึกษามากขึ้น จึงพาเด็ก ๆ ท่องบทกลอนซ้ำแล้วซ้ำอีก
ด้านนอกหน้าต่าง จูผิงอันหยิบพู่กันจุ่มน้ำ แล้วเริ่มฝึกเขียนตัวอักษรจีนตัวเต็มบนแผ่นไม้สีดำที่เพิ่งเรียนรู้มาในช่วงนี้ ฝึกซ้ำไปซ้ำมา มองดูตัวอักษรที่เขียนจากยุ่งเหยิงค่อย ๆ มีรูปทรงที่สวยงามขึ้น ทำให้เขายิ่งมีความกระตือรือร้นในการฝึกเขียน
วันหนึ่งกำลังจะผ่านไปอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเวลาเริ่มค่ำ อาจารย์ก็ใกล้จะมอบการบ้านให้เด็ก ๆ จูผิงอันจึงเก็บของเดินลัดป่าไผ่ไปจูงวัวกลับลงจากเนินเขา
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา วัวตัวนี้ได้ออกมากินหญ้ากับจูผิงอัน จนขนมันดูเงางาม และมันก็เริ่มให้อภัยที่จูผิงอันเคยตัดหางมันด้วย มันแลบลิ้นเลียมือของเขาอย่างอ่อนโยน
เมื่อมาถึงเชิงเขา จูผิงอันปล่อยวัวให้เดินตามสบาย จากนั้นเขาก็เดินไปยังบริเวณน้ำตื้นที่เขาวางกับดักจับปลาไว้
ลำธารใสสะอาด สายน้ำไหลเอื่อย ๆ เปรียบเหมือนบทเพลงธรรมชาติ เขาเดินเท้าเปล่าเข้าไปในน้ำตื้นที่พอท่วมถึงน่อง แล้วหยิบตะกร้าจับปลาขึ้นมา
ทันทีที่ยกตะกร้าขึ้น ก็ได้ยินเสียงดัง "ป๊าบ ๆ" ปลาหางเหลืองตัวใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือกำลังกระแทกหางกับตะกร้าอย่างแรงจนสาดน้ำกระเด็นใส่หน้าของจูผิงอัน นอกจากนี้ยังมีปลาตัวเล็ก ๆ ความยาวประมาณ 7-8 เซนติเมตรอีก 5-6 ตัว กำลังกระโดดดิ้นอยู่ในตะกร้า แต่ก็จนใจ เพราะช่องออกเล็กเกินไปและมีหนามไผ่คอยกั้นอยู่ พวกมันไม่สามารถหลุดออกไปได้
"อย่าโกรธเลยนะ พวกเจ้ากำลังจะกลายเป็นอาหารแสนอร่อยบนโต๊ะของครอบครัวเรา"
เมื่อเห็นปลาพวกนี้ดิ้นไปมา เขาก็นึกในใจว่าจะทำปลาพวกนี้เป็นปลาตุ๋น เพราะมันอร่อยที่สุด
แต่พอมองปลาที่ติดกับดักเพราะความโลภในการกินเหยื่อในตะกร้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบตัวเองกับมัน ที่ถูกคุณหนูเจ้าอารมณ์แกล้งซ้ำ ๆ ก็เพราะความโลภเรื่องของกินเหมือนกัน...
ขนม… ดูเหมือนการโดนแกล้งแบบนี้หลายครั้งก็ไม่เลวเหมือนกันนะ
หลังจากยกตะกร้าปลาขึ้นมา จูผิงอันก็ใส่รองเท้า เก็บพู่กันและแผ่นไม้สีดำ แล้วปีนขึ้นหลังวัวเดินทางกลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้าน ขณะนั้นในครัวกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ พอเห็นจูผิงอันยกตะกร้าที่เต็มไปด้วยปลาเข้ามา ท่านย่าที่ไม่ค่อยชมเขานักก็เอ่ยปากชมจูผิงอันอย่างหายาก
“โอ้โห! ปลาดุกตัวใหญ่แบบนี้ น่าจะทำแกงปลาอร่อยแน่” ป้าสะไภ้ใหญ่เดินออกมาจากในบ้าน มองดูปลาด้วยรอยยิ้ม “ใช่เลย จื้อเอ๋อร์เก่งจริง ๆ ข้าบอกแล้วว่าให้จื้อเอ๋อร์ออกไปเลี้ยงวัวต้องได้เรื่องดี ๆ กลับมาแน่นอน”
สักพัก ท่านย่าก็เอาปลาใส่ลงในกะละมัง หยดน้ำมันลงไปสองสามหยด บอกว่าจะให้ปลาคายโคลนออกมาก่อน แล้วก็ชวนลูกสะใภ้ช่วยกันเตรียมอาหารเย็นต่อ
จูผิงอันยืนอยู่หน้ากะละมัง มองดูปลาแล้วคิดอะไรบางอย่าง เขาเห็นว่าลุงใหญ่เดินออกมาจากห้อง น่าจะได้ยินว่ามีปลามาเพิ่มเป็นกับข้าว ท่านลุงที่กินเจมาหลายวันก็ยิ้มออกมาทันที
จูผิงอันคิดอะไรบางอย่าง แล้วรีบวิ่งไปดึงแขนเสื้อท่านลุง พาไปที่กะละมังพลางพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเด็ก ๆ
“ท่านลุงดูสิ ปลาตัวเล็ก ๆ ว่ายน้ำในกะละมังอย่างมีความสุข พวกมันดูสนุกจังเลยนะ”
ท่านลุงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
“แต่ท่านย่าบอกว่าท่านลุงชอบกินแกงปลา เดี๋ยวพวกมันจะถูกต้มหมดเลยนะ!”
พูดจบ เขาก็ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ ท่านลุงที่เห็นอาสะใภ้สี่แอบมองมาด้วยสายตาเฉียบขาดก็รู้สึกเกรงใจ เพราะนางเป็นคนที่ไม่ยอมใครง่าย ๆ หากคิดว่าเขาทำให้จูผิงอันร้องไห้ก็อาจจะมีเรื่องตามมา
“ตกลงๆ ไม่ต้องเสียใจไป ลุงไม่กินแกงปลาแล้วก็ได้”
ท่านลุงพูดปลอบใจไปอย่างนั้น ในใจคิดว่าเด็กเล็กอารมณ์เปลี่ยนง่าย เดี๋ยวหลอกปลอบตอนนี้ให้เงียบ พออาหารเสร็จก็แกงปลากินเหมือนเดิม เด็ก ๆ อาจจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
“จริงเหรอ?” จูผิงอันเงยหน้าขึ้นทันที แล้ววิ่งไปในครัวตะโกนเสียงดัง “ท่านย่า ท่านย่า! ท่านลุงบอกว่าไม่กินแกงปลาแล้วนะขอรับ! ปลาเป็นของข้า ข้าอยากกินปลาตุ๋นซีอิ๊ว!”
ท่านลุงที่คิดจะหลอกปลอบหลานชายยืนเหวอไปทันที
อย่างไรก็ตาม จูผิงอันก็ประเมินความลำเอียงของท่านย่าต่ำไป แม้ว่าท่านลุงจะบอกว่าไม่กินแกงปลาแล้ว ท่านย่าก็ยังทำแกงปลาดุกอยู่ดี แต่ก็ยังดีที่ปลาดุกถูกเอาไปแกง ส่วนปลาตัวเล็กอีกหกตัวทำเป็นปลาตุ๋นซีอิ๊ว ซึ่งช่วยปลอบใจจูผิงอันได้เล็กน้อย
มื้อเย็นผ่านไปแบบไม่มีอะไรจะพูด ปลาในมื้อนี้ทั้งหมดเป็นปลาที่จูผิงอันจับมาเอง แม้กระทั่งปลาตุ๋นซีอิ๊วก็ต้องไปขอร้องมาเอง แต่ผลสุดท้ายท่านย่ากลับแบ่งให้จูผิงอันแค่ถ้วยเล็ก ๆ ที่มีแกงปลาดุกและเนื้อปลาชิ้นเดียว
ปลาตุ๋นซีอิ๊วหกตัว ตัวหนึ่งให้ท่านปู่ สองตัวให้ท่านลุงใหญ่ โดยอ้างว่าท่านลุงใช้สมองหนักเพราะอ่านหนังสือ ซึ่งอีกตัวก็ให้พี่ชายจูผิงจวิ้น ด้วยเหตุผลเดียวกัน ซึ่งทำให้จูผิงอันรู้สึกงุนงงมาก เพราะจูผิงจวิ้นมักจะโดนอาจารย์ตีมือเพราะหลับในห้องเรียน จะหนักตรงไหนกัน? ตัวที่เหลืออีกสองตัว ตัวหนึ่งให้อาสี่เพราะบอกว่าอายังป่วย (วันนี้บ้านเพิ่งล้างร่องน้ำ อาสี่ป่วยอีกแล้ว และเขาบอกว่าเป็นริดสีดวงทวาร พวกเจ้าเชื่อไหม!) ท่านย่ากลับให้แกงปลาดุกที่เป็นอาหารกระตุ้นโรคด้วยเนื้อปลาชิ้นใหญ่ ๆ แต่อาสี่กินอย่างเอร็ดอร่อยไม่มีทีท่าป่วยอะไรเลย
ส่วนตัวสุดท้าย ท่านย่าแบ่งให้อาสามกับพ่อของจูผิงอัน พ่อของจูผิงอันจึงเอาส่วนของเขาแบ่งให้จูผิงอัน
จูผิงอันนั่งแทะปลาครึ่งตัวอย่างเงียบ ๆ มองจูผิงจวิ้นที่กำลังแทะปลาอย่างร่าเริงสองตัว ก็ยิ่งได้ตระหนักถึงความลำเอียงของท่านย่าในระดับใหม่
ครั้งหน้า คงต้องย่างปลาสองตัวกินที่ริมน้ำก่อน แล้วค่อยเอาที่เหลือกลับบ้าน จะได้ไม่ต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้อีก!