บทที่ 8 โรคเบื่ออาหาร? หมอขอจ่าย “เคนตั๊กกี้”!
หลังจากมีความทรงจำหลอนๆ จากช่วงเที่ยง
ทันทีที่อาหารมาถึง ซูปิงปิงและพี่ตากล้องก็กินอย่างตะกละตะกลาม
ในขณะที่เฉินมู่เก็บอุปกรณ์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอนตัวลงนอนบนโซฟา
“ติมิ!” (เสียงเริ่มเกมในมือถือ)
[ทำรายการมานาน ภรรยาฉันเพิ่งเจอวิกฤตอดข้าวครั้งแรก ฮ่าๆๆ]
[ดูพวกเขากินสิ ราวกับไม่ได้กินมาหลายวัน]
[ดูหมอเฉินสิ งานแบบนี้ทำให้อยากเป็นหมอประจำมหาวิทยาลัยบ้างแล้ว]
[ใช่เลย! ฉันเป็นหมอในโรงพยาบาลนะ งานที่นี่เทียบไม่ได้เลย งานน้อยเกินไป]
[มีใครรู้ไหมว่ารับสมัครหมอประจำมหาวิทยาลัยยังไง? หาอยู่ ด่วนเลย!]
[...]
ช่วงบ่ายทั้งช่วง ห้องพยาบาลเงียบสงบแทบไม่มีคน
มีเพียงนักศึกษาชายหญิงไม่กี่คนที่แวะมาขอถุงยางอนามัย แต่พอเห็นกล้องถ่ายทอดสด ก็รีบออกไปอย่างเขินอาย
ตอนแรกซูปิงปิงยังพยายามหาเรื่องมาคุยกับเฉินมู่
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความว่างเปล่าทำให้เธอเริ่มมองเฉินมู่ด้วยสายตาตัดพ้อ
หากไม่มีกล้อง เธอเองก็อยากจะเล่นเกมมือถือเหมือนเฉินมู่โดยไม่สนใจอะไร
แปลกแต่จริง ยิ่งเฉินมู่ใช้เวลาเล่นเกมในช่วงถ่ายทอดสดนานขึ้น ยอดผู้ชมก็เพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง
ผู้ชมในห้องสนทนาต่างพากันแซวว่าอยากสมัครเป็นหมอในมหาวิทยาลัย เพื่อแย่งงานของเฉินมู่
ซูปิงปิงที่หาเรื่องคุยไม่เจอ ก็ได้แต่มองห้องแชทไปพลาง และถามคำถามตลกๆ จากข้อความในแชทกับเฉินมู่
คำตอบของเขาบางครั้งก็ทำให้ผู้ชมขำจนหยุดไม่ได้
เสียงเกมมือถือดังขึ้นอีกครั้ง “Defeat!”
หลังจากแพ้ในโหมดผู้เล่นกับคอมพิวเตอร์ เฉินมู่เริ่มทบทวนความผิดพลาดของตัวเอง
“ตึ้ง—ตึ้ง—”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญเข้ามา”
หลังจากคำเชิญ ชายชราอายุประมาณเจ็ดสิบผมขาว ก้าวเข้ามาด้วยไม้เท้าในมือข้างหนึ่ง อีกข้างจูงเด็กชายที่ทำหน้า
หม่นหมอง พอเห็นว่าใครมา
เฉินมู่รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไปพยุงชายชราและพาเขาไปที่เตียงตรวจอย่างระมัดระวัง
“ศาสตราจารย์หลิว คุณไม่สบายหรือเปล่าครับ? ตรงไหนเจ็บไหม? หรือโรคเก่ากำเริบ?”
ศาสตราจารย์หลิวยังไม่ได้ตอบ เฉินมู่ก็เตรียมจับชีพจรให้แล้ว
“ไม่ต้องๆ ฉันไม่ได้มาเพื่อตัวเอง ครั้งนี้ฉันพาหลานชายมา”
ศาสตราจารย์หลิวชี้ไปที่เด็กชายที่ยืนอยู่เงียบๆ
“เจ้านี่สองสามวันแล้ว ไม่แตะข้าวที่บ้านเลย ราวกับเป็นโรคเบื่ออาหาร”
“ฉันนึกถึงเธอ หมอเฉิน ฉันเลยพาเขามาหา”
“ซูอี้ มานี่ ให้หมอเฉินดูให้หน่อย”
เด็กชายหลิวซูอี้ยังคงทำหน้าหม่นหมอง แต่ก็เชื่อฟัง
เขาเดินไปหาเฉินมู่อย่างว่าง่าย ยื่นข้อมือให้จับชีพจร
พอเห็นหลานชายว่านอนสอนง่าย ศาสตราจารย์หลิวก็ยิ้มกว้าง
“ซูอี้ ฟังนะ หมอเฉินอาจไม่ได้ทำงานในโรงพยาบาลใหญ่ แต่เขาเป็นหมอที่เก่งมาก”
“จำได้ไหมว่าตอนที่ปู่ปวดหลังมาตลอดหลายสิบปี?”
“ปีก่อนปู่มาทำฝังเข็มกับหมอเฉินแค่ไม่กี่เดือน ตอนนี้ปู่ไม่ปวดหลังแล้ว!”
“แล้วรู้ไหม อะไรสำคัญที่สุด?”
เด็กชายไม่ตอบ แต่ซูปิงปิงกลับยื่นหน้ามาช่วยพูด
“อะไรเหรอคะ ศาสตราจารย์?”
ศาสตราจารย์หลิวตบต้นขาตัวเองเบาๆ “สิ่งสำคัญที่สุดคือ! ที่นี่รักษาฟรีสำหรับพนักงาน!”
ซูปิงปิง “!!
[ฮ่าๆๆๆ! ศาสตราจารย์หลิวพูดซะจริงจัง ที่สุดท้ายดันเป็นว่ารักษาฟรีสำหรับบุคลากร! ฮ่าๆๆๆ!]
[ขำไม่ไหวแล้ว ศาสตราจารย์คนนี้เรียลเกินไป!]
[ฉันเพิ่งค้นประวัติศาสตราจารย์หลิวมา เขาเคยเป็นนักวิชาการของสถาบันวิทยาศาสตร์จีน ปัจจุบันเกษียณแล้ว และมาสอนที่มหาวิทยาลัยในบ้านเกิด]
[ไม่แปลกใจเลยที่เฉินมู่มีท่าทีให้ความเคารพขนาดนั้น คนแบบนี้น่านับถือจริงๆ]
[พูดตรงๆ ตอนนี้ค่ารักษาพยาบาลก็แพงจริงๆ นั่นแหละ นี่ถือว่าเป็นสวัสดิการที่ดีของมหาวิทยาลัย และมุมมองของศาสตราจารย์ก็ไม่ได้ผิดอะไร]
[มีใครสังเกตไหมว่า ศาสตราจารย์บอกว่าเฉินมู่รักษาโรคเรื้อรังของเขาหายได้? น่าทึ่งนะ!]
[...]
หลังจากเฉินมู่จับชีพจรของหลิวซูอี้เสร็จ สีหน้าของเขาก็แปลกไป
เขามองเด็กชายด้วยสายตาสำรวจ ซึ่งทำให้หลิวซูอี้หลบสายตาอย่างประหม่า แต่ในขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองเฉินมู่ด้วยความสงสัย
“หมอคนนี้เก่งขนาดนั้นเลยหรือ? แค่จับชีพจรนิดเดียวก็รู้ทุกอย่าง?”
เมื่อเห็นท่าทีประหม่าของเด็ก เฉินมู่ก็อดขำไม่ได้
เขาหันไปบอกศาสตราจารย์หลิวที่นั่งอยู่บนเตียงตรวจ “ศาสตราจารย์ เด็กคนนี้น่าจะมีอาการเบื่ออาหารนะครับ งั้นผมจะสั่งยาให้”
คำพูดของเฉินมู่ทำให้หลิวซูอี้เปลี่ยนจากท่าทางประหม่าเป็นสีหน้าดูถูกทันที
“เหอะ! จะสั่งยาให้เหรอ? นี่มันหมอมือสมัครเล่นชัดๆ!”
ในใจของเขา หลิวซูอี้ตัดสินใจว่าเมื่อกลับบ้าน จะพูดกับปู่อย่างจริงจังว่าการไปโรงพยาบาลใหญ่ยังไงก็ดีกว่ามาหาหมอในมหาวิทยาลัยแค่นี้
ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี “ได้เลย! หมอเฉิน สั่งยาให้เถอะ แล้วเดี๋ยวฉันจ่ายเงินให้”
เฉินมู่หันไปมองหลิวซูอี้ด้วยสายตาที่ดูจะอ่านทะลุความคิดของเด็ก
สีหน้าของเด็กที่แสดงความกระอักกระอ่วนออกมาอย่างชัดเจนยิ่งทำให้เฉินมู่ยิ้มกว้างขึ้น
“ศาสตราจารย์ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาครับ แต่ยาที่ผมจะแนะนำไม่มีในห้องพยาบาลนี้ คุณอาจต้องพาหลานออกไปซื้อเอง”
ศาสตราจารย์หลิวมองขาตัวเองด้วยความลังเลเล็กน้อย
ขาของเขาแม้จะดีขึ้นจากการรักษา แต่ก็ไม่เหมาะกับการเดินไกล
เฉินมู่ที่เห็นท่าทางนั้นจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“อาจารย์ ตอนนี้บริการเดลิเวอรีสะดวกมากครับ ผมจะช่วยสั่งยาให้ แล้วรอทานที่นี่ได้เลย”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ขอบคุณมากนะ” ศาสตราจารย์หลิวยิ้มตอบ
“ไม่ต้องขอบคุณครับ ไหนๆ มาแล้ว ขอจับชีพจรตรวจร่างกายศาสตราจารย์เพิ่มเติมสักหน่อย”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา “สวัสดีครับ ของเดลิเวอรีมาส่งแล้วครับ!”
ซูปิงปิงเดินไปเปิดประตู และพบเด็กหนุ่มในชุดพนักงานส่งของของร้านเคเอฟซี
เธอหันไปมองเฉินมู่ด้วยความงุนงง
“คุณไม่ได้สั่งยาเหรอ? ทำไมคนส่งเคเอฟซีถึงมาส่ง?”
ก่อนที่เธอจะถามออกมา
เฉินมู่ก็เซ็นรับของอย่างคล่องแคล่ว และเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน
หลิวซูอี้ที่ได้กลิ่นอาหารหอมๆ ดวงตาเปล่งประกายทันที น้ำลายแทบจะไหล ขณะเดินตามหลังเฉินมู่ไปอย่างตื่นเต้น…
(จบบท)###