ตอนที่แล้วบทที่ 24 ถอนตัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 26 เหลวไหล

บทที่ 25 ก้มหน้า


พัดพับเล่มหนึ่งถูกปล่อยออกจากมือของเซี่ยอวี่หลิง หมุนรอบตัวนักฆ่าทั้งสามที่อยู่บนหลังคาก่อนจะกลับมาที่มือเขา เซี่ยอวี่หลิงสะบัดพัดเบาๆ พลางแค่นเสียงเย็นชา

“หมาป่าละโมภหรือ?”

ลั่วฉินที่ยืนอยู่เบื้องล่าง มองดูเฟิงจั่วจวินและเซี่ยอวี่หลิงจัดการกลุ่มนักฆ่าอย่างรวดเร็วถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ

“ศิษย์สำนักศึกษารุ่นนี้ น่ากลัวขนาดนี้กันทุกคนเลยหรือ?”

“คิดหรือว่าข้าจะเลือกพวกเขามาแบบสุ่ม?” หนานกงซีเอ๋อร์ยิ้ม “พวกเขาคือปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักศึกษาในรุ่นนี้”

ลั่วฉินพยักหน้า “เข้าใจแล้ว” ก่อนจะเก็บมีดสั้นและถอยไปด้านข้าง จากนั้นหันมามองซูไป๋อี

“ศิษย์พี่ มีอะไรหรือ?” ซูไป๋อีถามพร้อมรอยยิ้ม

ลั่วฉินโบกมือทำท่าเชิญ “กำแพงด้านซ้ายยังมีอีกสี่คน”

ซูไป๋อีเข้าใจในทันที คงเพราะลั่วฉินเห็นเฟิงจั่วจวินและเซี่ยอวี่หลิงแสดงฝีมือไปแล้ว บัดนี้ถึงตาของเขาบ้าง และดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ลั่วฉิน เพราะเฟิงจั่วจวินและเซี่ยอวี่หลิงก็หันมามองเขาเช่นกัน

“ตามบทนิยายบรรยายไว้ บัดนี้คงถึงตาข้าแสดงฝีมือแล้วกระมัง” ซูไป๋อีเผยยิ้มแห้ง แหงนมองท้องฟ้าด้วยความกระอักกระอ่วน “แต่ข้ารู้สึกว่าพวกท่านทั้งหลายเข้าใจข้าผิดมหันต์เลยทีเดียว”

“รอช้าอยู่ไย ไฉนไม่ลงมือ” หนานกงซีเอ๋อร์เร่งเร้า

“ย่อมได้! ข้าจะให้พวกเจ้าดูวิชาของข้าบ้าง” ซูไป๋อีตะโกนออกมาเสียงดัง

“ชมบุปผาในหมอก!”

ชมบุปผาในหมอก?

ทุกคนในที่นั้นต่างสะท้านในใจ คำนี้เป็นนามเพลงกระบี่อันเลื่องชื่อของเซี่ยคั่นฮวา ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้ว เป็นดั่งตำนานที่เล่าขานกันมา กระบวนท่านี้ว่ากันว่าจะปลดปล่อยปราณกระบี่สองชั้น ชั้นแรกก่อตัวเป็นดอกบัวรอบนอก อีกชั้นหนึ่งรวมพลังไว้ที่ปลายกระบี่ เป็นดั่งบุปผาแห่งความตาย

“ไม่มีใครเคยเห็นดอกไม้นี้ เพราะคนที่เห็นล้วนตายสิ้น” เซี่ยอวี่หลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ซูไป๋อีก้าวขึ้นไปยืนบนกำแพง กุมด้ามกระบี่ไว้ในมือ

“ความเร็วนี้ช่างน่าทึ่ง” ลั่วฉินพึมพำ

ดวงตาของซูไป๋อีฉายแววอำมหิต ขณะมองไปยังนักฆ่าทั้งสี่ที่อยู่หลังกำแพง

“ดูวิชาชมบุปผาในหมอกของข้า!”

นักฆ่าทั้งสี่เพิ่งตั้งสติได้ พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะโยนดาบในมือทิ้งแล้ววิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต

ซูไป๋อีถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปล่อยมือจากด้ามกระบี่ เช็ดเหงื่อที่หน้าผากพลางพึมพำ “ข้ากลัวแทบแย่”

ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือในสนามต่างขมวดคิ้ว ครุ่นคิดถึงกระบวนท่ากระบี่เมื่อครู่

“นี่คือชมบุปผาในหมอกหรือ?” เซี่ยอวี่หลิงกล่าวเสียงเบา “ไม่คิดเลยว่าจะเร็วถึงขนาดที่ข้าไม่อาจเห็นตอนที่เขาชักกระบี่ด้วยซ้ำ”

เฟิงจั่วจวินเลียริมฝีปากก่อนเอ่ย “ดูท่า หากข้าจะเป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดของรุ่นนี้ได้ ต้องเอาชนะเขาให้ได้เสียก่อน”

ซูไป๋อีกระโดดกลับมายังด้านข้างหนานกงซีเอ๋อร์ ลั่วฉินเดินเข้ามาตบไหล่เขา

“เป็นกระบี่ที่น่าทึ่งจริงๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นศิษย์สืบทอดของเจ้าหอเซี่ยตำนาน ข้าฝันมาตั้งแต่เด็กว่าจะได้เห็นกระบวนท่านี้ด้วยตาตนเอง บัดนี้ได้เห็นแล้ว ก็เหมือนเป็นการเติมเต็มความฝัน”

“หา?” ซูไป๋อีอึ้งไป

เซี่ยอวี่หลิงกระโดดลงจากหลังคา พยักหน้า “กระบี่ของอาเจ็ดสมคำล่ำลือ หากข้าพบเขาในภายภาคหน้า จะต้องให้เขาสอนข้าบ้างแล้ว”

“หา?” ซูไป๋อียิ่งงุนงง

“หากเป็นวันปกติ ข้าคงต้องขอประลองกับเจ้า แต่วันนี้มีเรื่องด่วน เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน” เฟิงจั่วจวินกล่าวพลางพาดดาบไม้ไผ่ไว้บนบ่า

ในใจซูไป๋อีรำพึง

‘พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรกัน? ข้าไม่ได้ชักกระบี่เลยแม้แต่น้อย! แล้วพวกเจ้าต่างมองเห็นวิชาของข้าได้อย่างไร? หรือว่าวิชาของข้ามันเร็วจนกระทั่ง...แม้แต่ข้าเองก็มองไม่เห็นตัวเอง?’

หนานกงซีเอ๋อร์ยิ้มอย่างจนใจ ในหมู่คนทั้งหมด มีเพียงนางที่รู้แน่ชัดว่าเมื่อครู่ ซูไป๋อีเพียงแค่เอามือกุมด้ามกระบี่โดยไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย

ทว่านักฆ่าเหล่านั้นถูกความสามารถในการเคลื่อนไหวและคำพูดของเขาทำให้ตกใจกลัวจนวิ่งหนีไปเอง แต่นางเลือกที่จะไม่พูดอะไร เพียงเดินนำไปข้างหน้า

“ไปกันเถอะ อย่าเสียเวลาที่นี่อีกเลย”

เมื่อประตูถูกเปิดออก นักฆ่าสวมชุดดำเจ็ดคนที่ถือดาบยืนประจำอยู่ตรงทางเข้า พวกเขายืนอยู่ในตำแหน่งที่แปลกตา ราวกับกำลังสร้างค่ายกลบางอย่าง

“พวกนี้ยังไม่หนีไปอีก ช่างดื้อดึงเสียจริง” เฟิงจั่วจวินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์พลางแคะหู “ศิษย์พี่ ให้ข้าจัดการเอง!”

“ค่ายกลเจ็ดดาราเหนือ?” ลั่วฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล พลางยื่นมือห้ามเฟิงจั่วจวิน

“ค่ายกลที่เจ็ดคนรวมเป็นหนึ่ง หนึ่งเป็นเจ็ด พวกเขาสร้างค่ายกลนี้ขึ้นตั้งแต่เรายังต่อสู้กันในลาน ไพ่ตายของศัตรูอยู่ตรงนี้ ยุ่งยากแล้วสิ”

“ศิษย์พี่ลั่ว ข้าอาจพูดเกินไปบ้าง แต่ข้ายังอดไม่ได้ที่จะกล่าวอะไรบางอย่าง” หนานกงซีเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ

“จะพูดอะไรหรือ?” ลั่วฉินถามด้วยความสงสัย

“ท่านเซียนปราชญ์เคยกล่าวว่าท่านมักคิดการใหญ่เกินตัว แต่ข้าขอเตือนว่าอย่าประเมินศัตรูของท่านสูงเกินไปนัก” หนานกงซีเอ๋อร์กล่าวก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้า

“ระวัง!” ลั่วฉินร้องเตือน

แต่หนานกงซีเอ๋อร์กลับก้าวไปยืนอยู่ตรงหน้านักฆ่าคนนำ นางจ้องเขาเย็นชาและเอ่ยถามเสียงเรียบ

“ค่ายกลเจ็ดดาราเหนือรึ?”

เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนหน้าผากของนักฆ่าคนนั้น มือที่ถือดาบสะท้านสั่น หนานกงซีเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงหน้าเขา หากเขาเพียงแค่ฟันออกไป ศีรษะของนางคงหลุดจากบ่า แต่ในตอนนั้น ดาบในมือของเขากลับหนักอึ้งราวพันชั่ง เขายกมันขึ้นไม่ไหว สุดท้ายจึงยอมปล่อยดาบในมือทิ้ง แล้วทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องทิ้งดาบ ทำไมต้องคุกเข่า และหลังจากคุกเข่าลงไปแล้ว ทำไมถึงยังอยากจะก้มศีรษะให้

“นี่มัน... โอรสสวรรค์ก้มหน้า!” ลั่วฉินอุทานตะลึง

“ผีเสื้อวายุรู้เรื่องไม่น้อยดังคาด” หนานกงซีเอ๋อร์กล่าวก่อนจะเดินต่อไป

ทุกก้าวที่นางย่างกรายผ่าน นักฆ่าที่เหลือล้วนปล่อยดาบในมือ ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นอย่างสิ้นหวัง เหงื่อไหลอาบใบหน้า ดวงตาเบิกกว้างเหมือนเพิ่งผ่านประสบการณ์อันน่าสะพรึงกลัว หลังเดินผ่านครบทั้งเจ็ดคน หนานกงซีเอ๋อร์หันมายิ้มให้กับทุกคน

“ยังไม่รีบตามมาอีกหรือ?”

ซูไป๋อีมองดูนักฆ่าทั้งเจ็ดที่คุกเข่าลงและหมดสติไป เขาพึมพำเบาๆ “ศิษย์พี่บอกว่าพวกเราคือปีศาจ แต่สิ่งนี้ต่างหากที่เรียกว่าปีศาจ”

“นี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น” เฟิงจั่วจวินหัวเราะก่อนจะเดินตาม “พลังของศิษย์พี่ เจ้าเพิ่งเห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

เซี่ยอวี่หลิงหันไปถามลั่วฉินเบาๆ “โอรสสวรรค์ก้มหน้า นี่คือวิชาอะไร?”

ลั่วฉินกลับมาสงบเหมือนเดิม เขาไม่ตอบคำถาม แต่ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว จากนั้นกางปีกกลไกที่หลัง แล้วกระโดดขึ้นไปในอากาศ

“ศิษย์น้องหนานกง ระวังตัวด้วย”

หนานกงซีเอ๋อร์หันกลับมา “ทราบแล้ว ศิษย์พี่! ที่เหลือตามมาเร็วๆ!”

ซูไป๋อีพึมพำกับตัวเองขณะเดินตามหลัง “โอรสสวรรค์ก้มหน้า ต้องจำคำนี้ไว้ให้ดี...”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด