บทที่ 24 ถอนตัว
เซี่ยอวี่หลิงที่ยืนอยู่ข้างซูไป๋อี สังเกตได้ว่าท่าทางของเขาแม้จะมีความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นในน้ำเสียง เซี่ยอวี่หลิงก้มหน้าหัวเราะเบาๆ
“ดูเหมือนเจ้าจะรักอาจารย์ของเจ้ามาก”
ซูไป๋อียิ้ม “ศิษย์พี่เซี่ย อยู่กับท่านมาหลายวัน ข้ารู้สึกว่าท่านหัวเราะบ่อยกว่าหลายวันก่อนรวมกันเสียอีก”
“อาจารย์ของเจ้า...เป็นอาเจ็ดของข้า” เซี่ยอวี่หลิงกล่าวอย่างเรียบๆ
“โอ้” ซูไป๋อีถึงกับตระหนัก “ถ้าเช่นนั้น ชายชุดครามก็คือพี่ชายของท่าน ข้าคิดว่าตระกูลเซี่ยของท่านเป็นตระกูลใหญ่มาก ทุกคนแม้ใช้แซ่เดียวกัน แต่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันโดยตรง”
“ตอนเด็ก ข้ากับพี่ชายชอบตามติดอาเจ็ดไปทุกที่” เซี่ยอวี่หลิงยิ้มบางๆ
“เขาคือบุคคลที่ข้าชื่นชมที่สุดในชีวิต แม้ไม่ได้เจอกันมาหลายปี ก็ไม่รู้ว่าเขายังเป็นเหมือนเดิมหรือไม่ ข้าจึงถามเจ้าเกี่ยวกับเรื่องราวของเขา ขออภัยที่เสียมารยาท”
“ยังเหมือนเดิมหรือไม่? ได้ยินว่าตอนยังดรุณหนุ่ม เขาคือจอมยุทธบ้าคลั่งแห่งยุทธภพยิ่งใหญ่เทียมฟ้า แต่เมื่อครั้งพบข้า เขากลายเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่คอยหลอกเอาเงินศิษย์” ซูไป๋อีส่ายหัวถอนหายใจ “กาลเวลาไม่เคยปราณีผู้ใด”
“เขายังเหมือนเดิม” เซี่ยอวี่หลิงกล่าว น้ำเสียงแฝงความคิดถึง “ข้ายังจำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาพาพวกเราไปเที่ยวเมืองกู่ซู แต่ที่นั่นเขาเสียเงินทั้งหมดในบ่อนพนัน สุดท้ายซื้อซาลาเปาได้แค่สองลูกให้ข้ากับพี่ชาย ส่วนเขานั่งน้ำลายไหลอยู่ข้างๆ เพราะหิว แต่เขาก็ยังหัวเราะเช่นเดิม”
“ศิษย์พี่เซี่ย ข้าสงสัยนัก ท่านชื่นชมอะไรในตัวอาจารย์ข้ากันแน่?” ซูไป๋อีย่นคิ้ว
เซี่ยอวี่หลิงยิ้ม “เจ้าเคยได้ยินการประชันยุทธ์ของสี่ตระกูลใหญ่หรือไม่?”
ซูไป๋อีพยักหน้า “เรื่องนี้ข้ารู้ ชายชุดครามก็เคยเข้าร่วม เป็นเวทีประลองของเหล่าศิษย์ดรุณหนุ่มสาวจากสี่ตระกูลใหญ่ใช่หรือไม่?”
“กล่าวได้ถูกแล้ว ในปีนั้นอาเจ็ดของข้าก็เข้าร่วมการประชันยุทธ์ แต่วันนั้นเหอเหลียนซีเยว่ได้นัดเขาไปชมการประลองหาคู่ของเซียนหญิงซีเยว่ที่หอเทียนอวิ๋น อาเจ็ดกลัวว่าจะไปไม่ทัน จึงไม่รอให้การประชันจบ เขาลงมือจัดการศิษย์คนอื่นทั้งหมดภายในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป”
“ที่ข้าจำได้คือ ใครต่อใครต่างมองด้วยความตกตะลึง” เซี่ยอวี่หลิงหัวเราะเบาๆ “มันเป็นความสะใจ”
“นั่นก็เข้าใจได้ เรื่องนี้สำคัญต่อชีวิต” ซูไป๋อีกล่าว
“สำคัญเยี่ยงไร?” เซี่ยอวี่หลิงถามอย่างสงสัย
“ก็เรื่องสำคัญต่อชีวิตของอาจารย์ข้าไง ท่านบอกว่าการประลองนั้นคือการเลือกคู่ของเซียนหญิงซีเยว่มิใช่หรือ?” ซูไป๋อีย้อนถาม
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เซี่ยอวี่หลิงหัวเราะจนตัวโยก “ไม่ใช่เลย พวกเขาไปชมเพื่อความสำราญ เซียนหญิงซีเยว่ไม่รู้จักพวกเขาแม้แต่น้อย”
“เฮ้อ!” ซูไป๋อีทอดถอนใจ “นี่มันช่างเหมือนอาจารย์ข้าเสียจริง ถ้าเช่นนั้นคนของสี่ตระกูลใหญ่คงโมโหสุดขีด”
“กล่าวได้มิผิด แต่พลังของอาเจ็ดทำให้ทุกคนเห็นความสามารถของเขา แม้เขาจะไม่ได้ชื่อเสียงที่ดีนัก” เซี่ยอวี่หลิงกล่าวพร้อมกับสีหน้าที่หม่นลงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองบ้านด้านหลัง
“ว่าแต่...ในบ้านไฟลุกได้อย่างไร?”
ในบ้าน
ไฟเริ่มลุกโชน คนของผีเสื้อวายุลุกขึ้นพร้อมกับเก็บเอกสารทั้งหมดไว้กับตัว จากนั้นบิดกระปุกหมึกบนโต๊ะ ทำให้โต๊ะเริ่มลุกไหม้
ลั่วฉินเอ่ยอย่างหนักใจ “มีคนจับได้ว่าเรารับข่าวสารระหว่างทาง ที่นี่คงต้องละทิ้งกันแล้ว แยกย้ายกันเถิด ไปเจอกันที่สำนักศึกษา!”
“ทราบ” ทุกคนตอบพร้อมกันก่อนจะรีบออกจากบ้าน
“ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ?” เซี่ยอวี่หลิงและซูไป๋อีถามพร้อมกัน
“มีคนจับตาเราอยู่ ต้องรีบออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้” หนานกงซีเอ๋อร์กล่าวก่อนจะนำทางออกจากบ้าน
“เราจะออกไปจากที่นี่อย่างไร? หรือจะเหมือนพวกเขา...บินหนีไป?” ซูไป๋อีชี้ไปข้างหน้าพร้อมถามด้วยน้ำเสียงตกตะลึง
ทุกคนเงยหน้ามอง เห็นคนของผีเสื้อวายุติดปีกกลไกบนหลัง พุ่งตัวขึ้นจากพื้นแล้วลอยอยู่กลางอากาศชั่วครู่ ก่อนจะมองกลับมาด้วยสายตาเย็นชา และบินจากไปอย่างรวดเร็ว
“นี่คือปีกกลไก มันรับน้ำหนักได้เพียงคนเดียวและบินได้ระยะสั้นๆ เท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีวรยุทธสูง หากอยู่ต่อก็รังแต่จะตาย” ลั่วฉินอธิบาย
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไร?” ซูไป๋อีถาม
ลั่วฉินชักมีดสั้นสองเล่มจากเอว ก้าวออกมาสามก้าวใหญ่ ก่อนสะบัดมือสองครั้งเพื่อปัดลูกศรที่พุ่งมาจากมุมมืดออกไป “มีแต่ต้องฝ่าออกไปด้วยการฆ่าเท่านั้น”
“กำแพงซ้ายมีสี่คน กำแพงขวามีห้าคน ประตูหน้ามีเจ็ดคน และบนหลังคามีอีกสามคน” หนานกงซีเอ๋อร์หลับตา ใช้วิชาสัมผัสพลังปราณรอบตัวก่อนเอ่ย “รวมทั้งหมดสิบเก้าคน”
“ศิษย์น้องหนานกงสมคำร่ำลือ ใช้วิชาสัมผัสเพียงอย่างเดียวก็ระบุตำแหน่งและจำนวนศัตรูได้อย่างแม่นยำ” ลั่วฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่ศัตรูมากกว่าพวกเราหลายเท่า ขอให้ทุกคนระวังตัว”
“พวกเขาเป็นใครกัน? เราไม่ได้รู้จักใครในเมืองแปดทิศ ทำไมถึงต้องมาฆ่าเรา?” ซูไป๋อีถามด้วยความสงสัย
“หมาป่าละโมภ!” ลั่วฉินเลียริมฝีปาก “เป็นกลุ่มมือสังหารที่ลึกลับที่สุดในเมืองแปดทิศ ผู้คนมากมายที่มาที่นี่และถูกลบชื่อหายไป ล้วนเป็นฝีมือของพวกมัน เราสืบหามานานได้แค่รู้ว่าพวกมันเป็นคนของสำนักใหญ่แห่งหนึ่งในยุทธภพ แต่ยังไม่อาจระบุว่าใครอยู่เบื้องหลัง”
“เช่นนั้นแปลว่าเราขัดแย้งกับสำนักใหญ่บางแห่ง?” เซี่ยอวี่หลิงโบกแขนปัดลูกเกาทัณฑ์ “เกี่ยวข้องกับเรื่องคดีนี้หรือเปล่า?”
“จะถามให้มากความไปไย! กำแพงขวาห้าคนนั้นให้ข้าจัดการเอง!” เฟิงจั่วจวินตะโกนลั่น ก่อนคว้าดาบไม้ไผ่ในมือพุ่งตรงไปยังด้านกำแพงขวา
“ช้าก่อน! อย่าบุ่มบ่าม!” ลั่วฉินพยายามจะห้าม แต่ไม่ทันเสียแล้ว
เฟิงจั่วจวินพุ่งเข้าไปถึงกำแพงด้านขวา เขากวาดดาบไม้ไผ่ในมืออย่างรุนแรงจนกำแพงพังทลายครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นนักฆ่าที่ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพง พวกนั้นยังไม่ทันตอบสนอง เฟิงจั่วจวินเหยียบกำแพงที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งและตวาดเสียงดัง
“ใครฉลาดก็รีบไสหัวไปซะ!”
เสียงคำรามของเขาทำให้นักฆ่าเหล่านั้นชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะชักดาบจากเอวแล้วพุ่งเข้าโจมตี
“คิดจะใช้ดาบกับข้า?” เฟิงจั่วจวินเลิกคิ้ว ก่อนใช้ดาบไม้ไผ่กวาดเพียงครั้งเดียวทำให้ดาบของทั้งห้าคนหลุดมือกระเด็นออกไป “แค่นี้เรียกว่าดาบรึ?”
เขากระโดดขึ้นไปกลางอากาศ คว้าดาบเล่มหนึ่งจากอากาศหมุนพลิกตัวเบาๆ และพุ่งลงมาที่พื้น ใช้ดาบเล่มนั้นปักลงตรงกลางอย่างรุนแรง พลังปราณจากดาบแผ่ออกมาราวกับพายุซัดจนเหล่านักฆ่าทั้งห้ากระเด็นออกไป แต่ดาบเล่มนั้นทนต่อพลังไม่ไหวจึงแตกหัก เฟิงจั่วจวินโยนด้ามดาบลงพื้นด้วยความไม่ใยดี
“เซี่ยอวี่หลิง!” เฟิงจั่วจวินเรียก
“อยู่นี่” เสียงตอบดังขึ้นจากบนหลังคา
นักฆ่าสามคนที่กำลังเล็งปากกระบอกเป่าลูกดอกไปที่เฟิงจั่วจวิน ถึงกับเหงื่อเย็นอาบเต็มแผ่นหลังทันที