บทที่ 2 ยามโลกโหดร้าย
เมื่อชายชราผู้นั้นสิ้นใจ ผู้คนที่หนีภัยแล้งต่างพากันชาชินกับภาพตรงหน้า ลานโล่งนอกกำแพงเมืองจึงเงียบกริบราวกับไร้ผู้คน
หยางกวนซื่อยืนยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาหยิบกระจกทองเหลืองเล็กๆ ขึ้นมาส่องดูตัวเอง ก่อนจะหันไปมองหลิวต้าเปา
"ขายไหม?" หยางกวนซื่อถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
หลิวต้าเปาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เหลือบมองร่างไร้วิญญาณบนพื้น แล้วเหลือบมองหยางกวนซื่อ เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่าย ก็รีบคุกเข่าลงพลางร้องบอก "ขายๆๆ ขอเพียงมีชีวิตรอด ขายอะไรก็ยอม!"
หยางกวนซื่อยกนิ้วขึ้นยิ้ม ก่อนจะมองสำรวจฝูงชนผู้อพยพ เดินเข้าไปตรวจดูใกล้ๆ เห็นได้ชัดว่าคนเดียวไม่พอ ต้องการคัดสรรให้ได้คนที่ดีที่สุด จึงมองหาเพิ่มอีกสองสามคน
เขาข้ามผู้สูงวัยไปทั้งหมด มองหาเพียงหนุ่มๆ หน้าตาดี แม้ว่าผู้อพยพส่วนใหญ่จะผอมโซจนดูไม่ออก แต่ก็พอจะเดาเค้าโครงได้
หยางกวนซื่อเดินวนดูหนึ่งรอบ เลือกได้อีกสองสามคน แล้วจึงเดินมาหยุดตรงหน้าเมิ่งเหวียน
"กระดูกดูดี แค่สกปรกมอมแมมจนมองไม่เห็นหน้าตา" หยางกวนซื่อกล่าวพลางซ่อนมือในแขนเสื้อ "เอาหิมะมาถูหน้าซิ ให้ข้าดูหน่อย"
"ไม่ขาย" เมิ่งเหวียนตอบตรงๆ
"เฮอะ! ทำตัวสูงส่ง เดี๋ยวพอจะขายก็หาที่ขายไม่ได้หรอก!" หยางกวนซื่อถ่มน้ำลายลงพื้น รวบรวมเด็กหนุ่มเจ็ดแปดคนที่เลือกได้ พูดอะไรกับเจ้าหน้าที่สองสามประโยค แล้วรีบขึ้นรถม้าจากไป
พวกผู้คุมก็ไม่สนใจอะไรอีก กลับไปนั่งผิงไฟใต้ศาลาโรงทาน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สวรรค์และแผ่นดินเงียบสงัด มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาของเด็กๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศดูเหงาและหดหู่
เมิ่งเหวียนกอบหิมะขึ้นมาถูหน้า แล้วเดินไปหาร่างชายชรา คุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อตรวจลมหายใจ และจับชีพจรที่คอ เห็นได้ชัดว่าเขาตายสนิทแล้ว
ขณะที่กำลังคิดว่าจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ในการจัดการศพได้หรือไม่ ก็ได้ยินเสียงถ่มน้ำลาย
เมิ่งเหวียนเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหญิงสาวในชุดดอกไม้เก่าๆ ยืนพิงกำแพงอยู่ที่ปากซอย กำลังคายเปลือกเมล็ดแตง
หญิงผู้นั้นหน้าตาธรรมดา รอบดวงตาคล้ำ เธอมองรถม้าที่แล่นผ่านประตูเมืองเข้าไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ "ปีนี้ก็ยากลำบากพออยู่แล้ว โสเภณีแย่งลูกค้าโสเภณีก็ว่าไปอย่าง นี่ผู้ชายก็มาแย่งอาชีพโสเภณีอีก! โลกอะไรกัน! ชิ!"
เห็นได้ชัดว่าหญิงผู้นี้ไม่ใช่ผู้อพยพ คงเป็นโสเภณีในซอยแคบๆ แห่งนี้ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว พวกที่ชอบ "กระต่ายน้อย" คงไม่มาหาความสำราญในซอยลับแบบนี้ ดังนั้นที่บ่นว่าแย่งลูกค้าจึงไม่น่าจะเป็นความจริง
"พี่สาว" เมิ่งเหวียนนั่งลงบนพื้นหิมะ รอจนหญิงสาวหันมามอง จึงถามว่า "รบกวนถามหน่อยครับ ที่บ้านพี่สาวมีเสื่อเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้แล้วบ้างไหม?"
หญิงผู้นั้นได้ยินก็ยิ้ม เคี้ยวเมล็ดแตงไปพลางพูดไปพลาง "อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ จะเอาเสื่อไปทำอะไร? ที่ห้องพี่มีน้ำอุ่น มีความอบอุ่น" พูดพลางกะพริบตา แต่น่าเสียดายที่หน้าตาธรรมดา แต่งตัวก็ไม่เป็น ไม่มีเสน่ห์ยั่วยวน กลับดูตลกไปเสียมากกว่า
"คนตายต้องฝัง แม้ไม่มีโลงก็ควรมีเสื่อห่อศพปิดหน้า" เมิ่งเหวียนก้มหน้าวิงวอน
หญิงผู้นั้นได้ยินคำพูดนี้ เห็นชายหนุ่มในชุดขาดกะรุ่งกะริ่ง มือเป็นหิดเหน็บ หน้าซูบผอม ดูยากไร้ จึงถามว่า "เขาเป็นอะไรกับเจ้า?"
"ไม่รู้จักกัน เป็นแค่คนหนีภัยเหมือนกัน เขาตายเพราะพูดความจริง ปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้ไม่ได้" เมิ่งเหวียนตอบ
หญิงสาวถ่มน้ำลาย หมุนตัวเดินเข้าซอย พลางคายเปลือกเมล็ดแตง "มาขอของจากข้า? ไม่เคยได้ยินสำนวนที่ว่าโสเภณีไร้น้ำใจหรือไง?"
เมิ่งเหวียนไม่ท้อใจ สูดหายใจลึก เดินไปหาผู้คุมที่กำลังผิงไฟอยู่ใต้ศาลา
"ท่านนายหรับ" เขาค้อมกายคำนับ ก่อนจะกล่าว "เมื่อครู่หยางกวนซื่อตีคนตาย ขอถามว่าควรจัดการอย่างไรดีขอรับ?"
"หา?" ผู้คุมหนวดดกคนหนึ่งมองสำรวจเมิ่งเหวียนตั้งแต่หัวจดเท้า มือจับดาบที่เอว ระแวดระวังพลางถาม "เจ้าจะมาเรียกร้องความเป็นธรรมหรือ?"
"ไม่กล้าขอรับ" เมิ่งเหวียนยกมือที่เป็นหิดเหน็บขึ้นประสาน "แค่อากาศหนาวเย็น ที่นี่ทั้งวุ่นวายทั้งสกปรก ผู้อพยพก็คงจะมากันเรื่อยๆ ถ้าปล่อยศพทิ้งไว้ไม่จัดการ อาจเกิดโรคระบาดได้ ถึงตอนนั้นผู้อพยพตายก็ไม่เป็นไร แต่พวกท่านต้องอยู่ทำหน้าที่ที่นี่ คงไม่สบายใจ กระหม่อมจึงมาถามท่าน แถวนี้มีป่าช้าหรือศาลเจ้าบ้างไหม จะได้ลากศพไปจัดการ"
"เจ้าเด็กนี่พูดจารู้จักเอาใจคนดี ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ครึ่งลี้มีป่าช้า!" ผู้คุมคนนั้นเห็นว่าเป็นคนมาประจบ ทั้งพูดจามีเหตุผล จึงปล่อยมือจากด้ามดาบ
"กระหม่อมไม่มีแรง ขอข้าวต้มสักถ้วยได้ไหมขอรับ" เมิ่งเหวียนขอเพิ่มเล็กน้อย
"ข้าวต้มหมดนานแล้ว!" ผู้คุมคนนั้นช้อนมองเมิ่งเหวียน ลูบถุงเงิน พูดอย่างรำคาญ "พอให้เจ้าจ้างคนช่วยได้ ไปเถอะ!" เขาโยนเหรียญทองแดงสิบกว่าเหรียญ แล้วหันไปพูดกับผู้คุมอีกคน "เบื้องบนสั่งมายังไงกันแน่? จะจัดการพวกผู้อพยพยังไง? ข้ามาช่วยบรรเทาทุกข์ ไม่ได้เบี้ยเลี้ยงไม่พอ ยังต้องควักเงินตัวเองอีก!"
เหรียญทองแดงกระจายบนพื้น เมิ่งเหวียนก้มลงเก็บทีละเหรียญ แล้วค้อมกายคำนับอีกครั้ง ก่อนกลับไปที่ข้างศพ
"โลกนี้ช่างน่า..." เจียงซวนโหย่วก็เดินเข้ามาใกล้ ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดแค่ "ข้าจะช่วย"
"ดีเหมือนกัน" เมิ่งเหวียนกอบหิมะขึ้นมาเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าศพ เผยให้เห็นใบหน้าชราที่ผ่านโลกมามาก
"เอ้า!" ในตอนนั้นเอง หญิงสาวคนเดิมก็กลับมา ใต้แขนหนีบเสื่อเก่าผืนหนึ่ง มืออีกข้างถือขนมปัง แล้วโยนทั้งสองอย่างไปตรงหน้าเมิ่งเหวียน
เมิ่งเหวียนรีบรับเสื่อ ห่อศพไว้ แล้วหยิบขนมปัง กล่าวขอบคุณ "พี่สาวมีพระคุณ วันหน้าต้องตอบแทนให้ได้"
"พอๆ ยังจะพูดเรื่องบุญคุณตอบแทนอีก! พวกผู้ชายพวกเจ้าก็พูดความจริงแค่ตอนสั่นๆ นั่นแหละ!" หญิงสาวโบกมือ แล้วเคี้ยวเมล็ดแตงต่อ ยิ้มพลางพูด "ถ้าเจ้ามีน้ำใจจริง รอวันหน้าเจ้าตั้งตัวได้ เดือนๆ หนึ่งมาอุดหนุนพี่ที่ซอยจี๋เซียงสักสองสามครั้ง นั่นแหละดีกว่าอะไรทั้งหมด! จำไว้ พี่ชื่อฮวาเจี๋ย อย่าไปอุดหนุนผิดคนล่ะ!"
เมิ่งเหวียนขอบคุณอีกหลายครั้ง หักขนมปังเป็นสองส่วน แบ่งให้เจียงซวนโหย่ว เจียงซวนโหย่วก็แบ่งครึ่งให้หลานสาวของเขา
ทั้งสามคนกินอย่างหิวโหย แล้วกอบหิมะขึ้นมาดื่มตาม
เมิ่งเหวียนไม่กล้ารอช้า กลัวศพจะแข็ง ยากต่อการเคลื่อนย้าย รีบใช้เสื่อห่อศพให้เรียบร้อย แล้วช่วยกันกับเจียงซวนโหย่วหามไปยังป่าช้า
สองคนที่หิวโหยและเหน็บหนาวมานาน แรงน้อย เพียงครึ่งลี้ก็ใช้เวลาตั้งชั่วยามกว่าจะถึง
หิมะหนาหนัก ดินแข็งเป็นน้ำแข็งแล้ว ไม่มีเครื่องมือขุดดิน เมิ่งเหวียนจึงเกลี่ยหิมะออกเป็นหลุม วางศพลง แล้วหาก้อนหินมาวางทับ ถือว่าเป็นหลุมฝังศพแล้ว
โลกนี้ช่างโหดร้าย ทำได้ก็แค่นี้แหละ
กลับมาถึงประตูเมือง เห็นผู้อพยพดูเหมือนจะมากขึ้นอีก
"ไปกินอะไรกันก่อนเถอะ" เมิ่งเหวียนเห็นหลานสาวของเจียงซวนโหย่วเดินแทบไม่ไหวแล้ว จึงเสนอ
"ข้าไม่มีเงิน" เจียงซวนโหย่วบอก
เมิ่งเหวียนยื่นมือ หยิบเหรียญทองแดงออกมากำหนึ่ง ยิ้มพลางพูด "ท่านนายให้มา เป็นค่าแรงแบกศพของพวกเรา"
ไม่รอให้เจียงซวนโหย่วพูดอะไร เมิ่งเหวียนมองดูตามซอยแคบๆ ใต้กำแพงเมืองสองสามซอย หลีกเลี่ยงซอยจี๋เซียง แล้วเดินเข้าไปข้างใน
ยามข้าวยากหมากแพง เที่ยวถามร้านค้าหลายร้าน สุดท้ายเลือกร้านขายเต้าหู้ร้อน หกเหวินต่อชาม เมิ่งเหวียนสั่งสองชามใหญ่หนึ่งชามเล็ก
จ่ายเงินก่อน เจ้าของร้านก็ยกชามใบใหญ่ขึ้น เปิดฝาหม้อ ตักเต้าหู้ก้อนใหญ่สองก้อน แล้วขูดเกลือจากก้อนเกลือ ตักน้ำมันกุ้ยฉ่าย ราดน้ำมันงาสองหยด สุดท้ายเติมน้ำซุปร้อนอีกทัพพี
เต้าหู้ร้อนระอุ น้ำมันกุ้ยฉ่ายหอมเผ็ด พอคลุกเคล้ากัน ในวันหนาวเหน็บเช่นนี้ได้กินสักชาม นับเป็นรสชาติที่วิเศษที่สุด
กินจนหมดชามไม่เหลือแม้แต่น้ำซุป ความหนาวก็คลายไป เมิ่งเหวียนมีไอร้อนออกจากศีรษะ รู้สึกอบอุ่นจากภายในสู่ภายนอก ทั้งร่างก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
มื้อนี้อิ่มสบาย แต่ยังไม่รู้ว่ามื้อต่อไปจะได้กินที่ไหน ถึงเวลาต้องหาวิธีเอาชีวิตรอดแล้ว
(จบบทที่ 2)