ตอนที่ 80 รออีกสองปี!
ตอนที่ 80 รออีกสองปี!
วันรุ่งขึ้นสื่อต่าง ๆ รายงานข่าวใหญ่เกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก อลิซ อินดัสตรีส์ เป็น สกาย อินดัสตรีส์ และการประกาศผู้สืบทอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ทำให้ผู้คนต่างสงสัยว่าทำไมประธานหนุ่มถึงรีบร้อนเหมือนเขียนพินัยกรรมล่วงหน้า? บ้างก็คาดเดาว่าเขาป่วยเป็นโรคร้ายแรง เช่น โรคทางเดินหายใจเฉียนพลันรุนแรง, โรคเอดส์ หรือมะเร็งหรือไม่
ในขณะเดียวกัน ด้วยการก่อสร้างเส้นทางรถไฟแม็กเลฟลอยฟ้าสองสาย เงินทุนจากทำเนียบขาวก็ได้ถูกโอนมาที่ สกาย อินดัสตรีส์ อย่างต่อเนื่อง เมื่อมีเงินทุนเพียงพอ แผนกอื่น ๆ ของ สกาย อินดัสตรีส์ ก็เริ่มเติบโตเฟื่องฟูขึ้นเรื่อย ๆ
เริ่มจากแผนกวัสดุศาสตร์ใหม่ หลังจากที่เอริคเปิดตัว ‘แลนเซอร์ No. 1’ วัสดุเหนือธรรมชาติที่สามารถนำไฟฟ้าได้ในอุณหภูมิห้องเป็นครั้งแรกของโลก แผนกนี้ก็พัฒนาวัสดุใหม่ ๆ ตามแนวทางของเอริค แม้ว่าจะไม่มีวัสดุใดสร้างความตื่นตะลึงได้เท่า ‘แลนเซอร์ No. 1’ แต่วัสดุแต่ละชิ้นก็สร้างนวัตกรรมและผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมวัสดุแบบดั้งเดิม
ทำให้ในปัจจุบัน สกาย อินดัสตรีส์ กลายเป็นผู้นำในด้านวิทยาศาสตร์วัสดุใหม่ ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ทุกครั้งที่บริษัทเปิดตัววัสดุใหม่ มักถูกจองล่วงหน้าจนหมดเกลี้ยง แน่นอนว่ายังไม่มีวัสดุใดแย่งความโดดเด่นของ ‘แลนเซอร์ No. 1’ ไปได้ และแม้ว่าราคาจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ คำสั่งซื้อล็อตใหม่ก็ยังคงหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด
ต่อมาคือแผนกอาวุธ ด้วยการเริ่มต้นจากอาวุธคลื่นเสียง บวกกับความช่วยเหลือจากนายพลรอสส์ และการพัฒนาอาวุธตระกูลปืนแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใกล้จะสำเร็จ ทำให้กองทัพมอง สกาย อินดัสตรีส์ ด้วยสายตาเป็นมิตร และมีหลายคนที่หวังว่า สกาย อินดัสตรีส์ จะเติบโตขึ้นเพื่อถ่วงดุลอำนาจของ สตาร์ค อินดัสตรีส์เอาไว้
ถัดมาคือแผนกการแพทย์ หลังจากร่วมมือกับ สตาร์ค อินดัสตรีส์ เปิดตัวแขนขาเทียมที่ทำจากโลหะ สกาย อินดัสตรีส์ ก็ได้เปิดตัว ‘เตียงฟื้นฟูเครเดิล’ ซึ่งแม้จะเป็นเวอร์ชันราคาสูงและประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่นต้นแบบ แต่ก็ยังได้รับความนิยมในหมู่คนร่ำรวยที่มองว่ามันเป็น ‘เครื่องยืดอายุขัย’ ส่งผลให้คำสั่งซื้อไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
สุดท้ายคือแผนกชีววิศวกรรม แผนกพันธุกรรม และแผนกอวกาศที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ ทั้งสามแผนกเริ่มตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารวิทยาศาสตร์ชั้นนำ แม้ว่าจะยังไม่มีการค้นพบที่สร้างความตื่นเต้น แต่ศักยภาพในอนาคตกลับดูน่าจับตามอง
ตอนนี้สกาย อินดัสตรีส์ ไม่ใช่บริษัทที่ถูกมองข้ามอีกต่อไป!
อย่างไรก็ตาม ในเส้นทางแห่งความสำเร็จนี้ เอริคกลับทำการตัดสินใจที่ดูเหมือนพินัยกรรมล่วงหน้า ราวกับเขากำลังวางมือในช่วงที่บริษัทอยู่จุดสูงสุด ซึ่งการตัดสินใจนี้ไม่เพียงแต่สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมภายนอก แต่ยังทำให้พนักงานภายในบริษัทเกิดความไม่สบายใจด้วยเช่นกัน
ทำให้หลังจากนั้นไม่นานหุ้นของ สกาย อินดัสตรีส์ ก็ร่วงลงหลายเปอร์เซ็นต์ในชั่วข้ามคืน และมูลค่าตลาดก็หายไปนับพันล้านดอลลาร์
แน่นอนว่าเอริคไม่ได้ออกความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และยอมรับเลยว่าการตัดสินใจครั้งนี้มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบของเขา แต่เมื่อคิดย้อนหลังกลับไป เขากลับรู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปนั้นสมเหตุสมผลแล้ว
เพราะในจักรวาลมาร์เวลที่เต็มไปด้วยอันตราย เอริคไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าเขาจะต้องเผชิญกับอันตรายแบบไหนในอนาคต เขาไม่รู้ว่าชะตากรรมจะนำพาอะไรมาอีก เช่นเดียวกับเหตุการณ์บนวอร์เมียร์ที่แครอลถูกอัญมณีวิญญาณครอบงำซึ่งเกินความคาดหมายของเขา
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น เอริคก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ถ้าหากครั้งนั้นไม่ใช่อัญมณีวิญญาณ แต่เป็นเทสเซอร์แร็ค หรือแม้แต่หัวใจแห่งจักรวาล เขาอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาแบบนี้
ด้วยเหตุนี้เองเอริคจึงรู้สึกว่าเขาจำเป็นจะต้องสร้างเกราะกำบังให้กับสกายลูกสาวของเขา เพื่อให้เธอไม่ถูกกลั่นแกล้งถ้าหากเขาต้องพบเจอกับหายนะในอนาคต
หลังงานวันเกิดของสกาย ฟิวรี่ก็เริ่มมาหาเอริคแทบทุกวัน ไม่ว่าจะเพื่อขอเช่าเทสเซอร์แร็คหรือขอซื้อเทคโนโลยีอุปกรณ์ป้องกันรังสียูวี
เพราะถึงแม้ว่าชีลด์จะได้ซากอุปกรณ์พรางตัวจากยานเครี แต่มันเสียหายเกินกว่าจะใช้งานได้ เพราะซากชิ้นส่วนส่วนใหญ่ถูกเอริคยึดไปหรือผลักลึกเข้าไปในอวกาศ ทำให้ชีลด์ที่ต้องการรพัฒนาเทคโนโลยีจากเศษซากที่มีมันจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย
แถมตอนนี้ฟิวรี่ก็ใกล้จะก้าวขึ้นเป็นผู้อำนวยการชีลด์แล้ว ขณะที่อเล็กซานเดอร์ก็เริ่มลดบทบาทลง โดยมอบหมายโปรเจกต์สำคัญอย่าง ‘โปรเจกต์อินไซต์’ ให้ฟิวรี่ดูแล
สำหรับอเล็กซานเดอร์ การมีเอริคที่เป็น ‘ลูกน้องของเรดสกัลล์’ อยู่ข้างตัวทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่เขาก็ไม่มีอำนาจพอจะจัดการ จึงได้แต่ทนรับสภาพที่เป็นอยู่
แต่ความอดทนก็ไม่ใช่ทางออกเช่นกัน ดังนั้นอเล็กซานเดอร์จึงตัดสินใจมอบหมายโปรเจกต์ให้ฟิวรี่ดูแลเต็มตัว และเริ่มถอยฉากไปทำงานเบื้องหลังแทน
‘ศัตรูลอบโจมตี เราต้องโจมตีตรง ๆ ศัตรูเปิดเผย เราต้องลอบโจมตี’ อเล็กซานเดอร์เองก็เคยอ่านตำราพิชัยสงครามของชาติแดนดอกไม้ เขาเชื่อว่าการโยนฟิวรี่ ผู้ภักดีต่อชีลด์อย่างเต็มตัวออกมาเป็นเกราะกำบังของตัวเองคือวิธีที่ดีที่สุดในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้
อยากแย่งชิงอำนาจงั้นเหรอ? ได้สิ! แต่ไปล้มชีลด์ให้ได้ก่อน!
อะไรนะ? อยากจับตัวการหลักก็เลยมาจัดการฉัน? เสียใจด้วย ฉันไม่มีอำนาจอะไรอีกแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในมือนิค ฟิวรี่ ไปหาเขาเอาเอง!
แม้ว่าความคิดของฟิวรี่จะดูซับซ้อนเหมือนรังผึ้ง แต่เขาก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวผู้นำของเขาอย่างเต็มที่ เขามองว่าการมอบหมายงานสำคัญของอเล็กซานเดอร์เป็นบททดสอบสุดท้าย เขาจึงทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจให้กับ ‘โปรเจกต์อินไซต์’ อย่างเต็มกำลัง
แต่เมื่อเขาได้อ่านรายงานของ ‘โปรเจกต์อินไซต์’ อย่างละเอียด เขาก็พบข้อบกพร่องสำคัญในแผนการนี้ นั่นคือ ‘ยานบรรทุกเครื่องบิน’ ลำนี้มันใหญ่มาก!
ใช่แล้ว มันใหญ่เกินไป ด้วยความที่ต้องรองรับเครื่องบินหลายลำยานลำนี้จึงมีขนาดมหึมา ลองคิดดูสิแค่เครื่องบินธรรมดาบินผ่าน คนธรรมดาแค่แหงนมองก็มองเห็นแล้ว แต่ถ้ายานบรรทุกขนาดใหญ่นี้บินอยู่บนฟ้า มีใครบ้างที่จะไม่สังเกตเห็นมัน?
สำหรับประชาชนทั่วไป อาจปิดบังความจริงได้ด้วยคำอธิบายต่าง ๆ แต่สำหรับองค์กรชั่วร้ายที่มีเทคโนโลยีล้ำยุคในบัญชีดำของชีลด์ล่ะ? ถ้าหากพวกเขาเกิดอยากได้ยานลำนี้แล้ววางแผนขโมย จะเกิดปัญหาขนาดไหน?
ดังนั้นยานบรรทุกเครื่องบินลำนี้จึงต้องล่องหนได้!
แต่เมื่อสำรวจดูเทคโนโลยีบนโลก ฟิวรี่ก็พบว่าอุปกรณ์ที่สามารถทำได้จริงมีเพียง อุปกรณ์ป้องกันรังสียูวี ของ สกาย อินดัสตรีส์ เท่านั้น!
เอริค คือคนรู้จักเก่าของเขา และฟิวรี่ก็สาบานกับอเล็กซานเดอร์ว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ดังนั้นเขาจึงเริ่มต้นด้วยการขอความร่วมมือจากเอริค แต่สิ่งที่เขาได้รับก็คือการถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“อุปกรณ์ป้องกันรังสียูวี ขายได้ แต่เทคโนโลยี? ฝันไปเถอะ!” เอริคยืนยันหนักแน่นทุกครั้ง
หลังจากเจอการปฏิเสธจากเอริค ฟิวรี่จึงเสนอแนวทางใหม่กับอเล็กซานเดอร์ว่า ในเมื่อเอริคไม่ยอมขายเทคโนโลยี เราก็ทำให้เขาเป็นพวกเดียวกับ! รับเขาเข้ามาอยู่ในชีลด์!
คำแนะนำนี้ทำให้อเล็กซานเดอร์แทบกระโดดจากเก้าอี้ ‘อะไรนะ? ฉันยังระแวงเขาแทบแย่อยู่แล้ว แต่แกดันอยากให้เขาเข้ามาในองค์กรอีกเหรอ? ไม่มีทาง!’
ด้วยความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียอำนาจ อเล็กซานเดอร์จึงได้ยกเหตุผลมากมายเกี่ยวกับความไม่น่าไว้วางใจของเอริคขึ้นมาให้ฟิวรี่ฟัง คนแบบนี้จะปล่อยให้เข้ามาใน ชีลด์ ไม่ได้เด็ดขาด!
แต่ฟิวรี่ก็มีการตัดสินใจของตัวเองเช่นกัน เพราะเขาและเอริคเคย ‘ผ่านความเป็นความตาย’ มาด้วยกันหลายครั้งฟิวรี่จึงรู้จักเอริคดี แม้ว่าเอริคจะดูเหมือนคนเจ้าเล่ห์ แต่เขาก็เป็นคนดีในสายตาของฟิวรี่
ในเมื่อตอนนี้ยังเอาเอริคเข้าชีลด์มาไม่ได้ งั้นก็รออีกสองปีก็สิ้นเรื่อง พอถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะอยู่ในกำมือเขาเอง!
โปรดติดตามตอนต่อไป …