ตอนที่ 79 สกาย อินดัสตรีส์!
ตอนที่ 79 สกาย อินดัสตรีส์!
เอริคปรายตามองสตาร์คด้วยความดูแคลน ก่อนจะอุ้มสกายเดินไปยังใจกลางห้องนั่งเล่น
“ขอบคุณทุกคนที่มางานวันเกิดลูกสาวของผม” เอริคกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เมื่อครู่สตาร์คถามผมว่าผมเตรียมของขวัญอะไรให้สกาย ดังนั้นตอนนี้ผมจะขอประกาศให้ทราบอย่างเป็นทางการ”
คำพูดของเอริคได้ดึงความสนใจจากทุกคนในงานทันที พวกเขาต่างสัมผัสได้ว่าเรื่องที่เอริคกำลังจะพูดจะต้องไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แน่นอน
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อลิซ อินดัสตรีส์ จะเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น สกาย อินดัสตรีส์!” เอริคมองไปรอบ ๆ พร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวถึงของขวัญชิ้นสำคัญ “และในวันที่สกายอายุครบ 18 ปี เธอจะกลายเป็นประธานบริษัท สกาย อินดัสตรีส์ อย่างเต็มตัว!”
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที แม้แต่สตาร์คยังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ส่วนสกายเองมองไปรอบ ๆ อย่างงุนงง ก่อนจะหันไปหาเอริคที่กำลังยิ้มให้เธอ ตอนนี้เธอไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลย
“เอริค ทำไมนายถึงตัดสินใจแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?” ฟิวรี่ถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ทำให้ใบหน้าที่เดิมก็เข้มอยู่แล้วกลับดูเข้มขึ้นไปอีก
ในสายตาของฟิวรี่ การตัดสินใจของเอริคคล้ายกับการทำพินัยกรรมมากเกินไป ทำให้เขานึกถึงความเป็นไปได้ว่าเอริคอาจพบกับสถานการณ์อันตรายถึงขั้นที่ตัวเขาเองยังไม่แน่ใจว่าจะเอาตัวรอดได้หรือไม่
“อย่ากังวลไปเลย ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดขึ้นมาได้อย่างกระทันหันเลยอยากพูดไว้ก่อนจะลืมเท่านั้นเอง” เอริคยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหยิบสร้อยคอรูปตุ๊กตาหมีออกมาจากกระเป๋าและสวมให้สกาย “สุขสันต์วันเกิดนะ สกาย”
. . .
“สวัสดีสกาย ฉันชื่อเบ็ตตี้” เมื่อเริ่มงานเลี้ยง เด็กหญิงคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาทักสกาย เธอคือเบ็ตตี้ ลูกสาวของนายพลรอสส์ที่มีอายุห่างจากสกายอยู่สองสามปี
“สวัสดี ฉันชื่อสกาย”
“ไปตัดเค้กกันเถอะ!”
“อืม!”
เมื่อมองดูสองสาวน้อยที่วิ่งจับมือกันไปสร้างความเอ็นดูให้ทุกคน สตาร์คเดินเข้ามาหาเอริคพร้อมไวน์ในมือ พลางถามเอริคด้วยท่าทางสบาย ๆ ว่า “ไง การมีลูกสาวรู้สึกยังไงบ้าง?”
“ยอดเยี่ยมมาก!” เอริคยิ้มพร้อมยกแก้วจิบไวน์
“โธ่เว้ย ทำไมจู่ ๆ ฉันถึงอยากมีลูกสาวขึ้นมาบ้างแล้วเนี่ย” สตาร์คถอนหายใจพูดด้วยน้ำเสียงเจือปนความอิจฉา
เอริคมองสตาร์คตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาประหลาดใจ “แน่ใจนะว่านายคือสตาร์คตัวจริง? หรือเป็นมนุษย์ต่างดาวปลอมตัวมา? บ้าเอ๊ย! นายคงโดนวางยาแน่ ๆ!”
“ชิ! เมื่อไหร่ที่ฉันสนุกจนพอแล้ว ฉันจะมีลูกสาวบ้างแน่ และเธอจะต้องสวยกว่าลูกสาวนาย! ฉันคิดชื่อไว้แล้วด้วย จะตั้งชื่อว่า 'มอร์แกน'” สตาร์คแตะคางตัวเองอย่างครุ่นคิด
“งั้นนายก็ควรถอดปิ๊กกาจู้ในตัวออกก่อนดีไหม?” เอริคเปลี่ยนเรื่องกระทันหันจนสตาร์คแทบล้ม ก่อนที่เขาจะชูนิ้วกลางใส่เอริคก่อนเดินจากไป
เมื่อสตาร์คจากไป ฟิวรี่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับส่งสายตาเป็นนัยให้เอริคออกไปคุยกันข้างนอก
“เอริค เกิดอะไรขึ้น ทำไมนายถึงตัดสินใจแบบนี้?” แน่นอนว่าฟิวรี่ยังคงหวาดระแวงในทุกเรื่อง ก่อนจะหยิบอุปกรณ์รบกวนสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นมาใช้ ทำให้เอริคถึงกับกลอกตา
“ไม่มีอะไรหรอก แค่กันไว้ดีกว่าแก้” เอริคมองท้องฟ้าพลางถอนหายใจ “ฟิวรี่ ก่อนที่แครอลจะตกลงมา นายเคยคิดบ้างไหมว่ามนุษย์ต่างดาวจะมาเยือนโลก?”
“ก็เคยคิด ซึ่งฉันก็ทำแผนรับมือไว้เยอะเลย แต่พอเกิดขึ้นจริงกลับพบว่าแผนเหล่านั้นมันก็แค่เศษกระดาษเปล่า!” ฟิวรี่จิบไวน์ด้วยท่าทางหดหู่
“โอ้? แสดงว่านายคงมีเศษกระดาษเปล่าเยอะเลยสินะ!”
ฟิวรี่ยกมือทำท่าทางเกินจริง “เยอะมาก! ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเศษกระดาษเกี่ยวกับนายที่กองหนาเป็นเมตรเลย!”
“แค่เมตรเดียว? ฉันนึกว่าต้องวนรอบโลกซะอีก” เอริคยิ้มเยาะ ก่อนที่ทั้งสองจะเงียบลง และบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง
“นายแน่ใจนะว่าไม่มีอะไร?” ฟิวรี่ถามด้วยความกังวล
“ไม่มีอะไรจริง ๆ!” เอริคตอบหนักแน่น
“ถ้าไม่มีอะไร งั้นเมื่อไหร่นายจะคืนลูกบาศก์ให้ฉัน?”
“คืนอะไร? นั่นมันของรางวัลของฉัน!” เอริคจ้องฟิวรี่ตาเขม็ง
“ของรางวัลของเจ้าแมวน้อยต่างหาก!” ฟิวรี่ไม่ยอมแพ้ ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นานดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของเขาจะเบิกกว้างราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ “ก่อนคืนช่วยนำไปล้างมันให้สะอาดด้วยนะ!”
“เจ้าแมวส้มมันมอบให้กับฉันด้วยตัวเอง ดังนั้นมันจึงไม่ได้เป็นของกองงานยุทธวิธีจัดระเบียบกำลังพิเศษแห่งมาตุภูมิของนาย” เอริคตอบโต้ทันที พลางจ้องฟิวรี่กลับด้วยสองตาของเขา
ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่กำลังยืนจ้องตากันราวกับมีสายฟ้าปรากฏออกมาจากดวงตาของพวกเขา “แต่ลูกบาศก์เป็นของหน่วยฉัน! ฉันเช็คข้อมูลแล้ว มันคือของที่กัปตันอเมริกานำมาจากไฮดราในสงครามโลกครั้งที่สอง มันเป็นของหน่วยฉัน!” ฟิวรี่ยืนยันเสียงแข็ง
“ไร้สาระ! ถ้าอย่างนั้นสหรัฐอเมริกาก็เป็นของชาวอินเดียนแดงตั้งแต่แรกแล้ว!” เอริคแค่นเสียงหัวเราะเยาะ โดยไม่มีทีท่าว่าจะคืนเทสเซอร์แร็คให้ฟิวรี่เลย
พวกเขาทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่นานจนฟิวรี่เริ่มรู้สึกตาแห้งและต้องเป็นฝ่ายถอยก่อน
ฟิวรี่ส่ายหัวพลางถอนหายใจ และพูดขึ้นมาว่า “โอเค ฉันจะฝากลูกบาศก์ไว้กับนายก่อน แต่ถ้าหากฉันต้องการใช้ นายจะต้องให้ฉันยืม”
“ไม่มีทาง!” เอริคสวนกลับทันที และก่อนที่ฟิวรรี่จะได้พูดอะไรต่อ เขาก็ย้ำขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นต่อว่า “ฉันจะไม่ให้ยืมเด็ดขาด! แต่ถ้าเช่า . . . ก็พอจะคุยกันได้อยู่”
“เช่ายังไง?”
“หนึ่งล้านดอลลาร์ต่อวัน” เอริคตอบพร้อมยิ้มมุมปาก
“ทำไมนายไม่ไปปล้นธนาคารเลยล่ะ!” ฟิวรี่เกือบตะโกนออกมา
“ปล้นได้เงินช้ากว่านี้อีก!” เอริคหัวเราะ ก่อนจะชูนิ้วขึ้นมา “หนึ่งล้านต่อวัน แถมตอนนี้ฉันมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับนายโดยเฉพาะ เช่าสิบวันแถมฟรีหนึ่งวัน สนใจไหม?”
ฟิวรี่กัดฟันกรอดก่อนตอบอย่างไม่เต็มใจ “เช่าก็ได้! แต่บอกฉันมาก่อนว่ามันคืออะไรที่ทำให้ห้องนั่งเล่นมืดไปเมื่อครู่นี้?”
คำถามของฟิวรี่ทำให้ดวงตาเอริคเปล่งประกาย สิ่งนั้นคืออะไรหรือ? มันก็คือ ‘อุปกรณ์ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต’ ที่เขาคิดค้นขึ้นมาเพื่อจัดการกับแวมไพร์ทั่วโลก อุปกรณ์นี้เดิมทีตั้งใจจะใช้ดักจับอเล็กซานเดอร์ แต่กลายเป็นว่าไปจัดการแวมไพร์กลุ่มใหญ่แทน ทำให้เขาต้องดึงอุปกรณ์กลับมา
เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้อะไรจากอเล็กซานเดอร์อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นบางทีการสืบจากฟิวรี่อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แถมเอริคก็คำนวณในใจเอาไว้แล้วว่าผู้ชายเจ้าเล่ห์คนนี้น่าจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการชีลด์ในไม่ช้าอย่างแน่นอน
เอริคยิ้มก่อนอธิบายหลักการทำงานของอุปกรณ์ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตอย่างละเอียด ด้วยภาษาที่เต็มไปด้วยคำศัพท์เทคนิค จนทำให้ฟิวรี่ยิ่งฟังยิ่งสับสน
“พอเถอะ! ฉันแค่จะถามนายว่าจะขายเทคโนโลยีนี้หรือเปล่า? ฉันพร้อมจ่ายราคาสูง” ฟิวรี่ยกมือหยุดเอริคกลางคัน
“น่าเสียดาย มันไม่ได้มีเอาไว้ขาย!” เอริคยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย ก่อนจะปล่อยให้ฟิวรี่ยืนงงอยู่ตรงนั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป …