ตอนที่ 76 ฉันคิดว่าพวกนายเป็นคู่ที่เหมาะสมมาก!
ตอนที่ 76 ฉันคิดว่าพวกนายเป็นคู่ที่เหมาะสมมาก!
“เทพแห่งความตายป่วยหรือเปล่า?”
หลังจากออกมาจากอัญมณีวิญญาณ เอริคก็มีท่าทางแปลกไปเล็กน้อย เขารู้สึกว่าเทพแห่งความตายต้องป่วยแน่นอน!
ใครกันที่เก็บของสำคัญแล้วรอให้คนอื่นหาเจอ จากนั้นส่งคนมาคุมเส้นทาง แล้วก็ปรากฏตัวออกมาพูดว่า ‘ของชิ้นนี้สำคัญมากสำหรับข้า เจ้าจะแลกมันกับของที่ดีกว่านี้ไหม?’
นี่มันไม่ใช่โรคธรรมดา แต่เป็นอาการป่วยหนักระยะรุนแรง!
ถ้าคนธรรมดาทำแบบนี้จะคงถูกมองว่าป่วยแน่นอน แต่พอคนที่ทำเป็นเทพเอริคกับอดคิดไม่ได้
“ทำไมนางถึงทำแบบนี้?”
“หรือเป็นเพราะฉันหล่อเกินไป? เป็นไปไม่ได้! นางชอบหน้าเหมือนอะโวคาโดอย่างเจ้าธานอส . . .”
“หรือเพราะนางอยากให้อัญมณีวิญญาณกับธานอส? นางอาจจะมีรักแท้ต่อธานอส? ไม่น่าใช่ ถ้ารักจริงก็คงไม่หลอกให้ตาย . . . อืม~ หรืออาจจะเอาไว้ใช้ตามหาธานอสหลังจากเขาตายแล้ว?”
“หรือบางที นางอาจจะแค่ต้องการให้ประโยชน์จากฉัน? เหมือนที่ฉันที่สร้างมิตรภาพกับพวกเจ้าเล่ห์ทั้งหลาย? อืม . . . นี่ก็ยังไม่สมเหตุสมผลเท่าความคิดว่านางเห็นว่าฉันหล่อเกินไป . . .”
“หรือเพราะวิญญาณของฉันมีอะไรพิเศษ? บ้าจริง มีนักเดินทางข้ามเวลาในจักรวาลมาร์เวลตั้งเยอะ ฉันก็แค่คนจน ๆ คนหนึ่งที่ถูกนักเขียนตัดระบบโกงออกไป จะมีอะไรพิเศษตรงไหน?”
. . .
หลังจากคิดอะไรเพ้อเจ้อไปเรื่อย เอริคก็รู้สึกว่าตัวเองต้องเป็นโรคเหมือนอเล็กซานเดอร์แน่ ๆ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตบหน้าตัวเองสองที ส่วนเรดสกัลล์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็มองเอริคด้วยความงง ‘น้องชาย เจ้าเห็นอะไรที่ไม่สะอาดตอนอยู่ข้างในเหรอ? ทำไมถึงตบตัวเอง?’
สถานะของเรดสกัลนั้นพิเศษมาก เขาตายไปหลายสิบปีแล้ว และตอนนี้มีเพียงวิญญาณที่ผูกติดกับอัญมณีวิญญาณ ทำให้เขาโผล่มาเป็น NPC ได้เป็นครั้งคราว และถ้าหากเขาหลุดออกจากอัญมณีเมื่อไหร่เขาก็จะสลายหายไป
เพราะอยู่ในรูปวิญญาณ ทำให้เขาแทบไม่ได้รับความเสียหายทางกายภาพใด ๆ และถ้าหากสลายไปก็จะเกิดใหม่อีกครั้งในอัญมณีวิญญาณ
ดังนั้นเอริคจึงไม่มีวิธีจัดการกับเขาและไม่คิดจะทำเช่นนั้น ทันใดนั้นเขาก็เพียงโบกมือเบา ๆ ให้เทสเซอร์แร็คที่ซ่อนอยู่ใต้ดินลอยขึ้นมา จากนั้นก็เปิดเทสเซอร์แร็คท่ามกลางสายตาของเรดสกัลที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงและคิดถึง พร้อมนำแครอลที่หมดสติกลับสู่โลก
เรดสกัลยกนิ้วขึ้นมาชี้ที่จุดที่พวกเขาหายไป พลางพูดเสียงสั่น “นั่นของข้า . . . ของข้า . . .”
. . .
เมื่อกลับมาที่โลกอีกครั้ง เอริคก็จัดการเรื่องของแครอลให้เรียบร้อย และพบว่าฟิวรี่ได้หายตัวไปอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงบินขึ้นไปในอวกาศอย่างเงียบ ๆ
ทันทีที่มาถึงอวกาศ เขาก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
ยานอวกาศจากโลกกำลังบินว่อนไปมา พร้อมสัญญาณวิทยุที่คึกคักเต็มไปหมด นักบินอวกาศหลายคนตะโกนด้วยความตื่นเต้น และบางคนถึงกับเต้นรำในยาน
พวกเขากำลังเก็บเศษซากยานบินของครีสามลำที่แครอลทำลาย ซึ่งตอนนี้มีซากลอยอยู่นอกชั้นบรรยากาศเป็นจำนวนมาก
พวกเขาใช้แขนกลดึงชิ้นส่วนเล็ก ๆ เข้าไปในยาน และติดตั้งเครื่องขับดันบนชิ้นส่วนใหญ่เพื่อผลักเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ โดยมีทีมงานบนโลกคอยติดตามเก็บเศษเหล่านั้น
แต่เมื่อเห็นตรานกอินทรีบนยานเหล่านั้น สีหน้าของเอริคก็เปลี่ยนเป็นสีดำทันที
“ชิลด์อีกแล้ว! ชีลด์กำลังแย่งของของฉัน!!!”
ใช่แล้ว ทุกอย่างเป็นของเขา! และเขาก็ไม่มีวันยอมรับว่าแครอลเป็นคนยิงยานพวกนั้นตก!
ทันใดนั้นเอริคก็เร่งหาเครื่องบินที่ดูโดดเด่นและกระฉับกระเฉงที่สุดในกลุ่มยาน นั่นคือเครื่องบินขนส่งของกองทัพอากาศที่นักวิทยาศาสตร์ของสกรัลดัดแปลงด้วยตัวเอง
ภายในยานอวกาศ ชายผิวดำคนหนึ่งมีผ้าพันแผลปิดตาซ้ายไว้ ส่วนตาขวานั้นเบิกกว้างเหมือนลูกแก้วที่ใหญ่กว่าก้อนมูลแมลงค่อมกำลังหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาสั่งการอย่างกระตือรือร้นไม่หยุด ทั้งยังสั่งเร่งมือเก็บซากยานอวกาศอย่างไม่ลดละ
“นิค ฟิวรี่! ไอ้คนที่ต้องโดนดาบแทงนับพันเล่ม!” เอริคกัดฟันกรอดด้วยความแค้น แต่ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าไปต่อกรกับเขา เพราะถ้าหากเขาเอาเวลานี้ไปเก็บ . . . อะแฮ่ม! ไปทำความสะอาดเศษขยะอวกาศให้มากขึ้น คงเป็นประโยชน์กว่าเยอะ
“เราเป็นคนมีระดับ จะมามัวกลืนของทั้งดุ้นแบบกินไข่พะโล้ไม่ได้ มันดูไร้ศิลปะเกินไป!”
เอริคหายตัวไปอย่างเงียบ ๆ และใช้พลังตรวจสอบสิ่งของที่ลอยอยู่รอบยาน ก่อนที่เขาจะดึงชิ้นส่วนที่ต้องการมาไว้ใกล้ตัว ส่วนที่เหลือก็ผลักออกไปไกล ปล่อยให้ชิลด์วิ่งวุ่นกับการเก็บเศษซาก!
ด้วยความเข้าใจเทคโนโลยีของชาวครีที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าชิลด์ รวมถึงความสามารถในการรับรู้สนามแม่เหล็ก ทำให้เขาสามารถเลือกเก็บเฉพาะชิ้นส่วนที่ต้องการ หรือสิ่งที่ไม่มีอยู่บนโลกและไม่สามารถสร้างได้ด้วยเทคโนโลยีโลกได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นความเร็วในการเก็บของเขาจึงเหนือกว่าชิลด์หลายเท่า
เอริคมองเห็นกับตาว่า นักบินอวกาศของชิลด์สองคนถึงกับเสี่ยงชีวิตออกจากยานไปติดตั้งเครื่องขับดันบนซากชิ้นใหญ่ที่ดูสูงตระหง่าน ทำให้เอริคอยากจะบอกพวกเขาเหลือเกินว่า ซากชิ้นนั้นคือถังบำบัดของเสียในยานรบครี หรือที่รู้จักกันในนาม ถังส้วม . . .
ไม่กี่นาทีต่อมา เอริคก็เก็บกวาดพื้นที่เล็ก ๆ ที่ชิลด์ครอบครองจนหมดสิ้น แต่ด้วยสายตาที่มองแต่สิ่งล้ำค่าของเอริค มันจึงทำให้มีเพียงไม่กี่ชิ้นที่เขาเห็นว่ามีค่า
เอริคมองยานของชิลด์ที่ยังคงเร่งมือเก็บของกันอย่างบ้าคลั่งราวกับแย่งสมบัติ พลางส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลออกไป
หลังจากบินกลับไปกลับมาหลายสิบรอบ เอริคก็ค้นหาทุกที่ที่สามารถหาได้ ทำให้ตอนนี้สนามหลังบ้านของเขาเต็มไปด้วยซากเศษขนาดต่าง ๆ และถ้าหากเขาไม่ได้สร้างสนามพลังแม่เหล็กป้องกันไว้ รังสีคอสมิกจากเศษซากเหล่านี้คงทำให้พืชและสัตว์รอบ ๆ เกิดโรคร้ายไปแล้ว
นอกจากนี้เมื่อคำนวณเวลาแล้ว เอริคก็รู้ว่าสกายใกล้เลิกเรียนแล้ว ดังนั้นเขาจึงใช้พลังตรวจสอบรอบสุดท้ายและมั่นใจว่าไม่มีอะไรตกหล่น จากนั้นก็แสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายให้ยานของชิลด์ก่อนจะบินกลับสู่โลก
เศษซากที่เขาเก็บมาจำเป็นต้องจัดการอย่างเร่งด่วน รังสีคอสมิกที่ติดมากับมันอันตรายเกินไป และการกำจัดให้หมดต้องใช้ทั้งเวลาและแรงงาน เขาจึงเริ่มกระบวนการคัดแยกขยะอวกาศทันที
ขั้นแรก เขาแยกชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ออก กำจัดรังสีและส่งไปยังห้องปฏิบัติการใต้ดิน ให้ทีมนักวิทยาศาสตร์ของไฮดราศึกษาอย่างละเอียด
ต่อมา เขาจัดการกับชิ้นส่วนที่เสียหาย โดยดึงวัสดุหายากและล้ำค่าที่หาไม่ได้บนโลกออกมาเก็บไว้อย่างระมัดระวัง
ส่วนเปลือกโลหะที่เหลือหรือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อเขา เอริคก็นำมาประกอบกันให้ดูเหมือนของล้ำค่า แต่ที่จริงไร้ประโยชน์ และวางแผนจะขายให้กับฟิวรี่ . . .
หลังจากกินข้าวเที่ยงกับสกายแล้ว เอริคก็มุ่งหน้าไปยังลุยเซียนาอีกครั้ง ที่นั่นแครอลได้สติเรียบร้อยแล้ว โดยมีมาเรียและฟิวรี่อยู่ด้วย โดยที่ฟิวรี่ในตอนนี้กำลังดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษมาก ถึงขั้นยิ้มจนปากแทบฉีกถึงใบหู
“ฟิวรี่! ฉันไม่คิดเลยว่านายจะใส่ใจแครอลมากถึงเพียงนี้ เธอเพิ่งฟื้น นายก็มีความสุขขนาดนี้ ดูเหมือนนายจะรักเธอมากจริง ๆ! ฉันคิดว่าพวกนายเป็นคู่ที่เหมาะสมมาก!”
โปรดติดตามตอนต่อไป …