ตอนที่ 1610 ศิษย์คารวะอาจารย์ (ฟรี)
ตอนที่ 1610 ศิษย์คารวะอาจารย์
ลู่โจวเห็นความอยากรู้อยากเห็นและความสงสัยในดวงตาของหนานหลี่ “เพลิงเที่ยงแท้สามารถพัฒนาเพลิงแห่งกรรมได้” เขาจึงตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านต้องการที่จะหลอมเพลิงแห่งกรรมให้เป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ? คนที่มีเพลิงแห่งกรรมนั้นมีน้อยคนมาก ต่อให้ท่านจะมีเพลิงแห่งกรรม แต่การที่ท่านจะใช้เพลิงเที่ยงแท้หลอมมันอย่างรุนแรงนั้นอาจจะทำให้เกิดผลเสียได้!” หนานหลี่ที่ตกตะลึงถาม
“เจ้าพูดถูก” ลู่โจวที่พยักหน้ากล่าว
“ท่านเทพหนานหลี่ แบบนี้แสดงว่าท่านกำลังสงสัยในความสามารถของท่านเจ้าศาลาลู่อยู่สินะ?” ซวนอี้กล่าว
“ไม่ๆๆ” หนานหลี่ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
“พวกเราพักที่โถงเต๋าทางทิศเหนือหนึ่งคืนไม่ได้งั้นเหรอ? ยังไงซะวันนี้ก็ดึกมากแล้ว” ซวนอี้ถาม
“ไม่ใช่แค่หนึ่งคืนหรอก พวกท่านพักที่นี่สิบวันหรือครึ่งเดือนก็ยังได้ ภูเขาใต้สะบั้นยินดีต้อนรับพวกท่านเสมอ” หนานหลี่ยิ้ม
“ตกลง”
ตกดึก
คนของวิหารซวนอี๋พักอยู่ในภูเขาใต้สะบั้น
ในโถงเต๋าทางทิศเหนือ
“ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องอยากจะขอ” จางเหอที่บินเข้ามาคุกเข่าลงข้างหนึ่งกล่าวกับซวนอี้
ตอนนี้ซวนอี้กับลู่โจวกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุข
“มีอะไรงั้นเหรอ?” ซวนอี้ที่เห็นว่าสีหน้าของจางเหอนั้นค่อนข้างจริงจังถาม
“วันนี้ข้าได้เห็นความสามารถของท่านเจ้าศาลาลู่ด้วยตาตัวเองแล้ว ข้าชื่นชมเขาจริงๆ ข้าไม่คู่ควรที่จะเป็นแม่ทัพแห่งวิหารซวนอี้ ดังนั้นข้ายินดีที่จะช่วยเหลือท่านเจ้าศาลาลู่!” จางเหอกล่าวอย่างจริงใจ ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ความสามารถของลู่โจว แต่วันนี้เขาเชื่อมั่นอย่างแท้จริง ดังนั้นคำพูดของเขาจึงจริงใจมาก
“พวกเราเคยพูดคุยเรื่องนี้กันแล้วไม่ใช่เหรอ?” ซวนอี้ขมวดคิ้ว
“เคยพูดคุยกันแล้ว แต่พลังฝึกฝนของท่านเจ้าศาลาลู่นั้นลึกล้ำมาก ความสามารถของเขาเหนือกว่าข้ามาก หากข้ายังคงหน้าด้านและยึดติดอยู่กับตำแหน่งนี้ หากในอนาคตข้าได้พบกับคนสองคนนั้นอีกครั้ง ข้าเกรงว่าข้าคงจะทำให้วิหารซวนอี้ต้องอับอายขายหน้า” จางเหอกล่าว
ซวนอี้พยักหน้าเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจางเหอจะไม่ได้ฉลาดมากมายหรือรอบคอบในการวางแผนอะไร แต่เขาก็ยังซื่อสัตย์และจงรักภักดี
“ข้ารู้สึกว่าชายหนุ่มที่เอาชนะเจ้าได้ด้วยร่างโคลนคนนั้นสามารถรับผิดชอบเรื่องนี้ได้ หากเจ้ายังคงยืนยันที่จะสละตำแหน่ง เจ้าก็มอบมันให้กับเขาเถอะ” ลู่โจวกล่าว
“???”
จางเหอตกตะลึง
ซวนอี้ก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน
“อย่าได้ดูถูกเขาไป ภายนอกเขาดูเหมือนกับอันธพาลที่จองหองและไม่มีมารยาทก็จริง แต่ความจริงแล้วเขาฉลาดและเจ้าเล่ห์มาก” ลู่โจวที่เห็นปฏิกิริยาของพวกเขากล่าว
“ท่านเจ้าศาลาลู่ดูเหมือนกับว่าจะรู้จักเขาเป็นอย่างดี เมื่อท่านพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาก็น่าสนใจจริงๆ นั่นแหละ” ซวนอี้หัวเราะ
“ข้ายังคงคิดว่าท่านเจ้าศาลาลู่เหมาะสมที่สุดอยู่ดี” จางเหอกล่าวอย่างไม่เต็มใจ
“อย่าเสียมารยาทไป” ซวนอี้กล่าว
จางเหอที่ก้มหัวลงไม่กล้าพูดอะไรอีก
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก” ซวนอี้กล่าว
“ครับ ข้ายังมีบางอย่างที่ข้าไม่รู้ว่าควรจะพูดรึเปล่า?” จางเหอเงยหน้าขึ้นกล่าว
“ว่ามา” ซวนอี้กล่าว
“ช่วงนี้ฝ่าบาทได้พบกับจักรพรรดิขาวบ้างรึเปล่า?” จางเหอถาม
“ไสหัวไป!” ซวนอี้ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้น
จางเหอที่รู้สึกว่าสถานการณ์นั้นไม่ค่อยดีนักรีบหันหลังกลับไป
“ได้โปรดอย่าโกรธเขาเลย” ซวนอี้ที่กำหมัดคำนับลู่โจวกล่าวหลังจากที่จางเหอจากไปและคนอื่นๆ ถอยห่างออกไป
“ข้าไม่ได้ใจแคบขนาดนั้นหรอก ข้าขอตัวก่อน” ซวนอี้กล่าวจบก็จากไป
เที่ยงคืน
ลู่โจวหยิบเพลิงเที่ยงแท้ออกมาจากถุงฟากฟ้าไร้ขอบเขต เขาใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ควบคุมมันก่อนจะศึกษามัน เขากำลังควบคุมความร้อนของมันอย่างแม่นยำ
เพลิงแห่งกรรมปรากฏขึ้นเมื่อเขาสะบัดมือ จากนั้นเขาก็รวมเพลิงแห่งกรรมเข้ากับเพลิงเที่ยงแท้
เขาได้เรียนรู้วิธีการนี้มาจากความทรงจำของผู้มีมลทิน ผู้มีมลทินนั้นมีเพลิงแห่งกรรมอยู่ในครอบครอง เขาคิดที่จะนำเพลิงเที่ยงแท้ไป แต่มันก็ถูกเลื่อนออกไปเพราะบางอย่าง
ในเมื่อลู่โจวมีความรู้นั้นแล้ว เขาจะปล่อยโอกาสที่ดีแบบนี้ไปได้ยังไง?
หลังจากที่เพลิงเที่ยงแท้ถูกสยบแล้ว มันก็ดูเหมือไม่เป็นอันตรายอะไร มันสานเข้ากับเพลิงแห่งกรรมของลู่โจวอย่างต่อเนื่อง
ทุกอย่างราบรื่น มันไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายใดๆ
ลู่โจวที่หาข้ออ้างอยู่ต่ออีกสองวัน เขาไม่ได้จากไป
หนานหลี่ที่หวังว่าลู่โจวจะแข็งแกร่งขึ้นนั้นดีใจมาก เขาอยากจะสังเกตการณ์ความมั่นคงของเขตแดนพลังต่อไป
ลู่โจวใช้เวลาที่เหลือหลอมไฟกรรม เขาดูดซับเพลิงเที่ยงแท้อย่างต่อเนื่อง
โชคดีที่เขามีกระเบื้องเคลือบสีม่วง เสื้อคลุมวิเศษ ถุงฟากฟ้าไร้ขอบเขต และที่สำคัญที่สุดก็คือพลังศักดิ์สิทธิ์ พวกมันทั้งหมดสามารถปราบปรามเพลิงเที่ยงแท้ได้อย่างง่ายดาย
เขาใช้เวลาสองวันเต็มๆ ในการหลอมเพลิงแห่งกรรม
สองวันต่อมา
ตกดึก
“ใครกัน? ที่กล้าหาญขนาดนี้?” ลู่โจวที่กำลังจะเก็บเพลิงเที่ยงแท้ลงในถุงฟากฟ้าไร้ขอบเขตเห็นเงาหนึ่งกะพริบผ่านไป เขาถามอย่างจริงจัง
ร่างนั้นรีบวิ่งเข้ามาในห้องโถงอย่างลับๆ ล่อๆ เหมือนกับโจร เขากลิ้งตัวไปบนพื้นดินก่อนจะดึงผ้าสีดำออกจากใบหน้า
“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์!” เขาที่เอาหน้าผากโขกพื้นกล่าว
“เจ้าสี่งั้นเหรอ?”
นอกจากศิษย์คนที่สี่ของเขาแล้ว ลู่โจวคิดไม่ออกว่าจะเป็นใครได้อีก
หมิงซี่หยินเงยหน้าขึ้นและยิ้มอย่างเขินอาย
“เจ้ากล้าดียังไง? ไม่กลัวที่จะถูกจับได้งั้นเหรอ?” ลู่โจวขมวดคิ้ว
“ไม่เป็นไร คนพวกนั้นอ่อนแอ” หมิงซี่หยินยิ้ม เขารีบคลานเข้าไปหาลู่โจวด้วยสีหน้าที่เหมือนกับว่าจะร้องไห้ เขากอดขาของลู่โจว “ท่านอาจารย์! ข้าคิดว่าท่านเสียชีวิตไปแล้วซะอีก!”
“คนพาลอย่างเจ้าไม่มีทางพูดอะไรดีๆ ออกมาหรอก!” ลู่โจวที่เตะหมิงซี่หยินพูดต่อ “เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าไม่มีอาจารย์หรอกเหรอ?”
“ข้าสาบานว่าข้าแค่แสร้งทำ! ที่นี่คือดินแดนแห่งความว่างเปล่า กำแพงมีหู ข้าขอสาบานด้วยเคียวพื้นพิภพ หากคำพูดของข้ามีแม้แต่คำเดียวที่เป็นเรื่องโกหก ข้าขอให้เคียวพื้นพิภพสังหารข้า!” หมิงซี่หยินที่ยังคงคุกเข่ากล่าว
“พอได้แล้ว เลิกพูดเรื่องไร้สาระซะ แล้วพวกเจ้ากับเจ้าสามมาที่ดินแดนแห่งความว่างเปล่าได้ยังไง?” ลู่โจวถาม
หมิงซี่หยินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขากับต้วนมู่เฉิงให้ลู่โจวฟัง จากนั้นเขาก็พูดถึงฉีเชิง
“ฉีเชิง?” ลู่โจวขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“คนคนนั้นจงใจทำให้พวกเราคิดว่าเขาคือเจ้าเจ็ด เขาแอบช่วยเหลือพวกเรา แต่ความจริงแล้วเขานั้นเจ้าเล่ห์มาก เขายังไม่ได้แสดงธาตุแท้ออกมา” หมิงซี่หยินกล่าว
“เจ้าไม่คิดว่าเขาจะเป็นเจ้าเจ็ดงั้นเหรอ?” ลู่โจวถาม
“เป็นไปไม่ได้! ท่านอาจารย์ ข้ารู้จักเจ้าเจ็ดดี” หมิงซี่หยินกล่าวอย่างมั่นใจ
“หากไม่ใช่เจ้าเจ็ด ทำไมเขาถึงได้ล่อลวงพวกเจ้ามาที่ดินแดนแห่งความว่างเปล่าด้วยล่ะ?”
“เขากำลังพยายามที่จะเอาใจวิหารศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้เขาเป็นถึงลูกน้องของจักรพรรดิมิงซินผู้ยิ่งใหญ่ จากนั้นข้าคิดว่าเขากำลังพยายามที่จะเอาใจพวกเราเพื่อที่จะดึงท่านเข้าไป” หมิงซี่หยินกล่าว
“ดึงข้าเข้าไป?”
“ท่าน...ท่านไม่ใช่ผู้มีมลทินเหรอ? ท่านอาจารย์ ทำไมท่านไม่บอกเรื่องตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของท่านให้ข้าฟังก่อนหน้านี้กัน? ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะเป็นลูกน้องคนสนิทของท่าน!” หมิงซี่หยินที่โบกกำปั้นกล่าว “มาดูกันว่าต่อไปใครจะกล้ารังแกข้า!”
“???”
“เจ้ามีเรื่องจะพูดแค่นี้เองเหรอ?” ลู่โจวที่ขมวดคิ้วตำหนิ
การที่ลู่โจวจะใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งความว่างเปล่าได้อย่างราบรื่นเป็นเพราะตัวตนในฐานะผู้มีมลทิน ในเมื่อทุกคนเข้าใจเขาผิด เขาจึงได้ปล่อยเลยตามเลย ทุกครั้งที่เขาทำความเข้าใจคัมภีร์สวรรค์และคัมภีร์ปลุกชีพ เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองคือผู้มีมลทิน ในเมื่อโลกใบนี้ต้องการผู้มีมลทิน เขาจึงตัดสินใจที่จะเป็นผู้มีมลทิน
“ท่านอาจารย์ ท่านเป็นถึงผู้มีมลทินผู้ยิ่งใหญ่ ท่านคิดที่จะกลับไปยังจุดสูงสุดและนำทุกอย่างที่ท่านสูญเสียไปกลับคืนมาสินะครับ?” หมิงซี่หยินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“อาจารย์ของเจ้าไม่มีความทะเยอทะยานแบบนั้นหรอก” ลู่โจวกล่าว
หมิงซี่หยินมีสีหน้าที่เสียใจ
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ?” ลู่โจวเปลี่ยนเรื่อง
“ศิษย์พี่ใหญ่กับรองใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่บ้านของจักรพรรดิฟ้า ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาก็จะเข้าร่วมการแข่งขันชิงตำแหน่งแม่ทัพเช่นกัน ข้าคิดว่าอีกไม่กี่วันพวกเขาคงจะต้องไปที่วิหารซวนอี้เพื่อที่จะท้าทายจางเหอ ส่วนศิษย์น้องห้ากับหก ข้าเกรงว่าสถานการณ์ของพวกนางคงจะไม่สู้ดีนัก...” หมิงซี่หยินตอบ
“หืม?” ลู่โจวขมวดคิ้ว
“จักรพรรดิขาวกับฉีเชิงมีความสัมพันธ์ที่ดี ฉีเชิงเป็นคนเจ้าเล่ห์ เขาคงจะไม่ใช่คนดี ศิษย์น้องสองคนของข้าค่อนข้างใจง่าย ข้าไม่รู้ว่าจักรพรรดิขาวจะทำร้ายพวกนางรึเปล่า?” หมิงซี่หยินกล่าว
“จักรพรรดิขาวไม่น่าจะโง่ขนาดนั้น เพราะยังไงซะพวกนางก็ยังเป็นถึงสิ่งมีชีวิตสูงสุดในอนาคต” ลู่โจวกล่าว
“นั่นสินะ ส่วนเจ้าแปดกับฉีเชิงคนนั้นอยู่กับวิหารศักดิ์สิทธิ์ ท่านอาจารย์ ข้ามีบางอย่างที่ข้าไม่รู้ว่าควรจะพูดรึเปล่า...” หมิงซี่หยินกล่าว
“พูดได้เต็มที่”
“ข้าสงสัยว่าเจ้าแปดทรยศต่อศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว” หมิงซี่หยินกล่าวอย่างจริงจัง “ตลอด 100 ปี ที่ท่านไม่อยู่ เขาได้ทำหลายอย่างเพื่อวิหาร ตอนนี้เขาเป็นถึงลูกน้องคนสนิทของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ไม่สิ! เขาเป็นถึงลูกน้องคนสนิทคนที่สอง ฉีเชิงเป็นลูกน้องคนสนิทคนแรก”
“...”
“เจ้ารู้ได้ยังไง?” ลู่โจวถาม
“ข้าเคยไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ครั้งหนึ่ง เจ้าแปดไม่เพียงแต่จะยอมสยบต่อวิหารเท่านั้น แต่เขายังพูดจาไร้สาระเกี่ยวกับผู้มีมลทิน เพื่อที่จะทำตามใจตัวเอง!” หมิงซี่หยินกล่าวอย่างไม่พอใจ
“หากเป็นแบบนั้นจริง ข้าจะไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่” ลู่โจวกล่าว
“ถูกต้องแล้ว! ท่านต้องลงโทษเขาอย่างหนัก!” หมิงซี่หยินที่พูดต่อกล่าว “ส่วนศิษย์น้องเก้ากับสิบ...”
หมิงซี่หยินลังเล เขาหยุดพูด
ลู่โจวขมวดคิ้ว
“ข้าจะพูดตรงๆ แต่ได้โปรดอย่าโกรธข้าเลย ข้าคิดว่าศิษย์น้องเก้ากับสิบยอมรับโจรที่ลักพาตัวพวกนางไปเป็นบิดาแล้ว!” หมิงซี่หยินที่ถอยห่างไปก้าหนึ่งกล่าว
“ยอมรับโจรเป็นบิดางั้นเหรอ?”
‘100 ปี ผ่านไป ศิษย์ตัวแสบของข้ากลายเป็นแบบนี้ไปแล้วงั้นเหรอ?’
ความจริงแล้วการที่ลู่โจวจะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับศิษย์ของเขานั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เขารู้และเคยประสบกับการทรยศของจีเทียนเด๋ษ และก็ยังคงมีเฉินฟูที่เสียชีวิตในหุบเขาหอมหมื่นลี้เป็นตัวอย่าง
“ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์น้องสองคนของข้ากับจักรพรรดิซางจางนั้นดีจนน่าขนลุก! ข้าได้ยินมาว่าเขาปฏิบัติต่อพวกนางเหมือนกับบุตรสาว น่าตกใจจริงๆ!” หมิงซี่หยินกล่าวอย่างไม่พอใจ
“จักรพรรดิซางจาง ชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ” ลู่โจวกล่าว
“ท่านจำเจ้าชายรัตติกาล ราชาปีศาจที่เฝ้าเสาหลักแห่งหายนะได้รึเปล่า? พวกเขาทั้งสองเป็นศัตรูกัน เจ้าชายรัตติกาลแอบมีความสัมพันธ์กับสนมของจักรพรรดิซางจาง!” หมิงซี่หยินกล่าวด้วยสีหน้าที่เหมือนกับว่าจะชอบนินทา
ลู่โจวมองดูหมิงซี่หยินอย่างสงสัย ตอนนี้หมิงซี่หยินไม่เพียงแต่จะดูเหมือนกับผู้หญิงที่ชอบนินทาเท่านั้น แต่เขายังคงดูเหมือนกับขุนนางที่ทรยศต่อประเทศชาติ “เจ้าสี่ พวกเขาทั้งหมดเป็นศิษย์ร่วมสำนักของเจ้า เจ้ามั่นใจว่าเจ้าพูดถูกแล้วงั้นเหรอ?” เขาขมวดคิ้ว
“ท่านอาจารย์ ข้าไม่ได้โกหก ข้าแค่บอกในสิ่งที่ข้าคิด” หมิงซี่หยินกล่าว
“หากเป็นไปตามที่เจ้าพูดจริงๆ ข้าจะลงโทษพวกเขาทั้งหมดด้วยโทษสถานหนักเอง” ลู่โจวกล่าว
“แต่ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าการคาดเดาของข้าจะถูกต้อง” หมิงซี่หยินพึมพำ
“เจ้าศิษย์ไม่รักดี! เจ้ากล้าดียังไงถึงได้มาพูดจาไร้สาระ?” ลู่โจวที่ได้ยินแบบนั้นตำหนิหมิงซี่หยินทันที
“ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว!” หมิงซี่หยินคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย
“ช่างเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ศาลาปีศาจลอยฟ้า เจ้าไปได้แล้ว” ลู่โจวโบกมือ
“ไปงั้นเหรอ? ท่านอาจารย์ ให้ข้าอยู่กับท่านเถอะ การที่ข้าจะหนีออกมาไม่ใช่เรื่องง่าย” หมิงซี่หยินกล่าว
“ข้ายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ เจ้าควรจะกลับไป การที่เจ้าจะอยู่กับจักรพรรดิแดงน่าจะปลอดภัยกว่า” ลู่โจวกล่าว เมื่อตัวตนของเขาถูกเปิดเผยเมื่อไหร่ สิบวิหารคงจะต้องโจมตีเขา ตอนนั้นเขาจะต้องจัดการกับพวกมันด้วยตัวเอง การที่ศิษย์ของเขาจะติดตามเขาในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องดี
“ตกลง! ข้าจะแอบร่วมมือกับท่าน!” หมิงซี่หยินที่ดวงตาเป็นประกายกล่าว
“ภารกิจปัจจุบันของเจ้าคือการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น ข้าจะตรวจสอบสถานการณ์ของคนอื่นๆ ด้วยตัวเอง” ลู่โจวกล่าว
“ครับ”
“ในนั้นมีเพลิงเที่ยงแท้อยู่ ใช้มันหลอมกับเพลิงแห่งกรรมของเจ้า มันสามารถพัฒนาพลังฝึกฝนของเจ้าได้ มันจะเป็นประโยชน์กับเจ้ามาก” ลู่โจวที่โยนถุงฟากฟ้าไร้ขอบเขตให้กับหมิงซี่หยินกล่าว
“ขอบคุณท่านอาจารย์! ท่านอาจารย์ ในเมื่อศิษย์ไม่ได้อยู่ข้างกายท่าน ท่านต้อง...ดูแลตัวเองดีๆ นะ” หมิงซี่หยินที่ยิ้มอย่างมีเลศนัยกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง เขาโค้งคำนับลู่โจวอย่างเคารพ
“ดี เจ้าไปได้แล้ว”