MDB ตอนที่ 520 วิธีการทำพันธสัญญาโลหิตครั้งที่สาม
ลืมเฟิงจือหยงกับเฟิงจือซานไปได้เลย แม้แต่เฟิงจือเฉียนเองก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะชนะการต่อสู้ครั้งนี้ การยืนยันคำตอบของเจ้าหญิงลั่วหลี่นั้นแทบจะเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเธอจะแต่งงานกับเขา
สำหรับหลินจิน นี่เป็นงานที่เป็นทางการมาก ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาสัญญาไว้ก่อนหน้านี้จะไม่เปลี่ยนแปลง
ยิ่งกว่านั้น เอกราชทูตดินแดนพันเกาะดูเหมือนไม่กลับคำสัญญาของตนด้วยซ้ำ
“ขอแสดงความยินดีด้วย องค์ชานสาม” ทูตหลิวโค้งคำนับพร้อมรอยยิ้ม
เจ้าหญิงลั่วหลี่ได้แสดงเจตนาของเธอไว้ชัดเจนแล้ว หากไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น องค์ชายสามของอาณาจักรเกลียวสวรรค์จะแต่งงานกับเจ้าหญิงลั่วหลี่ และกลายเป็นลูกเขยของดินแดนพันเกาะ
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เอกราชทูตจะแสดงความยินดีกับเฟิงจือเฉียน
เฟิงจือเฉียนดูมีความสุขราวกับได้รับพรจากโชคชะตา เมื่อเปรียบเทียบกับเฟิงจือหยงและเฟิงจือซานแล้ว พวกเขาต่างก็มีสีหน้าเศร้าหมอง
หลังจากทุ่มความพยายามมากมายในการวางแผนเส้นทางสู่ชัยชนะ พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะต้องตามหลังน้องคนเล็กของตน
พวกเขาพบว่าผลลัพธ์นี้ยากที่จะยอมรับ
ถึงกระนั้นพวกเขาจะทำอย่างไรได้?
เฟิงจือซานกัดฟันด้วยความโกรธ คำถามหนึ่งยังคงทำให้เขางุนงง และกัดกินความอดทนของเขา ในที่สุด เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาพูดขึ้นว่า
“ข้าอาจไม่ใช่ผู้ประเมินอย่างเป็นทางการ แต่ข้าก็มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับศาสตร์นี้อยู่บ้าง ข้าจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าบนโลกนี้จะมีใครที่สามารถครอบครองสัตว์วิเศษถึงสามตัวพร้อมกันได้หรือไม่?”
เขาเริ่มสงสัยคำตอบของเฟิงจือเฉียน
อย่างไรก็ตาม การที่เขาทำเช่นนั้นก็ถือว่าสมเหตุสมผล วิธีการทำพันธสัญญาโลหิตครั้งที่สองมีอยู่จริงในโลกนี้ และตามข่าวลือก็มีอยู่มากมายเช่นกัน วิธีการบางอย่างมีข้อเสียร้ายแรง ในขณะที่บางวิธีก็ยังพอยอมรับได้
แต่การทำสัญญากับสัตว์วิเศษครั้งที่สามนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เฟิงจือซานจึงตั้งคำถามโดยไม่ลังเล ด้วยความความกระตือรือร้นที่จะค้นหาความจริงอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ทำให้ผู้คนโดยรอบต่างมองเขาดด้วยความสับสน
นอกจากนี้ด้วยการสังเกตอย่างเฉียบแหลมของเฟิงจือซาน เขายังได้ค้นพบสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งกว่านั้นอีกด้วย
วิธีการทำพันธสัญญาโลหิตครั้งที่สาม
หากมันมีจริง เฟิงจือซานสามารถมอบมันให้พ่อของพวกเขาได้ ซึ่งพ่อของพวกเขาคงจะรักเขามากขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น เฟิงจือซานจะมีโอกาสครองบัลลังก์มากขึ้น
เฟิงจือเฉียนไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของเฟิงจือซานอย่างไรดี เขาจึงหันไปหาหลินจิน และหลินจินก็ยิ้มตอบ
“อันที่จริง วิธีการทำพันธสัญญาโลหิตครั้งที่สามนั้นหายากมากในโลกนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นความลับที่ปกปิดไว้อย่างดีก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีอยู่
นอกจากนี้ สิ่งที่เท่ากับสามัญสำนึกก็ไม่ได้เป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียวเสมอไป มันมักจะมีข้อยกเว้นเสมอ และเจ้าหญิงลั่วหลี่กับสามชี่หลงของเธอก็คือหนึ่งในข้อยกเว้นเหล่านั้น”
ในความเป็นจริง เมื่อหลินจินเข้าไปตรวจสอบสัตว์วิเศษ เขาได้คิดหาคำตอบนี้ไว้แล้ว
แม้แต่ผู้ประเมินระดับห้าก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษของเขาได้ เนื่องจากสิ่งที่ผู้ประเมินระดับห้าไม่สามารถยืนยันคำตอบที่ชัดเจนได้
คำตอบข้อหนึ่งที่เขาได้รับก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าชี่หลงทั้งสามตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าหญิงลั่วหลี่
นั่นคือข้อสรุปของพิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์ยังได้ระบุวิธีการต่าง ๆ มากมายในการทำสัญญากับสัตว์วิเศษตัวที่สามไว้ ดังนั้นการค้นพบที่มีค่าที่สุดที่นี่ก็คือวิธีการทำพันธสัญญาโลหิตครั้งที่สามอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม แตกต่างจากวิธีการทำพันธสัญญาโลหิตครั้งที่สองที่พิพิธภัณฑ์เคยให้รางวัลไปก่อนหน้านี้ สำหรับวิธีการทำพันธสัญญาโลหิตครั้งที่สามเหล่านี้ล้วนมีข้อบกพร่อง และมีผลข้างเคียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง
ถึงกระนั้นก็ตาม หลายคนก็ยังมองว่าสิ่งเหล่านี้มีค่ามหาศาล เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผยต่อโลก ความโกลาหลอาจตามมา และพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าจะต้องเกิดการนองเลือดเพราะมันมากเท่าไหร่
ในความเห็นของหลินจิน เจ้าหญิงลั่วหลี่ไม่ได้ใช้เทคนิคที่พิพิธภัณฑ์จัดให้ แต่พันธสัญญาโลหิตกับมังกรทั้งสามของเธอถูกสร้างขึ้นด้วยกลวิธีอันชาญฉลาด
คำอธิบายของพิพิธภัณฑ์และสิ่งที่หลินจินสรุปจากประสบการณ์ของเขาค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกัน
ชี่ลองเป็นสัตว์วิเศษที่ออกลูกเป็นไข่ และในกรณีส่วนใหญ่ มังกรจะฟักออกจากไข่ใบเดียว ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม จะมีข้อยกเว้นหากมังกรหลายตัวจะฟักออกจากไข่ใบเดียวกัน
ในสถานการณ์พิเศษเช่นนี้ ก่อนที่ไข่จะฟักออกมา เราสามารถใช้เทคนิคการทำสัญญาเลือดแบบลับเพื่อทำพันธสัญญาโลหิตกับไข่ได้ ดังนั้นเมื่อไข่ฟักออกมา มังกรทั้งสามจะผูกมัดกับคน ๆ เดียวกัน
เจ้าหญิงลั่วหลี่คงจะใช้วิธีการนี้
หลินจินได้ตรวจสอบความเป็นไปได้นี้เพิ่มเติมในพิพิธภัณฑ์
เขารู้อยู่เต็มอกว่าจะต้องมีคนสงสัย และเรียกร้องคำอธิบายจากเขา ดังนั้น หลินจินจึงไม้มีท่าทีกังวลใด ๆ เลย เขาลุกจากที่นั่ง และเริ่มอธิบายเทคนิคที่เขาเพิ่งคิดออกอย่างมั่นใจ
ในฐานะผู้ประเมินระดับสี่ เขาสามารถอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผลโดยปราศจากข้อกังขาใด ๆ และเมื่อเขาพูดจบ ใบหน้าของผู้ประเมินระดับสี่คนอื่น ๆ ก็เริ่มสว่างขึ้น พวกเขาต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าก็มีความสงสัยเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าจะเป็นความจริง”
“ถึงแม้จะยังไม่มีวิธีการทำพันธสัญญาโลหิตครั้งที่สามที่โลกรู้จัก แต่ข้อยกเว้นพิเศษที่ผู้ประเมินหลินกล่าวถึงนี้ถือว่าสมเหตุสมผลมากเลยทีเดียว”
ผู้ประเมินระดับสี่เหล่านี้อาจได้รับการว่าจ้างโดยนายจ้างที่แตกต่างกันและถือว่าเป็นคู่แข่งกันในสถานการณ์นี้ แต่เมื่อพูดถึงการประเมินแบบจริงจังแล้ว กลับไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการแข่งขัน
ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด พวกเขาควรเรียนรู้ว่าอะไรถูก และหักล้างสิ่งที่ผิด
นั่นคือคุณธรรมที่แสดงออกมาโดยผู้ประเมินที่แท้จริง
เจ้าชายทั้งสามก็ตระหนักได้ว่าทฤษฎีนี้ไม่ยากเกินไปที่จะเข้าใจ แม้ว่าจะไม่มีใครเคยคิดที่จะทำเช่นนี้มาก่อนก็ตาม
“ผู้ประเมินหลิน ท่านมีความรู้กว้างไกล ข้ารู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง อย่างที่ท่านพูดมา มังกรทั้งสามตัวนี้ทำพันธสัญญาโลหิตกับข้ามาตั้งแต่ข้ายังเด็ก โดยผู้คุมกฎในประเทศของเราเป็นผู้ดำเนินการทำพันธสัญญาโลหิตด้วยตัวเอง ข้าโชคดีมากที่ได้มังกรสามตัวนี้มาเป็นสัตว์เลี้ยง”
คำตอบของเจ้าหญิงลั่วหลี่ยืนยันการทฤษฎีของหลินจิน
หลินจินยิ้มจาง ๆ และโค้งคำนับเธอ ก่อนที่จะกลับไปที่นั่งของเขา
ธุระของเขาเสร็จสิ้นแล้ว เขาบอกสิ่งที่เขาต้องการบอกไปหมดแล้ว และสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือการรับประทานอาหาร หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เขาจะเดินทางกลับ
ซูเสี่ยวหลัวไม่ได้สงสัยในคำตอบของหลินจิน เพราะเธอได้รู้ความจริงมาตั้งนานแล้ว แต่เธอเลือกที่จะไม่พูดออกมา เธอมาที่นี่เพื่อร่วมสนุกเท่านั้น แต่ทว่าเธอกลับพบว่ามันเป็นงานที่น่าเบื่อ อาหารก็ธรรมดา ๆ อีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอจึงไม่อยากกินอะไรต่อ เธอจึงเร่งหลินจินในใจให้รีบไปเสียเพื่อที่พวกเขาจะได้ออกไปได้
โชคดีที่ช่วงประเมินสัตว์วิเศษผ่านพ้นไปแล้ว งานเลี้ยงกำลังจะสิ้นสุดลง และหลินจินสังเกตเห็นว่าท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืด เขาจึงครุ่นคิดก่อนจะลุกขึ้นเพื่ออำลาแขกคนอื่น ๆ
ผู้ประเมินคนอื่น ๆ ดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะอยู่ต่อเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มทยอยกลับ ซึ่งถือเป็นการบรรเทาทุกข์ให้กับหลินจิน มิฉะนั้น การจากไปของเขาและซูเสี่ยวหลัวอาจทำให้เจ้าบ้านรู้สึกอึดอัด
นอกห้องโถง ผู้ประเมินหยานและผู้ประเมินระดับสี่คนอื่น ๆ ไม่ได้ออกไปไหน แต่กำลังรอซู่เสี่ยวหลัวอยู่ เมื่อเห็นเธอ พวกเขาก็รีบโค้งคำนับ
ซูเสี่ยวหลัวเพียงแค่พยักหน้าอย่างรีบ ๆ และเดินจากไปอย่างไม่ใยดี
เธอเป็นคนโอ้อวดมากจนน่ารำคาญ
หลินจินก็อดไม่ได้ที่จะเหนื่อยใจเช่นกัน นี่คือลักษณะนิสัยของซูเสี่ยวหลัว หากเธอพบว่าอีกฝ่ายน่าสนใจ เธอสามารถอยู่ต่อได้ตลอดทั้งวันเพื่อพยายามพูดคุย แต่ถ้าเธอพบว่าอีกฝ่ายน่าเบื่อหน่าย เธอไม่แม้แต่จะมองคุณแม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำ
หลังจากเดินผ่านผู้ประเมินเหล่านั้นไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงหลินจินและซูเสี่ยวหลัวเท่านั้น
ทันใดนั้น เสียงของซูเสี่ยวหลัวก็กลายเป็นเสียงผู้หญิง หลินจินหันกลับไปมอง และก่อนที่เขาจะรู้ตัว อีกฝ่ายก็กลับคืนสู่ร่างผู้หญิงแล้ว
หลินจินรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เพราะความสามารถในการแปลงร่างนี้ช่างน่าพิศวงจริง ๆ บางทีซูเสี่ยวหลัวอาจเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่สามารถทำสิ่งนี้ได้
จู่ ๆ ซูเสี่ยวหลัวก็พูดว่า
“หลินจิน เจ้าต้องระวังผู้ประเมินหยานคนนั้นให้ดี”
“อะไรนะ?” หลินจินตกตะลึง เขาเหลือบมองซูเสี่ยวหลัว เขาไม่เข้าใจว่า ทำไมจู่ ๆ เธอถึงพูดแบบนี้