ตอนที่แล้ว25 - ทะเลาะวิวาท
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป27 - เด็กแสบเมื่อวานกลับมาอีก

26 - ไปที่ชั้นเรียนอีกครั้ง


ระหว่างทางกลับบ้าน ทุกอย่างราบรื่นดี พอถึงบ้านก็เป็นเวลาประมาณก่อนมื้อเย็นพอดี แม่ของจูผิงอัน นางยืนรออย่างกระวนกระวายอยู่หน้าประตูบ้าน เมื่อเห็นลูกชายขี่วัวเหลืองกลับมา นางถึงได้คลายความกังวลลง

มื้อเย็นวันนี้ ส่วนใหญ่มีเพียงป้าสะใภ้ใหญ่ที่พูดคุยด้วยความตื่นเต้น ถามไถ่เรื่องราวของจูผิงจวิ้นเกี่ยวกับสำนักศึกษา เช่นว่า “จวิ้นเอ๋อทำตัวดีไหมที่สำนักศึกษา?” “อาจารย์ชมลูกบ้างไหม?” “ลูกได้เรียนรู้อะไรใหม่บ้าง?” จูผิงจวิ้นก็ตอบอย่างไม่ให้แม่ผิดหวัง พูดโอ้อวดว่า “ข้าทำตัวดีมากเลยขอรับที่สำนักศึกษา เข้ากับเพื่อน ๆ ได้ดี อาจารย์ก็ชมข้าเพราะข้าตั้งใจเรียนมาก ข้าได้เรียนรู้การเขียนตัวอักษรมาแล้ว สี่ตัวง่ายมากเลยขอรับ”

ทุกครั้งที่จูผิงจวิ้นพูด ป้าสะใภ้ใหญ่ก็ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น

ส่วนจูผิงอันที่นั่งกินแผ่นแป้งกับผักดองไปก็ได้แต่เงียบและแอบบ่นในใจ ว่าไม่รู้ว่าป้าสะใภ้จะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่าจูผิงจวิ้นหลับน้ำลายยืดบนโต๊ะในวันแรกของการเข้าเรียน แต่แน่นอนว่าจูผิงอันไม่ได้คิดจะเอาเรื่องนี้ไปเปิดเผย เพราะอาจารย์ได้ลงโทษจูผิงจวิ้นไปแล้ว ถ้าจูผิงจวิ้นรู้ตัวและปรับปรุงตัวได้ก็เพียงพอ แต่ถ้าเขาไม่คิดแก้ไข ต่อให้พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ แถมอาจโดนป้าสะใภ้หาว่าอิจฉาจูผิงจวิ้นอีก

ผักดองในบ้านที่ทานกันนั้นเป็นฝีมือท่านย่าที่หมักด้วยตัวเอง แม้ท่านย่าจะลำเอียง แต่ต้องยอมรับว่าฝีมือการหมักผักดองของนางเป็นเลิศ

ทั้งหัวไชเท้าและแตงกวาที่หมักจนกรอบ ดูเขียวสดราวกับหยก รสชาติเปรี้ยวหวานกรุบกรอบ หอมอร่อยจนใครเห็นเป็นต้องน้ำลายสอ

ช่วงหลายวันที่ผ่านมา จานผักดองนี้กลายเป็นของคู่โต๊ะอาหารของจูผิงอัน ไม่ว่าจะกินกับข้าวหรือข้าวต้ม ถ้าขาดมันไป อาหารก็เหมือนจะไม่อร่อย

“ดูเสี่ยวจื้อกินสิ น่ากินจริง ๆ” อาสะใภ้สามชมจูผิงอันที่กินข้าวกับข้าวต้มอย่างเอร็ดอร่อย

“เพราะงั้นข้าถึงให้เสี่ยวจื้อไปเลี้ยงวัวไง” ป้าสะใภ้ใหญ่ที่กำลังพูดถึงจูผิงจวิ้นอย่างภาคภูมิใจถูกขัดจังหวะ สีหน้าเริ่มไม่พอใจ เพราะมองว่าลูกของน้องสะใภ้จะมาเทียบกับลูกของตัวเองไม่ได้ ลูกของนางเรียนหนังสือเพื่อเป็นบัณฑิต ส่วนลูกของน้องสะใภ้ก็แค่คนเลี้ยงวัว

แม่ของจูผิงอันหน้าไม่พอใจเช่นกัน แต่ไม่กล้าพูดอะไร เพราะท่านย่านั่งจับตามองอยู่ จึงได้แต่หันไปลงที่พ่อของจูผิงอัน บีบแขนจนเขาร้องออกมาด้วยความเจ็บ

หลังมื้อเย็น ผ่านไปโดยไม่มีอะไรน่าสนใจ จูผิงอันกลับไปที่คอกวัวพร้อมกรรไกร ทำตัวเหมือนโจร พักหนึ่งก็เดินออกมาพร้อมขนหางวัวสีเหลืองกำเล็ก ๆ ในมือ

หลังจากเก็บกรรไกรเข้าที่ เขาก็หักไม้ไผ่ขนาดเท่านิ้วมือหนึ่งท่อน แล้วนั่งอยู่ข้างอ่างน้ำ พยายามสอดขนหางวัวเข้าไปในไม้ไผ่

งานนี้ไม่ง่ายเลย เพราะขนวัวหลุดออกง่ายและหดกลับเข้าไปในไม้ไผ่ทุกครั้งที่มือสัมผัส

“เสี่ยวจื้อ เลิกเล่นน้ำได้แล้ว ตอนกลางคืนมันเย็น กลับเข้าห้องไปพักผ่อนซะ” ท่านย่าที่เดินผ่านมาบ่นเขา เพราะคิดว่าเขาแค่เล่นซน

“ขอรับ ท่านย่า” จูผิงอันตอบรับ

ท่านย่าบ่นอีกสองสามคำก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไป

พ่อของจูผิงอันได้ยินเสียงก็เดินมาดู เห็นลูกชายกำลังเล่นน้ำอยู่ ก้มตัวลงอุ้มเขาขึ้นมาไว้บนบ่า ทำเหมือนกำลังเล่น "ขี่ม้าส่งเมือง"

จูผิงอันที่กำลังมุ่งมั่นกับการใส่ขนวัว ตกใจจนตัวลอยเหมือนจะหลุดวิญญาณออกจากร่าง

เมื่อพ่อของจูผิงอันเห็นว่าลูกชายกำลังถือไม้ไผ่และขนหางวัวอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยและถามเหตุผล เมื่อได้รู้ว่าจูผิงอันตั้งใจจะทำพู่กันเอง พ่อก็ทั้งรู้สึกผิดและขำไปพร้อมกัน รู้สึกผิดที่ตนเองไม่มีปัญญาส่งลูกไปเรียนหนังสือ แต่ก็ขำที่ลูกชายซื่อบื้อถึงขนาดคิดจะทำพู่กันใช้เอง เพราะพู่กันไม่ได้ทำกันง่าย ๆ แบบนั้น

หลังจากตัดสินใจได้ พ่อของจูผิงอันก็เสนอว่าจะทำพู่กันให้ลูกชายเอง

จูผิงอันเงยหน้าขึ้นมองพ่อด้วยความไม่เชื่อ เพราะพ่อของเขาไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน แล้วจะทำพู่กันได้อย่างไร

“ตอนเด็ก ๆ พี่ใหญ่ของพ่อเคยเรียนหนังสือ เขาใช้พู่กันเปลืองมาก พ่อเลยต้องไปซื้อพู่กันให้เขาบ่อย ๆ ที่ร้านขายพู่กันและอุปกรณ์เขียนหนังสือ จนสนิทกับคนงานที่ร้าน แล้วก็ได้เรียนรู้วิธีทำพู่กันมา พ่อทำเองเพื่อช่วยประหยัดเงินให้ครอบครัว แต่พอพี่ใหญ่โตขึ้น เขาก็เลิกใช้พู่กันที่พ่อทำไปนานแล้ว ถึงอย่างนั้นฝีมือของพ่อก็ยังไม่หายไปไหน” พ่อของเขาพูดพลางรำลึกถึงอดีตด้วยความรู้สึกหลากหลาย

ในสมัยราชวงศ์หมิง คนทั่วไปมักกินข้าวแค่สองมื้อต่อวัน ได้แก่ อาหารเช้าประมาณแปดโมง และอาหารเย็นประมาณห้าโมงเย็น

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ จูผิงอันก็ออกไปเลี้ยงวัวอีกครั้ง

“อืม ทำไมข้ารู้สึกว่าวัวของเราดูแปลก ๆ ไปนะ” อาสะใภ้สี่พูดพึมพำกับตัวเองในขณะที่จูผิงอันขี่วัวเหลืองออกจากบ้าน

ก็ขนหางวัวถูกตัดไปหนึ่งกำ จะไม่แปลกได้อย่างไร

เมื่อได้ยินดังนั้น จูผิงอันรีบพาวัวออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว ถ้าอาสะใภ้สี่รู้ว่าเขาเป็นคนตัดหางวัวเอง คงต้องเกิดเรื่องวุ่นวายแน่ ๆ

วันนี้ตอนออกไปเลี้ยงวัว นอกจากของที่นำไปเมื่อวานแล้ว จูผิงอันยังพกตะกร้าไม้ไผ่หนึ่งใบ พู่กันหนึ่งด้าม และแผ่นไม้ขนาดเท่ากระดาษ เอสี่ ที่เคลือบสีดำมาด้วย แผ่นไม้นี้เขาเจอในห้องครัว น่าจะเคยเป็นส่วนหนึ่งของโต๊ะเกาอี้ที่พังแล้ว หลังจากซ่อมโต๊ะเก้าอี้ใหม่ แผ่นไม้นี้ก็ถูกทิ้งไว้ในโรงเก็บฟืน

พู่กันกับแผ่นไม้เอาไว้ฝึกเขียนพู่กันจีน โดยใช้กระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำจากแม่น้ำแทนหมึก เมื่อน้ำแห้งก็เขียนใหม่ได้เรื่อย ๆ ประหยัดทั้งหมึกและกระดาษ

ส่วนตะกร้าไม้ไผ่นั้นเขาเอามาใช้หาปลา เป็นวิธีที่เขาได้ฟังมาจากเรื่องเล่าของท่านพ่อเมื่อคืน

แสงอาทิตย์ที่อบอุ่นลอดผ่านเมฆบาง ๆ สาดส่องลงมายังพื้นดินขาวโพลน สะท้อนเป็นประกายสีเงินแวววาว แสงเหล่านี้ล้อมรอบคนและวัวบนถนนในหมู่บ้านเอาไว้เป็นวง ๆ

วัวเดินข้ามสะพานไม้แผ่นเดียวไปถึงเนินเขาลูกเล็ก ๆ ที่นั่นหญ้ายังเขียวชอุ่มเหมือนเดิม แต่ไม่พบสาวน้อยที่เจอเมื่อวาน

จูผิงอันตักน้ำจากแม่น้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ ก่อนจะจูงวัวเหลืองไปที่ป่าต้นไผ่บนเนินเขา เขาผูกวัวไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่งเพื่อให้มันกินหญ้าอ่อนสดใหม่ และเพื่อให้พื้นที่ที่ถูกวัวกินเมื่อวานได้ฟื้นฟูตัวเอง

เขาหยิบอุปกรณ์ที่เตรียมมาด้วย ก่อนจะเดินผ่านป่าต้นไผ่ไปยังด้านนอกของสำนักศึกษาอีกครั้ง คราวนี้เขาหามุมที่ไม่เด่นสะดุดตาเพื่อแอบฟังการเรียนการสอน

จังหวะเวลานั้นเหมาะเจาะพอดี เด็ก ๆ เพิ่งอ่านหนังสือเสียงดังจบลง อาจารย์ถามคำถามพวกเขาสองสามข้อก่อนจะเริ่มบทเรียนใหม่ของวันนั้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด