(อ่านฟรีชั่วคราว) บทที่1222 เผิญหน้าครึ่งก้าวหยวนหยาง
แสงสีขาวยังไม่ทันจางหาย เสียงเรียบเย็นสายหนึ่งก็ดังขึ้นจากภายใน
“คาดไม่ถึงเลยว่าผู้อาวุโสเทียนเหอซาน อันดับสิบในรายนามสวรรค์ จะมาสร้างความลำบากแก่เหล่าผู้เยาว์ระดับสวรรค์ไร้ขอบเขตในศาลาจื่อฉีของเรา”
“ท่านเจ้าสำนัก!”
เทียนเสียนราวกับคว้าฟางช่วยชีวิต ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความตึงเครียดผ่อนคลายลงทันที แต่ถึงกระนั้น เมื่อรู้ว่าบุคคลเบื้องหน้าเป็นยอดฝีมือระดับเหนือสถาปนาตน ความกังวลในใจของเขาก็ยังไม่หายไปไหน เพราะอย่างที่เฉินเซี่ยเคยกล่าวไว้ ยอดฝีมือระดับนี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรโยว่หรือหอปกฟ้า ไม่มีผู้ใดเป็นกลางหรือเป็นจอมยุทธ์พเนจรเลยสักคนเดียว
นั่นหมายความว่าผู้มาเยือนย่อมเป็นศัตรูมากกว่ามิตร!
เทียนเหอซานยิ้มเยาะพลางจ้องเหวินผิงที่กำลังเดินลงมาจากชั้นบนของศาลาจื่อฉีอย่างสง่างาม ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“หรือว่าการที่ผู้เฒ่าผู้นี้ยอมเสียหินวิญญาณมากมายเพื่อซื้อแผนภาพวังวนและเกลียววังวนสังหาร จะถือว่าเป็นการสร้างความลำบากให้พวกเจ้ากัน?”
“หากเป็นเรื่องหินวิญญาณ แผนภาพวังวนและเกลียววังวนสังหารของศาลาจื่อฉีเรานั้น ไม่ว่าจะตั้งราคาเท่าใดก็มีผู้ซื้ออยู่แล้ว ผู้อาวุโสโปรดกลับไปเถิด เพราะสิทธิ์การซื้อที่ท่านจ่ายเงินมาในศาลาจื่อฉีถือว่าไม่มีผล”
เหวินผิงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง แม้รู้ดีว่าเทียนเหอซานมาเยือนด้วยจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์
“หากผู้เฒ่าผู้นี้ยืนยันจะซื้อเล่า?” เทียนเหอซานจ้องเหวินผิงด้วยแววตาคมกริบ ราวกับเหยี่ยวที่เล็งเหยื่อ ทำให้เหล่าผู้คนในศาลาจื่อฉีและเทียนเสียนรู้สึกหวาดหวั่น
คำพูดนั้นทำให้ผู้คนภายนอกศาลาจื่อฉีไม่กล้าส่งเสียง ทุกคนค่อย ๆ ถอยห่างออกไปด้วยความระมัดระวัง
ไม่มีใครอยากเสี่ยงต่อการปะทะ เพราะหากเกิดการสู้รบขึ้น พลังปราณเพียงเล็กน้อยจากยอดฝีมือระดับเหนือสถาปนาตนก็เพียงพอจะบดขยี้พวกเขาให้เป็นเถ้าธุลี
ในขณะที่ผู้คนต่างคาดหวังว่าเหวินผิงจะยอมอ่อนข้อให้ เหวินผิงกลับยิ้มบาง ๆ และกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้น ท่านผู้อาวุโสโปรดมาต่อคิวแต่เช้าครั้งหน้า”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
เพียงการขายแผนภาพวังวนและเกลียววังวนสังหารเพื่อหลีกเลี่ยงการล่วงเกินยอดฝีมือระดับเหนือสถาปนาตน ควรเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายดายมิใช่หรือ? ทำไมเหวินผิงถึงยึดมั่นในกฎเกณฑ์ขนาดนี้?
แต่แน่นอนว่าความคิดเหล่านี้ไม่มีใครกล้าพูดออกมา ระดับเหนือสถาปนาตนคือสิ่งที่พวกเขาไม่อาจล่วงเกินได้ และสำนักอมตะก็เช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้นผู้เฒ่าผู้นี้อยากจะเห็นว่า เจ้าจะเชิญผู้เฒ่าผู้นี้ออกไปอย่างไร” เทียนเหอซานหัวเราะเย็น ก่อนที่ประตูชีพจรวิญญาณสีทองห้าบานจะเปิดขึ้นพร้อมกัน
ปัง!
ปัง!
ปัง!
ปัง!
ปัง!
เสียงประตูชีพจรวิญญาณดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปราณวิญญาณมหาศาลและกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวพลันแผ่กระจายออกมาราวกับคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้าใส่ผู้คนโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือระดับเจิ้นเยว่ ระดับปฐพีไร้ขอบเขต หรือแม้แต่ระดับสวรรค์ไร้ขอบเขต ล้วนแต่ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวจนเหงื่อไหลซึมทั่วแผ่นหลัง
ในเวลานั้น ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองราวกับหิ่งห้อยในความมืดที่แสนเล็กจ้อยและไร้ความหมาย เบื้องหน้าคือความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดที่พวกเขาไม่อาจเผชิญหน้าได้
มีเพียงเหวินผิงเท่านั้นที่ยังคงรักษาใบหน้าเรียบนิ่ง และในสายตาของเขายังแฝงไว้ซึ่งความผิดหวังเล็กน้อย
เสียงของเทียนเหอซานดังมาอย่างต่อเนื่อง "มิทำให้ผู้เฒ่าผู้นี้ผิดหวังเลย ในฐานะเจ้าสำนักของสำนักอมตะ เจ้าคือผู้เดียวที่สามารถเผชิญหน้ากับกลิ่นอายของผู้เฒ่าผู้นี้โดยมิสะท้านสะเทือนเลยสักนิด"
"ขอบคุณ" เหวินผิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จากนั้นเขาก็เพิ่มชื่อของเทียนเหอซานเข้าไปในรายชื่อบัญชีดำของศาลาจื่อฉีโดยตรง พร้อมกับความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เหตุใดเขาจึงผิดหวัง? เพราะความรู้สึกที่เทียนเหอซานมอบให้เขานั้น หาได้เหนือกว่าเงามืดในด่านที่สามของถ้ำมังกรเขียวไม่ อีกทั้งยังมิได้สร้างแรงกดดันใดให้เขาเลย
เมื่อจัดการเพิ่มชื่อเทียนเหอซานเข้าสู่บัญชีดำแล้ว เหวินผิงก็หันไปกำชับเทียนเสียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า "ครั้งหน้าหากเจอลูกค้าที่หยิ่งยโสพาลพาโลเช่นนี้ ให้กล่าวตักเตือนด้วยวาจาก่อนสักครั้ง หากยังไม่สำเร็จจึงใช้หินส่งเสียงแจ้งข้า"
"เข้าใจแล้ว..." เทียนเสียนเพิ่งตอบรับคำ ก็เห็นว่าเทียนเหอซานในศาลาจื่อฉีหายไปในทันที เหมือนถูกพัดหายไปในอากาศเสียอย่างนั้น
เมื่อมองไปยังประตู ก็เห็นเทียนเหอซานปรากฏตัวอยู่บนถนนหน้าศาลาจื่อฉีแล้ว แถมยังคงท่าทางนั่งสง่างามอย่างเดิม
สิ่งนี้...ไม่เพียงแค่เทียนเสียนที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ผู้คนทั้งในและนอกศาลาจื่อฉีก็อยู่ในอาการเดียวกัน
แน่นอน แม้แต่ตัวเทียนเหอซานเองก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
"หืม?"
เทียนเหอซานมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัย ก่อนจะหันสายตามองเหวินผิงในศาลาจื่อฉีด้วยความเคลือบแคลง เมื่อยืนตั้งหลักได้แล้ว เขาก็ก้าวเดินตรงกลับไปยังศาลาจื่อฉีทันที
แม้เขาจะยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำให้เขาถูกย้ายออกมาได้อย่างไร แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ เขามิได้สัมผัสพลังหยวนหยางเลยแม้แต่น้อย เช่นนี้จึงพิสูจน์ได้ว่า ไม่มีผู้ฝีมือระดับสวรรค์ไร้ขอบเขตขึ้นไปลงมือ น่าจะใช้วิธีพิเศษบางอย่างแทน
"วิธีเล็กน้อยเช่นนี้ ต่อหน้าพลังอันแท้จริงก็ไร้ประโยชน์"
ณ เวลานั้น เทียนเหอซานตั้งใจที่จะใช้เจ้าสำนักแห่งสำนักอมตะบีบบังคับให้ผู้ฝีมือเบื้องหลังศาลาจื่อฉีเผยตัว หากยังไม่สำเร็จ ก็จะใช้คนทั้งหมดในศาลาจื่อฉีเป็นตัวประกันแทน
เพียงไม่กี่ก้าว เทียนเหอซานก็หายไปจากที่เดิม และทันใดนั้นเสียงดังสนั่นก็ดังขึ้น
ปัง!
เทียนเหอซานชนเข้ากับประตูของศาลาจื่อฉีอย่างจัง ถูกกำแพงพลังโปร่งใสขวางเอาไว้ ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้
การชนครั้งนี้ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว
ขณะที่เทียนเสียนและคนอื่น ๆ ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหวินผิงก็เดินมาที่ประตูศาลาจื่อฉีอย่างช้า ๆ เขามองเทียนเหอซานที่อยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าวผ่านกำแพงพลังโปร่งใส ก่อนจะกล่าวว่า
"ท่านผู้อาวุโส โปรดอย่าบีบให้ข้าต้องเพิ่มท่านเข้าสู่บัญชีดำตลอดกาล ท่านจากไปตอนนี้ อีกไม่กี่วันมารอต่อแถวก่อน แผนภาพวังวน เกลียววังวนสังหาร ข้ายังคงขายให้ท่านได้"
"ช่างรนหาที่ตาย!"
คำพูดของเหวินผิงทำให้เทียนเหอซานเดือดดาล เขาซึ่งถูกจัดอยู่ในอันดับท้าย ๆ ของรายนามสวรรค์นั้นไม่พอใจอยู่แล้ว การถูกเด็กหนุ่มเช่นเหวินผิงดูแคลนยิ่งทำให้เขารับไม่ได้
ทันทีที่คำพูดจบลง เทียนเหอซานก็ปล่อยหมัดใส่เหวินผิง แม้จะเป็นหมัดธรรมดา แต่ก็เพียงพอที่จะบดขยี้ยอดฝีมือระดับสวรรค์ไร้ขอบเขตขั้นกลางได้
อย่างไรก็ตาม หมัดนี้กลับชนเข้ากับกำแพงพลังโปร่งใสเต็ม ๆ โดยไม่สามารถทำลายหรือเจาะทะลุแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นดังนั้น เทียนเหอซานก็โกรธจัด
ปัง!
เขาปลดปล่อยชีพจรวิญญาณทั้งห้าออกมา มือข้างหนึ่งกดลงบนกำแพงพลังโปร่งใส ก่อนจะถอยหลังออกไปพร้อมกับปล่อยพลังปราณสีทองอันกว้างใหญ่จากฝ่ามือ พลังดังกล่าวระเบิดออกและกระจายตัวไปทั่ว ทำให้ผู้คนจำนวนมากแตกตื่นด้วยความตกใจ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ามือนั้นยังไม่สามารถทำลายล้างได้ เมื่อกระแสพลังปราณสีทองมากมายที่ล้อมรอบศาลาจื่อฉีจางหายไป ศาลาจื่อฉียังคงตั้งตระหง่านอยู่อย่างมั่นคงโดยไม่เสียหายแม้แต่น้อย แต่บ้านเรือนข้างเคียงของศาลาจื่อฉีกลับพังทลายกลายเป็นซากปรักหักพังในชั่วพริบตาเพราะการโจมตีของเทียนเหอซาน
เมื่อเจ้าเมืองเหยียนไหลแห่งเมืองเสินเฟยรับรู้ถึงความเคลื่อนไหว ก็รีบพาลูกน้องมุ่งหน้าสู่ศาลาจื่อฉีทันที แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลของเทียนเหอซานแต่ไกล เขาก็ถึงกับชะงักทันที เพราะเขาไม่สามารถจัดการกับยอดฝีมือระดับสวรรค์ไร้ขอบเขตขึ้นไปได้ และไม่กล้าทำเช่นนั้น!
ยอดฝีมือระดับสวรรค์ไร้ขอบเขตของหอปกฟ้าคงไม่มีเหตุผลที่จะมาถึงเมืองเสินเฟยโดยเจาะจง หากมาจริง ๆ ก็คงไม่ใช่เพียงแค่เล่นงานศาลาจื่อฉีเพียงที่เดียว ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว นั่นคือบรรพบุรุษอาวุโสของราชวงศ์มาถึงศาลาจื่อฉี และเกิดความขัดแย้งขึ้น
เรื่องของบรรพบุรุษอาวุโสราชวงศ์ เจ้าเมืองเล็ก ๆ อย่างเขาจะกล้าเข้าไปยุ่งหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาไม่มีผู้หนุนหลังอีกแล้ว เป็นเพียงคนโดดเดี่ยวเท่านั้น
ทว่าภาพที่ปรากฏต่อสายตากลับทำให้เหยียนไหลถึงกับตะลึง เพราะศาลาจื่อฉียังคงตั้งอยู่ในซากปรักหักพังโดยไม่มีรอยเสียหายใด ๆ
ไม่เพียงแค่เหยียนไหลที่ตกตะลึง แม้แต่ผู้คนในศาลาจื่อฉีก็ต่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อครู่พวกเขาเกือบคิดว่าตนต้องตายเสียแล้ว
"เป็นไปได้อย่างไร?"
เทียนเหอซานจ้องมองศาลาจื่อฉีที่ไร้รอยขีดข่วนเบื้องหน้าเป็นครั้งแรก เขาเริ่มสงสัยในพลังของตัวเอง จะถึงกับพังบ้านหลังหนึ่งยังไม่ได้เลยหรือ?
ในเวลานั้นเอง เหวินผิงที่ไม่พอใจหยิบกระบี่ชิงเหลียนออกมา
"ช่างไร้สาระนัก เจ้าเป็นพวกที่ข้าให้หน้ากลับไม่เอาหน้าเสียจริง"
จริงอยู่ ช่วงนี้เขาทุ่มเทความคิดมากมายเพื่อสร้างความขัดแย้งระหว่างหอปกฟ้าและอาณาจักรโยว่ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยุ่งจนไม่สามารถมารุกรานสำนักอมตะได้ และมอบโอกาสให้สำนักอมตะได้เติบโตอย่างสงบสุข ทว่า การปรากฏตัวของเทียนเหอซานทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบโต้ ใครเล่าจะปล่อยให้ศัตรูมาตีถึงหน้าประตูบ้านโดยไม่ทำอะไรเลย?
"สงบสุขหรือ? หากไม่ต้องการก็ไม่ต้องการ! วันนี้ข้าจะมาดูว่าเจ้าผู้ติดอันดับที่สิบในรายนามสวรรค์จะแข็งแกร่งสักเพียงใด!"
ปัง!
เหวินผิงปลดปล่อยชีพจรวิญญาณทั้งห้าออกมา พร้อมเริ่มโจมตีด้วยกระบวนท่าที่หนึ่ง กระบี่ชิงเหลียนแหวกทาง พุ่งตรงไปยังเทียนเหอซานที่ยืนอยู่หน้าประตู
เทียนเหอซานไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเด็กหนุ่มระดับสวรรค์ไร้ขอบเขตขั้นกลางเบื้องหน้า จะกล้าโจมตีเขาโดยตรง นี่เหมือนมดตัวหนึ่งที่กล้าต่อสู้กับยักษ์ใหญ่
"น่าสนใจ" เทียนเหอซานเอื้อมมือออกไปจับกระบี่ชิงเหลียน เพราะเขารับรู้ได้ถึงความพิเศษของกระบี่เล่มนี้
"กระบี่เล่มนี้ ข้าจะเอา!"
แต่ทันทีที่เขาเอื้อมมือออกไป กระบี่ชิงเหลียนที่เปี่ยมไปด้วยเจตจำนงกระบี่ชิงเหลียนหกกลีบก็ทะลุผ่านฝ่ามือของเขาอย่างง่ายดาย และพุ่งตรงไปยังหน้าอกของเขา เมื่อเห็นดังนั้น เทียนเหอซานถึงกับตกใจ รีบปลดปล่อยเกราะพลังปราณและถอยกลับทันที
"ช่างคมกริบเสียจริง!"
เทียนเหอซานเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ เขาไม่เคยพบกระบี่ที่คมถึงเพียงนี้ กระบี่ที่สามารถทะลุผ่านฝ่ามือของเขาได้ในชั่วพริบตา
หลังจากถูกบีบถอยไปกว่าสิบลี้ และระยะห่างจากเมืองเสินเฟยเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เทียนเหอซานปลดปล่อยชีพจรวิญญาณทั้งห้าออกมา ระเบิดพลังปราณสีทองผสมหยวนหยางอย่างรุนแรงจนเหวินผิงกระเด็นไปไกลพันจั้ง
อย่างไรก็ตาม ด้วยการปกป้องของบัวเขียวปรโลก แม้เหวินผิงจะกระเด็นไปไกล แต่ร่างกายและวิญญาณของเขากลับไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงนัก
เมื่อเห็นดังนั้น เทียนเหอซานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
"ร่างวิญญาณของเจ้า เจตจำนงกระบี่ และกระบี่ยาวล้วนเป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยได้ยินหรือพบเห็นมาก่อน ดูเหมือนว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเจ้าคงไม่ธรรมดา หากวันนี้เจ้ายอมให้ผู้อยู่เบื้องหลังของเจ้าออกมาพบผู้เฒ่าผู้นี้ ผู้เฒ่าผู้นี้อาจจะยอมละเว้นชีวิตเจ้า!"
.
(จบตอน)
.
.
.
ฝากนิยายแปลเรื่องใหม่ด้วยครับ
…
ผู้ฝึกตนลึกลับคนหนึ่งได้ใช้ประโยชน์จากพลังอันอุดมสมบูรณ์เพื่อสร้างสมบัติสุดล้ำค่าให้กับตนเอง เวลาผ่านไปกว่า 14 พันล้านปี การหลอมรวมสมบัติของเขายังคงดำเนินต่อไป และเขาตระหนักว่ายังเหลือเวลาอีกหลายพันล้านปีที่จะต้องรอ เขาจึงตัดสินใจหาความบันเทิงให้ตัวเอง ด้วยการปล่อยระบบนับไม่ถ้วนออกไปทั่วจักรวาล และเฝ้ามองดูเหล่าสรรพสัตว์และสิ่งมีชีวิตในจักรวาลเกิดใหม่แห่งนี้จะจัดการอย่างไรกับพวกมัน