บทที่ 7 หญิงสาวที่ถูกปกคลุมด้วยโมเสก
บทที่ 7 หญิงสาวที่ถูกปกคลุมด้วยโมเสก
เหล่าเย่หันไปมอง เห็นคนๆ หนึ่งกำลังเดินขึ้นมาบนเวทีอย่างช้าๆ ถึงแม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่แววตาก็มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่สังเกตได้ยาก
คนที่ไม่แสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้าอย่างเหล่าเย่ มีแววตาเปลี่ยนไปแบบนี้ ก็เพียงพอที่จะอธิบายหลายๆ อย่างได้แล้ว
แต่ฉีชูเหิงกับหวังเทียนเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ เขาจึงไม่สามารถบอกใบ้หลินเซินได้
“คุณชายสี่ ไม่ว่าใช่มั้ยที่เราเชิญสหายผู้นี้มาร่วมสังเกตการณ์?” ฉีชูเหิงจ้องหลินเซินแล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ชูเหิง นายพูดแบบนี้ไม่ถูกต้องนะ การที่เธอมาได้ ก็ถือว่าให้เกียรติฐานเสวียนเหนี่ยวของเรามากแล้ว ทำให้การประชุมคัดเลือกของเรามีเกียรติยิ่งขึ้น ยิ่งกว่านั้น เธอยังเป็นสหายเก่าของคุณชายสี่ คุณชายสี่ต้องขอบคุณเรา จะตำหนิกันได้ยังไง” หวังเทียนเอ๋อร์พูดพลางหันไปมองหลินเซินด้วยรอยยิ้มแปลกๆ “ใช่ไหม คุณชายสี่?”
“ทำไมเธอถึงมาที่นี่ได้? ฉีชูเหิงกับหวังเทียนเอ๋อร์เข้ากันได้ขนาดนี้เชียวเหรอ? หรือว่าตระกูลฉีกับหวังร่วมมือกันแล้ว? ถ้าเป็นแบบนั้น คงไม่ทันที่คุณชายสามกับคุณชายสี่จะกลับมา” เหล่าเย่ร้อนรุ่มเหมือนไฟสุมทรวง แต่ไม่กล้าขยับตัว เพราะจะทำให้ฉีชูเหิงกับหวังเทียนเอ๋อร์ที่จ้องหลินเซินเขม็ง ยิ่งสงสัยมากขึ้น พวกเขาพยายามจะมองหาอะไรบางอย่างจากดวงตาที่โผล่ออกมาจากหน้ากากของหลินเซิน
ทุกคนจ้องมองหลินเซิน หลินเซินมองคนที่เดินขึ้นมาบนเวที แววตาไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย
“มนุษย์ก็มีประกายวิวัฒนาการก้าวข้ามขีดจำกัดได้ด้วยเหรอ?” สิ่งที่ทำให้หลินเซินประหลาดใจไม่ใช่ตัวตนของคนๆ นั้น เพราะเขาไม่รู้ว่าคนๆ นั้นคือใคร แค่พอเดาได้ว่าเป็นผู้หญิง
เพราะร่างกายของผู้หญิงคนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยโมเสก หลินเซินมองไม่เห็นหน้าตาของเธอ
ตั้งแต่เจอประกายมา หลินเซินเคยเห็นประกายแค่บนไข่กลายพันธุ์เท่านั้น แม้แต่สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ฟักออกมาแล้วก็ไม่มีประกาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเห็นประกายบนตัวมนุษย์
จริงๆ แล้วหลินเซินไม่เคยคิดเลยว่ามนุษย์จะมีประกาย การค้นพบครั้งนี้ทำให้เขาดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น
ดีใจที่เจอวิธีได้ประกายเพิ่มขึ้นมาอีกวิธีหนึ่ง ส่วนที่ตกใจก็เพราะไม่รู้ว่าคนๆ นี้คือใคร ไม่มีเบาะแสอะไรเลย
ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่รู้จัก ถึงรู้จัก ผู้หญิงคนนั้นก็ถูกปกคลุมด้วยโมเสกทั้งตัว เขาก็จำไม่ได้อยู่ดีว่าเป็นใคร
“ศิษย์พี่หลิน ไม่เจอกันนาน สบายดีไหมคะ?” ผู้หญิงคนนั้นเดินมาถึงหน้าหลินเซิน พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
คำพูดนี้ทำให้หลินเซินนึกอะไรขึ้นได้ เขารู้ว่าหลินเซียงตง พี่สี่ของเขา ตอนเด็กๆ ถูกพี่รองส่งไปฝึกฝนที่ฐานไฮ่เจี่ยวที่อยู่ไกลออกไป ใช้เวลาอยู่ที่นั่นเกือบสิบปีก่อนจะกลับมา
ทุกครั้งที่หลินเซียงตงเมา เขาจะเล่าว่าฐานไฮ่เจี่ยวก้าวหน้าขนาดไหน ผู้วิวัฒนาการที่นั่นเก่งกาจขนาดไหน ถ้าฐานไฮ่เจี่ยวเป็นเมืองใหญ่ ฐานเสวียนเหนี่ยวก็เป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆ
แน่นอน หลินเซียงตงไม่ได้หมายความว่าฐานเสวียนเหนี่ยวไม่ดี แต่เขาปูทางเพื่ออวดตัวเองต่างหาก
หลินเซียงตงชอบเล่าว่าตัวเองมีพรสวรรค์ขนาดไหน บุคคลสำคัญในฐานไฮ่เจี่ยวแย่งกันจะฝึกฝนเขา มีผู้ฝึกสอนจากค่ายฝึกมากมายรอเขา เขาเลือกแล้วเลือกอีก กว่าจะยอมเลือกผู้ฝึกสอนที่ได้ชื่อว่าเป็นที่หนึ่งในฐานไฮ่เจี่ยวมาฝึกฝนให้
ผู้ฝึกสอนที่ไม่ได้รับเลือกต่างก็เสียใจที่ความสามารถไม่พอ พลาดโอกาสที่จะฝึกฝนอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง
ยังบอกอีกว่าตอนที่เขาฝึกฝน นักเรียนรุ่นเดียวกันเก่งๆ ทั้งนั้น แต่พอเจอเขาก็กลัวหัวหด เหมือนหนูเจอแมว เรียกเขาว่า "ศิษย์พี่หลิน" กันทุกคน
ไม่ใช่อะไรหรอก ก็เพราะหลินเซียงตงเก่งกว่าคนรุ่นเดียวกัน เป็นที่หนึ่งในรุ่นเดียวกัน
หลินเซินฟังบ่อยๆ ก็รู้สึกว่าหลินเซียงตงโม้เกินจริงไปหน่อย ถ้าพี่สี่เก่งอย่างที่พูดจริงๆ เก่งกว่าคนรุ่นเดียวกันในฐานไฮ่เจี่ยว พอมาถึงฐานเล็กๆ อย่างฐานเสวียนเหนี่ยวยังมีคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่สู้เขาได้อีก
แต่เพราะหลินเซียงตงพูดเก่ง ถึงจะโม้ เขาก็เล่าเรื่องได้อย่างน่าตื่นเต้นน่าติดตาม แถมหลินเซินก็ฟังบ่อยๆ เลยจำชื่อคนและชื่อสถานที่ในเรื่องได้หลายอย่าง
แน่นอน คนพวกนั้นมีไว้เพื่อปูทางความเก่งกาจของหลินเซียงตง เหมือนตัวประกอบในฉาก
แต่เพื่อให้ตัวเองดูเก่งขึ้น หลินเซียงตงก็เลยแต่งเรื่องให้ตัวประกอบเหล่านั้นดูน่าทึ่งมากขึ้น
เช่น อัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบร้อยปี คุณชายจากตระกูลใหญ่ สาวสวยดาวโรงเรียน อะไรทำนองนี้ ฟังบ่อยๆ ก็รู้สึกซ้ำซากจำเจ
หลินเซียงตงเล่าถึงเพื่อนผู้หญิงหลายคน ส่วนใหญ่จะหลงใหลในเสน่ห์และบุคลิกของเขา หลงรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น ร้องห่มร้องไห้อยากเป็นแฟนเขา จนเขารำคาญ
แต่ในคำบอกเล่าของหลินเซียงตง มีเพื่อนผู้หญิงคนเดียวที่ไม่ได้อยากคบกับเขา เป็นน้องสาวต่างรุ่นที่ชื่นชมพรสวรรค์และความสามารถในการต่อสู้ของเขา
หลินเซินจำได้ว่าน้องสาวต่างรุ่นคนนั้นชื่อไป๋เสินเฟย อายุน้อยกว่าหลินเซียงตงหนึ่งรุ่น แต่เป็นเด็กสาวอัจฉริยะที่วิวัฒนาการได้ตอนอายุสิบสองปี เป็นพวกบ้าการต่อสู้ ไม่ฝึกฝนก็ต่อสู้
ตอนนั้นหลินเซียงตงอายุมากกว่าไป๋เสินเฟยแค่หนึ่งปี ก่อนที่จะวิวัฒนาการ เขาก็เอาชนะไป๋เสินเฟยที่วิวัฒนาการแล้วได้ ตั้งแต่นั้นมาไป๋เสินเฟยก็ยกให้เขาเป็นไอดอล มีปัญหาเรื่องการฝึกฝนก็จะมาขอคำปรึกษาจากเขา
การวิวัฒนาการเป็นขั้นตอนสำคัญในการเปลี่ยนจากมนุษย์เป็นผู้วิวัฒนาการ เหมือนกับที่หนอนต้องเข้าดักแด้เพื่อกลายเป็นผีเสื้อ ผู้ฝึกตนก็ต้องผ่านขั้นตอนนี้เช่นกัน ถึงจะสามารถวิวัฒนาการร่างกายจากเนื้อหนังให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้
หลินเซินนึกย้อนไป ตัวประกอบที่หลินเซียงตงเล่าถึง ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น มีแค่ไป๋เสินเฟยที่เป็นน้องสาวต่างรุ่น
“ผู้หญิงคนนี้เรียกฉันว่าศิษย์พี่หลิน หรือว่าเธอคือไป๋เสินเฟย?” หลินเซินคิดว่ามีความเป็นไปได้ แต่ก็ไม่แน่ใจ เพราะหลินเซียงตงคงไม่ได้มีน้องสาวต่างรุ่นแค่ไป๋เสินเฟยคนเดียว ถ้าจำผิด ผลที่ตามมาหลินเซินรับไม่ได้แน่
ทุกคนจ้องมองมา หลินเซินมองผู้หญิงที่ถูกปกคลุมด้วยโมเสก ทำท่าทางหยิ่งๆ แล้วพูดว่า “เธอมาฐานเสวียนเหนี่ยว ทำไมฉันถึงเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่อง?”
พูดจบ หลินเซินก็มองไปยังฉีชูเหิงกับหวังเทียนเอ๋อร์ ทุกคนดูออกว่าเขาดูไม่พอใจมาก
“วันที่ฉันมาถึงฐานเสวียนเหนี่ยว ฉันไปที่ตระกูลหลินเพื่อเยี่ยมศิษย์พี่หลินแล้ว แต่คนในบ้านบอกว่าศิษย์พี่หลินกำลังศึกษาเรื่องสำคัญอยู่ ไม่สะดวกพบแขก ฉันก็เลยไปที่ตระกูลฉีกับหวังแทนค่ะ” ไป๋เสินเฟยพูด
หลินเซินมองไม่เห็นสีหน้าและแววตาของไป๋เสินเฟย แต่ฟังจากน้ำเสียงที่ดูเรียบๆ ไม่ได้โกรธที่เขาพูดจาไม่ดี แถมยังอธิบายอย่างใจเย็น เหมือนจะสนิทกับหลินเซียงตงจริงๆ
“ฟังดูเหมือนว่า เธอไม่ได้มาฐานเสวียนเหนี่ยวเพื่อมาหาฉันโดยเฉพาะ?” หลินเซินตัดสินใจลองเชิงต่อไป
ถ้าเป็นเพื่อนธรรมดาๆ เขาพูดจาตำหนิแบบนี้ ถึงอีกฝ่ายจะไม่โกรธ น้ำเสียงก็ต้องแปลกไปบ้าง ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มีน้ำเสียงที่ผิดปกติไปเลย ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเธอคือไป๋เสินเฟย
“คุณชายสี่หลิน พูดแบบนี้ไม่ถูกต้องนะ เธอเดินทางมาไกลถึงฐานเสวียนเหนี่ยวของเรา ไปหานายเป็นคนแรก แต่นายกลับไม่ต้อนรับ ไม่ออกมาเจอหน้า ตอนนี้เจอตัวแล้ว ก็ยังใส่หน้ากากอยู่ดี แบบนี้เรียกว่าเจอแล้วหรือยังไม่เจอ? หรือนายกลัวคนอื่นเห็นหน้า กลัวคนรู้จักเห็น? หรือว่าหน้าตาใต้หน้ากากนั่นไม่ใช่หน้าของคุณชายสี่หลิน?” หวังเทียนเอ๋อร์พูดเหมือนจะบอกว่าหลินเซินเป็นตัวปลอม