บทที่ 45 ข่าวหนึ่งดี หนึ่งร้าย
หลิวเป่าจง, เหลยปินลี่ และหลี่หลี่ สามคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของกวนอวิ๋นตั้งแต่เด็กจนโต พวกเขาคิดว่าตนรู้จักกวนอวิ๋นดีที่สุด แต่ก็ไม่เคยเห็นกวนอวิ๋นเสียอาการเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาใบหน้าของกวนอวิ๋นก็ดูหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด
หลิวเป่าจงและเพื่อนอีกสองคนมองหน้ากันอย่างงุนงง กวนอวิ๋นเป็นอะไรไป?
โชคดีที่หลังจากหายใจเพียงไม่กี่ครั้ง กวนอวิ๋นก็กลับมาสงบอีกครั้ง เขาก้าวออกไปข้างนอกพลางพูดว่า “เป่าจง พวกนายเข้าไปในบ้านรอฉันก่อน ฉันจะกลับมาเดี๋ยวนี้”
“พี่กวน ไม่เป็นอะไรแน่นะ?” หลี่หลี่ซึ่งปกติชอบพูดเล่นหัว แต่เมื่อเจอเรื่องจริงจัง เขากลับจริงจังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาก้าวไปขวางกวนอวิ๋นไว้และถามด้วยความเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไร” กวนอวิ๋นโบกมือพลางพยายามฝืนยิ้มก่อนจะก้าวยาวไปยังหน้าประตู เขาสูดหายใจลึกอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูบานใหญ่
แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์สาดส่องลงบนประตูสีดำของบ้านกวนอวิ๋นจนดูเจิดจ้า ดอกไม้ป่าที่บานสะพรั่งตรงหน้าประตูต่างอาบแสงสีทองอย่างงดงาม ช่วยขับให้ประตูไม้ดำดูโดดเด่นขึ้นไปอีก ท่ามกลางหมู่ดอกไม้นานาสีสัน มีเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่พร้อมถือกระเป๋าสีดำขาวในมือ ชุดยาวสีเหลืองนวลดูเข้ากับรูปร่าง เธอมีผมยาวตรงประบ่า ใบหน้ารูปไข่คมชัด คิ้วโก่งเหมือนเส้นโค้งไกล แววตาคล้ายแสงจันทร์ที่แฝงความเศร้าซึ้งและความคาดหวัง อารมณ์ที่คล้ายกับบทกวีบทหนึ่งซึ่งกวนอวิ๋นชื่นชอบที่สุด...
"มีความโศกที่ซ่อนเร้น บางครั้งความเงียบก็แทนคำพูดนับล้าน"
ความงดงามและอ่อนโยนของเธอคือความรักแรกที่ตราตรึงในหัวใจของกวนอวิ๋น… เซี่ยไหล
เซี่ยไหล… ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในใจของกวนอวิ๋นอย่างไม่มีเหตุผล ในช่วงเวลาที่เขาทุ่มเทมานานกว่าหนึ่งปี ในที่สุดก็เริ่มต้นสร้างฐานะในอำเภอข่งได้ และช่วงชีวิตกำลังจะก้าวเข้าสู่จุดพลิกผันสำคัญ เซี่ยไหลก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันตรงหน้าเขา ทำให้เขารู้สึกสับสนจนไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไร
“เซี่ยไหล…” กวนอวิ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เธอมาทำไม?”
เซี่ยไหลไม่ได้ตอบคำถามของกวนอวิ๋น เพียงแต่มองเขาด้วยสายตาโศกเศร้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเบา ๆ ว่า “กวนอวิ๋น เธอ
ดูผอมลง ผิวก็ดำขึ้น แต่เธอดูแข็งแรงขึ้นนะ”
ยังคงเป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคยที่สุด เสียงที่ทำให้เขาใจเต้นระรัว ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนั้นกลับมาในใจเขาอีกครั้ง เซี่ยไหลยังคงงดงามเช่นเดียวกับวันที่จากกันในปักกิ่ง เพียงแต่เพิ่มเติมด้วยความสง่างามที่เวลามอบให้
ใช่ เซี่ยไหลยังคงสง่างามและมั่นใจ เธอคือหญิงสาวที่สะกดทุกสายตาเมื่อครั้งยังเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และตอนนี้เมื่อเธอยืนอยู่บนดินแดนอำเภอข่ง เธอก็ยิ่งเปล่งประกายดั่งดาวรุ่งในยามเช้า
“ฉันคิดถึงเธอ… ฉันรู้ว่าเธอโกรธฉัน แต่ไม่เป็นไร ยิ่งรักมากเท่าไหร่ ยิ่งโกรธมากเท่านั้น ฉันเข้าใจ” เซี่ยไหลกล่าวพลางมองแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ดวงตาเธอเปี่ยมด้วยความเศร้าซึ้งราวกับผิวน้ำในฤดูใบไม้ร่วง “ความลำบากของเธอ ฉันมองเห็น ความเศร้าใจของฉัน เธอไม่รู้”
กวนอวิ๋นนิ่งเงียบ เขาคิดถึงภาพที่เคยวาดไว้ในการเจอกันครั้งแรกหลังจากแยกจากกันมานาน แต่เขาไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นในเวลาเช่นนี้ ท้องฟ้าตะวันตกเต็มไปด้วยสีสันยามเย็นที่งดงามที่สุด แต่ความงามนี้กลับใกล้เคียงความเสื่อมสลาย
ในใจเขา ความโกรธที่เคยคิดจะถามเซี่ยไหลโดยตรง ความคิดที่จะเอาคำตอบหรือเอาคืนล้วนจางหายไปในพริบตา ความรักลึกซึ้งที่เซี่ยไหลมอบให้เขา ยิ่งตอกย้ำให้เขาเข้าใจว่า เหตุผลที่เซี่ยเต๋อจางกีดกันเขากับเธอนั้นคืออะไร เพราะรักของเซี่ยไหลนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
ในความเป็นจริง... เซี่ยเต๋อจางก็ไม่อาจกักขังเขาไว้ในอำเภอข่งได้ตลอดชีวิต แต่ช่วงเวลาสำคัญในชีวิตมักมีเพียงสามถึงห้าปีเท่านั้น หากอีกสามถึงห้าปีข้างหน้าเขายังไม่สามารถหลุดพ้นจากอำเภอข่งไปได้ ทุกสิ่งจะกลายเป็นเพียงอดีต เซี่ยไหลอาจแต่งงานไปแล้ว ส่วนตัวเขาก็เริ่มต้นช้ากว่าคนรุ่นเดียวกัน การจะตามให้ทันคงไม่ใช่เพียงแค่ความพยายามที่จะชดเชยได้ ในเส้นทางราชการ บางครั้งการพลาดเพียงก้าวเดียวอาจทำให้ล้าหลังไปตลอดชีวิต และเขาอาจไม่มีวันไปถึงความสูงที่เขาใฝ่ฝัน
“ไปเดินเล่นกับฉันหน่อย” เซี่ยไหลชี้ไปยังทุ่งนาอาบแสงอาทิตย์ยามเย็น “ฉันอยากไปดูทุ่งนา ฤดูใบไม้ร่วงในทุ่งนามันสวยงามจนใจหาย”
กวนอวิ๋นปิดประตูโดยไม่พูดอะไร และเดินออกไปยังทุ่งนานอกโรงเรียน ทุ่งนาแห่งนี้เชื่อมต่อกับประตูเหล็กในสวนหลังบ้าน ผ่านประตูนั้นไป จะพบกับไร่ข้าวโพดกว้างใหญ่ไพศาล
กวนอวิ๋นเดินนำหน้า ส่วนเซี่ยไหลเดินตามอยู่ข้างหลังเขาในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกล ในอดีต เธอมักจะควงแขนเขาและอยู่ใกล้ชิดเขาเสมอ แต่ตอนนี้ เธอกลับดูเหินห่างจนน่าเศร้า
ในทุ่งนา ทุกสิ่งเงียบสงบ ไร้ผู้คน เป็นเวลาที่ทุกบ้านกำลังล้อมวงกินข้าว กวนอวิ๋นยืนอยู่บนเนินดินเล็ก ๆ มองไปรอบ ๆ ภาพโรงเรียนอาชีวศึกษาด้านหลังลอยควันหุงต้มขึ้นฟ้า หมู่บ้านในระยะไกลก็เช่นกัน มันเป็นภาพของยามเย็นที่สงบสุขและเรียบง่ายในชนบท
เซี่ยไหลยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างหลังกวนอวิ๋น ไม่พูดอะไรเลย เธอเงียบสงบเหมือนต้นไม้ ผมยาวที่ปล่อยสยายของเธอพัดพลิ้วไปตามสายลม สัมผัสใบหน้าของกวนอวิ๋นโดยบังเอิญ กวนอวิ๋นยกมือจับปลายผมของเซี่ยไหลไว้ ความรู้สึกเศร้าท่วมท้นขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ เขาดึงเซี่ยไหลเข้ามากอดไว้แน่น พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากออกมา “เซี่ยไหล…”
เพียงการกอดครั้งเดียว ความห่างเหินที่เกิดขึ้นระหว่างเซี่ยไหลและกวนอวิ๋นเพราะกาลเวลาและระยะทางก็สลายหายไป เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น “ขอโทษนะกวนอวิ๋น ขอโทษจริง ๆ ฉันไม่ได้ไม่รักเธอ แต่ฉันกลัวจะทำร้ายเธอ ฉันแทบจะไม่ไหวแล้ว ฉันไม่รู้ว่าฉันผ่านพ้นปีนี้มาได้ยังไง และฉันก็ไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้าเธออย่างไร…”
เซี่ยไหลพูดไปสะอื้นไป น้ำตาของเธอเปียกชุ่มไปทั้งบ่าและอกของกวนอวิ๋น มันเปียกทั้งใจของเขา ความแข็งกร้าวในใจของกวนอวิ๋นหลอมละลายลง เขารักเซี่ยไหล นั่นไม่ใช่ความผิดของเขา เซี่ยไหลรักเขา นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ เซี่ยเต๋อจางรักและปกป้องลูกสาว จากมุมมองของพ่อที่ไม่อยากให้ลูกสาวแต่งงานกับคนฐานะต่ำต้อย นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเช่นกัน ความผิดอยู่ที่การที่เซี่ยเต๋อจางใช้ทุกวิถีทางเพื่อขังเขาไว้ในอำเภอข่ง หวังจะตัดขาดความรักระหว่างเขาและเซี่ยไหล และก็จริง เขาสามารถกดดันเขาไว้ได้หนึ่งปีเต็ม
แต่ภูเขาสูงไม่อาจกั้นลำน้ำตลอดไป สายน้ำจะไหลไปเสมอ สักวันหนึ่งเขาจะคืนความยุติธรรมให้เซี่ยเต๋อจาง และยิ้มเยาะให้แก่เขา
“ฉันไม่โกรธเธอ เซี่ยไหล ฉันไม่โกรธจริง ๆ” กวนอวิ๋นรับรู้ถึงไออุ่นและกลิ่นหอมจากร่างกายของเซี่ยไหลในอ้อมกอด อารมณ์ที่ปั่นป่วนในใจก็สงบลง เขาเอื้อมมือสัมผัสเส้นผมนุ่มลื่นของเธอ รู้สึกถึงความคุ้นเคยที่เคยชอบที่สุดกลับมาอีกครั้ง “เธอมาที่อำเภอข่งได้ยังไง?”
เซี่ยไหลซบหน้าลงบนอกของเขา เพลิดเพลินกับสัมผัสแห่งรักที่ขาดหายไปนาน ใบหน้าของเธอเปล่งประกายด้วยสีแดงระเรื่อ เธอโอบเอวกวนอวิ๋นไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย “ให้ฉันกอดเธออีกหน่อย อย่าพูดอะไรนะ”
กวนอวิ๋นไม่ได้พูดอะไรอีก แสงอาทิตย์ยามเย็นทอดเงาของเขาและเซี่ยไหลให้ยาวออกไปราวกับยืดยาวไปจนสุดปลายฟ้าดิน
ไม่รู้ว่านานแค่ไหน เซี่ยไหลเงยหน้าขึ้นจ้องตากวนอวิ๋นด้วยแววตาที่แน่วแน่อย่างที่สุด พลางพูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ว่าจะเจอความลำบากหรืออุปสรรคแค่ไหน ฉันจะอยู่กับเธอแน่นอน!”
เธอยิ้มและพูดต่อ “ฉันมีข่าวดีและข่าวร้ายจะบอกเธอ ข่าวดีคือ ฉันถูกย้ายไปทำงานที่เมืองเยี่ยน ซึ่งใกล้เธอมากขึ้นแล้ว ส่วนข่าวร้ายก็คือ…”
(จบบท)###