บทที่ 22 แปดทิศ
เมืองแปดทิศ
เมืองหนึ่งซึ่งทอดยาวไปสี่ทิศ แปดทางประจวบเชื่อม
“ได้ยินมาว่าจากที่นี่จนถึงเมืองหลวงฉางอันฝั่งอุดร เมืองริมทะเลลั่วรื่อทางบูรพา ปราการลั่วเซี่ยทางทักษิณ และเมืองแห่งวิถีพุทธทางประจิม ล้วนมีระยะทางเท่ากันพอดี” เฟิงจั่วจวินขับรถม้าเข้าสู่ตัวเมืองพลางเอ่ย
“เพราะเหตุนี้ เมืองนี้จึงได้ชื่อว่า ‘แปดทิศ’ เป็นดั่งที่พักแห่งนักพเนจรทั่วหล้า”
“เราจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังต้าเจ๋อจากที่นี่หรือ?” ซูไป๋อีเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ ข้าคาดว่าศิษย์พี่มาเพื่อพบใครบางคนต่างหาก” เฟิงจั่วจวินหันกลับมามอง “ศิษย์พี่ ท่านจะไปที่ใดต่อ?”
ทันใดนั้น ซูไป๋อีร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ “ผีเสื้อหรือ?”
แล้วเขาก็ยื่นนิ้วไปตรงหน้า ผีเสื้อสีขาวบริสุทธิ์ตัวหนึ่งโฉบมาหยุดบนปลายนิ้วเขา “ผีเสื้อแห่งเมืองแปดทิศนี้ช่างกล้าหาญ ไม่กลัวผู้คนเลยหรือ?”
เฟิงจั่วจวินชำเลืองมองและพึมพำ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
“หมายความว่าอย่างไร?” ซูไป๋อีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“นี่คือผีเสื้อวายุ” เฟิงจั่วจวินยิ้ม “ยกมือนิดเดียว แล้วปล่อยผีเสื้อออกไป”
ซูไป๋อีทำตามที่เฟิงจั่วจวินบอก เขาค่อยๆ เหยียดนิ้วปล่อยผีเสื้อลอยไป มันขยับปีกสองสามครั้งก่อนจะบินออกไปข้างหน้า แล้วหยุดอยู่ไม่ไกลจากรถม้า เฟิงจั่วจวินสะบัดบังเหียนเบาๆ ให้รถม้าเคลื่อนตามผีเสื้อ
“ผีเสื้อตัวนี้...กำลังนำทางพวกเราหรือ?” ซูไป๋อีมองด้วยความทึ่ง
“ใช่ นี่เป็นผลงานของกลุ่มผีเสื้อวายุ พวกเขาสร้างมันด้วยวิธีลึกลับ ไม่ต่างอะไรกับเวทย์มนตร์” เฟิงจั่วจวินอธิบาย
“ผีเสื้อวายุ?” ซูไป๋อีขมวดคิ้วแน่น
“เซียนปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า แม้การขยับปีกเพียงน้อยนิดของผีเสื้ออาจส่งผลให้เกิดเหตุการณ์สำคัญได้ ในยุทธภพก็เช่นกัน ข้อมูลที่ดูเหมือนไม่สำคัญอาจนำไปสู่มหันตภัยร้ายแรง ด้วยเหตุนี้ สำนักศึกษาจึงตั้งชื่อฝ่ายข่าวกรองว่าผีเสื้อวายุ ดูเหมือนว่าในเมืองแปดทิศจะมีสาขาของพวกเขา และศิษย์พี่มาที่นี่เพื่อพบพวกเขา” เฟิงจั่วจวินกล่าว
“ข้าต้องการข่าวคราวล่าสุดเกี่ยวกับสำนักเมฆาสางสวรรค์” หนานกงซีเอ๋อร์เอ่ย
ผีเสื้อพาพวกเขาไปยังถนนสายหนึ่งที่คึกคัก รถม้าไม่สามารถผ่านได้ ทั้งสี่จึงลงจากรถและเดินตามผีเสื้อข้ามซอยหลายสาย เมืองแปดทิศสมชื่อว่า “หนึ่งเมืองสี่ทิศ แปดทางประจวบ” เพราะมีนักพเนจรจากทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกัน มีแม้แต่คนเผ่าต่างถิ่นที่มีนัยน์ตาสีฟ้าลึกล้ำ
ซูไป๋อีซึ่งเติบโตในหมู่บ้านดอกท้อเล็กๆ รู้สึกประหลาดใจและเฝ้าจับจ้องตาของคนผู้นั้นพลางรำพึง “ดวงตาของเขาช่างคล้ายกับอัญมณีนัก”
คนต่างถิ่นผิวขาวซีดจนเห็นเส้นเลือดใต้ผิว เขาสวมเสื้อคลุมสีเทาขาวและยืนอยู่กลางแดด จู่ๆ เขาหันมามองราวกับสังเกตเห็นสายตาของซูไป๋อี
“เจ้าจะจ้องอะไรนักหนา? สีตาของเจ้าก็เปลี่ยนได้เช่นกัน” เฟิงจั่วจวินดึงหัวซูไป๋อีให้หันกลับและเร่งตามผีเสื้อที่บินเร็วขึ้น
“อย่าจ้องคนสุ่มสี่สุ่มห้า เมืองแปดทิศนี้เต็มไปด้วยสายลับของกองกำลังต่างๆ” หนานกงซีเอ๋อร์เตือน
ในที่สุด ผีเสื้อก็หยุดที่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง จากนั้นมันตกลงพื้นราวกับหมดแรง ซูไป๋อีโน้มตัวไปหยิบมันขึ้น แต่ทันใดนั้นผีเสื้อก็ลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา
“ช่างเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่แปลกประหลาด” ซูไป๋อีรำพึง
“ศิษย์พี่ของข้าชำนาญในการสร้างของพวกนี้ ผีเสื้อนำทางนี้ถือเป็นของเล่นพื้นๆ” หนานกงซีเอ๋อร์พูดเรียบๆ แล้วเคาะประตูตามจังหวะเฉพาะ สามครั้งหนัก สองครั้งเบา และอีกหนึ่งครั้งหนัก ประตูก็เปิดออกเอง
“หากเคาะผิดจะเป็นอย่างไร?” ซูไป๋อีถาม
“มือเจ้าจะขาด” เฟิงจั่วจวินยักคิ้ว
“แล้วถ้าลืมเล่า?” ซูไป๋อีประหลาดใจ “นั่นคงจะน่าสลดนัก”
“มือจะไม่ขาด แต่ทิวทัศน์ที่เห็นหลังกำแพงจะต่างออกไป” เสียงหนึ่งดังขึ้น
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผมยาวสยาย มือไขว้หลัง กล่าวอย่างสุภาพ “ลั่วฉินยินดีต้อนรับทุกท่าน ที่นี่ห่างจากเมืองเฉียนถังไม่น้อย น้อยนักจะมีผู้มาจากสำนักศึกษา นับเป็นเกียรติที่ได้พบท่านทั้งหลาย”
“คารวะศิษย์พี่ลั่ว” หนานกงซีเอ๋อร์ประสานหมัดคำนับ “ข้าเป็นศิษย์น้อง นามหนานกงซีเอ๋อร์”
“คารวะศิษย์พี่ลั่ว” อีกสามคนรีบทำความเคารพตาม
“ข่าวที่ศิษย์น้องหนานกงต้องการ เราได้มาแล้ว เชิญเข้ามาด้านใน” ลั่วฉินหันหลังนำทางทุกคนเข้าไปในบ้าน
“ลั่วฉินผู้นี้ก็เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาด้วยหรือ?” ซูไป๋อีถามเสียงเบา
“ข้าจะตั้งชื่อใหม่ให้เจ้า ชื่อว่าซูขี้สงสัยดีหรือไม่? เหตุใดเจ้าจึงมีคำถามมากมายเช่นนี้?” เฟิงจั่วจวินเอ่ยด้วยความรำคาญ
“การถามหาใช่เรื่องน่าอับอาย” ซูไป๋อีเอ่ยด้วยความมั่นใจ
“เฮ้อ ข้าคงต้องบอกเจ้าจริงๆ” เฟิงจั่วจวินถอนหายใจ “ถ้าไม่มีศิษย์พี่เช่นข้า เจ้าคงลำบากนัก”
เซี่ยอวี่หลิงซึ่งเดินตามหลังส่ายศีรษะพลางพึมพำเบาๆ “มีคนกล่าวไว้ว่า ไม่ละอายถามก็ยังรู้สึกภูมิใจ นี่โดนตำหนิไปแล้วกลับยังไม่รู้ตัว”
ซูไป๋อีเหมือนจะได้ยินคำพูดของเซี่ยอวี่หลิง เขาหันกลับมาขมวดคิ้วพลางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ส่วนเฟิงจั่วจวินที่ไม่ได้ยินคำพูดนั้น ยังคงอธิบายให้ซูไป๋อีฟังอย่างตั้งใจ
“ในสำนักศึกษานั้น ใช้เวลาสิบปีต่อหนึ่งรุ่น แต่เพียงศิษย์ทั้งหมด ยกเว้นเซียนปราชญ์ผู้สอน ไม่แบ่งแยกอาจารย์หรือศิษย์ ทุกคนล้วนเป็นศิษย์เหมือนกัน แม้แต่ละรุ่นจะมีศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องเล็ก แต่ระหว่างรุ่นก็ยังเรียกกันว่า ศิษย์พี่ศิษย์น้อง”
“เมื่อศิษย์สำเร็จการศึกษา จะมีสามทางให้เลือก ทางแรกคือลงจากเขา กลับไปยังสำนักของตน ตัดขาดจากสำนักศึกษาในทางปฏิบัติ แต่ยังคงใช้ชื่อว่าเป็นศิษย์สำนักศึกษา ทางที่สองคืออยู่ในสำนักตลอดชีวิต อุทิศตนให้แก่สำนัก บางคนไปยังศาลาหลิ่วอินเพื่อสอนศิษย์รุ่นถัดไป บางคนร่วมกับผีเสื้อวายุ เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายข่าวกรอง กระจายตัวไปทั่วหล้าเพื่อเก็บข้อมูล เช่น ศิษย์พี่ลั่วฉินผู้นี้ บางคนไปยังทุ่งนา ปลูกผัก เช่นที่เจ้าคงเห็นก่อนเข้ามาในสำนัก และบางคนไปยังหอห้าสัมผัส เพื่อเลี้ยงไก่และหมู มีสถานที่มากมายให้เลือก”
“แล้วทางเลือกที่สามล่ะ?” ซูไป๋อีถามด้วยความอยากรู้
“ทางเลือกที่สามคือการเป็นวีรชน!” เฟิงจั่วจวินเอ่ยด้วยความภาคภูมิ
“การเป็นวีรชนต้องเข้าร่วมกับกองกำลังใด?” ซูไป๋อีถามอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้าผิดแล้ว” เฟิงจั่วจวินชูนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่ง พร้อมแสดงสีหน้าเสียดาย
“การเป็นวีรชน สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ถูกบังคับให้ทำสิ่งใด ทำตามใจ ใช้ชีวิตเสรี เพียงแค่ตลอดชีวิตต้องยึดมั่นกับสิ่งหนึ่ง”
“สิ่งนั้นคืออะไร?”
“เราเรียกขานสิ่งนั้นว่า บัญญัติวีรชน” เฟิงจั่วจวินยิ้มมุมปากพลางเอ่ย