บทที่ 21 จี๋เล่อ
“ไป๋จี๋เล่อ เมื่ออายุได้สิบหกปีก็ขึ้นเป็นเจ้าหอฝันพิสุทธิ์แห่งสำนักสวรรค์ซ่างหลิน ซึ่งเป็นเจ้าหอที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ในศึกกับลัทธิมรรคาสวรรค์ เขาลำพังผู้เดียวได้สังหารผู้อาวุโสเก้าคนของลัทธิ ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่สร้างผลงานอันโดดเด่นที่สุดในยุทธภพฝ่ายธรรมะ และเป็นชายที่ลัทธิมรรคาสวรรค์หวั่นเกรงที่สุด”
เฟิงจั่วจวินกล่าวพลางสะบัดแส้เทียมม้า และสนทนากับซูไป๋อีที่นั่งข้างๆ “หากอาจารย์ของเจ้าโดนจับส่งคืนสำนักสวรรค์ซ่างหลิน คนที่ต้องระวังที่สุดก็คือชายผู้นี้ บิดาข้าบอกข้าว่า ไป๋จี๋เล่อคือชายที่น่ากลัวที่สุดในยุทธภพ”
“แต่อาจารย์ข้ากลับบอกแต่เรื่อง คู่บุปผาแห่งซ่างหลิน ผู้เลื่องลือในยุทธภพ ไม่เคยเอ่ยถึงไป๋จี๋เล่อเลย” ซูไป๋อีจดคำพูดของเฟิงจั่วจวินลงในบันทึกไปพลางถามไปพลาง
“นั่นเพราะเขามีอีกชื่อหนึ่ง ไป๋จี๋เล่อ สมญานามของเขาคือ ‘หัตถ์สวรรค์’” เฟิงจั่วจวินกล่าวเสียงขรึม
“หัตถ์สวรรค์หรือ?” ซูไป๋อีขมวดคิ้ว
“เพราะไป๋จี๋เล่อเป็นผู้ลงมือปฏิบัติภารกิจของสำนักสวรรค์ซ่างหลินมาตลอด โดยเฉพาะในช่วงหลายปีมานี้ ที่เจ้าสำนักหนิงชิงเฉิงเก็บตัวเงียบ เจ้าหอหมอกพิรุณเซี่ยคั่นฮวาสาบสูญ และเจ้าหอลมวสันต์เฮอเหลียนซีเยว่ผู้เย็นชา ไป๋จี๋เล่อจึงกลายเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดของสำนักสวรรค์ซ่างหลินอย่างแท้จริง” เฟิงจั่วจวินกล่าวพลางสะบัดแส้ดังเพี้ยะ
“หรือจะเรียกว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพก็คงไม่ผิด”
“เก่งขนาดนั้นเชียวหรือ? แม้อาจารย์ข้าก็เอาชนะเขาไม่ได้?” ซูไป๋อีถาม
“ในยุทธภพ ไม่เคยได้ยินข่าวว่าพวกเขาสองคนปะทะกัน ดังนั้นใครเก่งกว่ากัน ข้าก็ไม่อาจบอกได้ แต่ที่แน่ๆ เรื่องราวของคู่บุปผาแห่งซ่างหลินมักเกี่ยวข้องกับเรื่องรักใคร่ ส่วนข่าวลือของหัตถ์สวรรค์ล้วนแต่เปื้อนเลือดยากเปรียบเทียบ อย่างไรก็ตาม ไป๋จี๋เล่อไม่เคยมีข่าวลือว่าเขาเคยแพ้ผู้ใด ส่วนอาจารย์เจ้า กลับพ่ายมาหลายครานัก” เฟิงจั่วจวินหัวเราะ
“พ่ายให้ใครบ้าง?” ซูไป๋อีถามต่อ
“เจ้าสำนักใหญ่แห่งสวรรค์ซ่างหลินซูหาน และรองเจ้าสำนักซูเตี้ยนโม่ ทั้งคู่เคยต่อสู้กับเขา เขาแพ้จึงถูกบังคับให้เข้าร่วมสำนักสวรรค์ซ่างหลิน แต่ก็มีข่าวลือว่าที่แพ้ เพราะรองเจ้าสำนักซูเตี้ยนโม่งดงามเกินไป เซี่ยคั่นฮวาจึงจงใจแพ้ด้วยอยากเป็นเขยสำนัก ทำให้ตระกูลเซี่ยขับไล่เขาออกไป” เฟิงจั่วจวินพูดถึงเรื่องฉาวของตระกูลเซี่ยด้วยน้ำเสียงคึกคัก
ทันใดบรรยากาศในรถม้าเริ่มแปรเปลี่ยน กลิ่นอายสังหารแผ่ซ่านออกมา เฟิงจั่วจวินกลับไม่หวั่นไหว ยังยิ้มเยาะ แต่แล้วเมื่อกลิ่นอายสังหารที่รุนแรงกว่ากระจายออกมา เขาก็รีบเงียบลงทันที
ซูไป๋อีสังเกตความเปลี่ยนแปลงในรถม้า ก้มหน้าจดบันทึกต่อ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถามว่า “จากที่เจ้าพูดมา อาจารย์ข้าก็คงมีแต่เสียเปรียบกระมัง?”
“ก็ไม่แน่ ข้าว่าอาจารย์เจ้าคงถูกกักขังไว้ จนกว่าจะคืนสมบัติล้ำค่าของสำนักสวรรค์ซ่างหลิน ด้วยตำแหน่งของเขา คงไม่ถึงกับถูกประหาร หากไป๋จี๋เล่อคิดจะลงมือจริง เฮอเหลียนซีเยว่ต้องลุกขึ้นต่อต้านแน่ หากถึงตอนนั้น คู่บุปผาแห่งซ่างหลินร่วมมือกัน คงได้ชมเรื่องสนุก” เฟิงจั่วจวินยักคิ้ว
“แต่เฮอเหลียนซีเยว่เป็นคนจับตัวอาจารย์ข้ากับมือ เขาจะช่วยอาจารย์ข้าหรือ?” ซูไป๋อีถามอย่างฉงนใจ
“นั่นมันคนละเรื่องกัน อาจารย์เจ้าขโมยสมบัติล้ำค่าของสำนักสวรรค์ซ่างหลินไปถึงสิบปี เฮอเหลียนซีเยว่ในฐานะเจ้าหอลมวสันต์ จับตัวกลับมาถือเป็นหน้าที่ แต่หากสำนักสวรรค์ซ่างหลินคิดจะฆ่าอาจารย์เจ้า เฮอเหลียนซีเยว่ในฐานะสหายสนิทของอาจารย์เจ้า ย่อมต้องเป็นคนแรกที่ชักกระบี่ออกมา เรื่องนี้ข้ามั่นใจ” เฟิงจั่วจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เพราะเหตุใด?” ซูไป๋อีถามต่อ
“ข้าเคยอ่านตำราเล่มหนึ่ง ชื่อว่า ทำนองสวรรค์แห่งดรุณวัย กล่าวถึงเรื่องราวระหว่างเซี่ยคั่นฮวากับเฮอเหลียนซีเยว่ สองคนนี้เคยสร้างตำนานบ้าคลั่งไปทั่วยุทธภพ ชื่อเสียงลือเลื่อง สู้เคียงบ่าเคียงไหล่ผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน พวกเขายอมพลีชีพเพื่อกันและกันได้ ข้านับถือทั้งสองคนมาก และข้าชอบตำราเล่มนี้ ข้าเชื่อในสายสัมพันธ์ของพวกเขา” เฟิงจั่วจวินกล่าวจริงจัง
“เจ้าไม่ใช่ว่าจดไว้เพื่อเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับยุทธภพหรอกหรือ? เขียนดีๆ ล่ะ อย่าลืมใส่บทให้ข้าด้วย”
“ท่านอยากให้เขียนอย่างไรหรือ?” ซูไป๋อีเอ่ยถาม
“เฟิงจั่วจวิน! บุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นนี้ของสำนักศึกษา และในอนาคตคือบุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า! เจ้าคือศิษย์น้องของข้า เจ้าเป็นอันดับสอง ส่วนเซี่ยอวี่หลิง เขาเป็นอันดับสาม!” เฟิงจั่วจวินประกาศด้วยเสียงดังกังวาน
“เหตุใดศิษย์พี่เฟิงถึงต้องเน้นคำว่าบุรุษด้วย?” ซูไป๋อีถามด้วยความสงสัย
“เพราะคนที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นนี้ของสำนักศึกษา เป็นสตรี” เฟิงจั่วจวินยกนิ้วโป้งขึ้น ก่อนจะชี้ไปด้านหลัง “ศิษย์พี่หญิงของข้า”
“เลิกประจบเถิด เทียมรถม้าให้ดีๆ” หนานกงซีเอ๋อร์ซึ่งนั่งอยู่ในรถม้าหัวเราะและกล่าวดุเล่น
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ซูไป๋อีหัวเราะแห้งๆ “แต่สำนักสวรรค์ซ่างหลิน มิได้เรียกกันว่า สามหอสี่ตำหนักหรือ? เมื่อครู่เจ้ากล่าวถึงแต่สามหอ แล้วสี่ตำหนักเล่า?”
“สี่ตำหนักนั้นลึกลับกว่าสามหอ หากมิใช่เพราะข้าเป็นรองเจ้าสำนักเมฆาสางสวรรค์ เจ้าย่อมไม่ได้ยินมากมายถึงเพียงนี้ สี่ตำหนักประกอบด้วย ตำหนักอาญา ตำหนักพันกลศาสตรา ตำหนักดารา และตำหนักชิงหมิง ตำหนักอาญาดูแลบทลงโทษในสำนักสวรรค์ซ่างหลิน เป็นสถานที่ที่ศิษย์ในสำนักหวาดกลัวที่สุด ผู้คนส่วนมากที่อยู่ในนั้นล้วนเป็นบรรพชิต เย็นชาและเคร่งครัดยิ่ง สำนักพันกลศาสตราทำหน้าที่สร้างอาวุธประหลาดหลากชนิด และรวบรวมข่าวกรอง ศิษย์ในสำนักนี้ล้วนสวมหน้ากาก แม้แต่สหายร่วมสำนักที่อยู่ด้วยกันสิบปี ก็ไม่เคยเห็นหน้ากัน สำนักดารามีข่าวลือว่าศึกษาเรื่องยาอายุวัฒนะ อีกกระแสบอกว่าเป็นการดูดาว ตำหนักนี้ลี้ลับยิ่งนัก ส่วนตำหนักชิงหมิงนั้น…”
“ตำหนักชิงหมิงเล่า?” ซูไป๋อีถามเมื่อเห็นเฟิงจั่วจวินหยุดพูดกะทันหัน
เฟิงจั่วจวินกล่าวด้วยเสียงเยียบเย็น “คือเหล่านักฆ่า”
สำนักสวรรค์ซ่างหลิน ตำหนักชิงหมิง
“ได้ยินว่าเซี่ยคั่นฮวากลับมาแล้ว วันนี้ข้าอยากพบหน้าสหายเก่าคนนี้สักหน่อย” ชายชราร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง นั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้อง ผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ยกถ้วยชาขึ้นเป่าเบาๆ รอบกายเขาคือชายชุดดำอีกแปดคน พกกระบี่พร้อมแผ่จิตสังหารกระจายไปทั่ว
“แต่เจ้าหอไป๋กลับส่งสารมาเป็นการเฉพาะ ให้ศิษย์ทั้งสี่ตำหนักอยู่ประจำที่ ไม่ให้ก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ทราบว่าคิดทำสิ่งใดกันแน่?”
ไป๋จี๋เล่อเดินเข้ามาจากหน้าประตู “หากท่านเจ้าตำหนักอิ๋งอยากพบหน้า ย่อมมีโอกาสเสมอ และยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้เขากลับมาด้วยตัวเอง”
“หมายความว่าอย่างไร?” ชายชราวางถ้วยชาลง
“ของที่เป็นของสำนักสวรรค์ซ่างหลิน เขาไม่ได้เอากลับมา” ไป๋จี๋เล่อกล่าวเรียบๆ
“โอ้? แล้วเฮอเหลียนซีเยว่กล่าวว่าอย่างไร?” ชายชราหรี่ตา “เจ้าหอลมวสันต์ทำงานเช่นนี้รึ?”
“เฮอเหลียนซีเยว่กล่าวว่า เขาได้รับคำสั่งเพียงให้พาตัวเซี่ยคั่นฮวากลับมา ไม่มีคำสั่งอื่น” ไป๋จี๋เล่อกล่าว
“แล้วเจ้าหอไป๋มาเยือนตำหนักชิงหมิงครานี้เพื่อ…” ชายชราแสยะยิ้มเย็น
“ภารกิจนำของสิ่งนั้นกลับสู่สำนักสวรรค์ ขอมอบให้ตำหนักชิงหมิงรับผิดชอบ” ไป๋จี๋เล่อกล่าวพลางหมุนตัวเดินออกจากประตู
“เด็กเหลือขอนี่มันช่างยโสนัก” ชายชราสบถอย่างเกรี้ยวกราด
“จับตัวศิษย์ของเซี่ยคั่นฮวามา เขาชื่อซูไป๋อี” ไป๋จี๋เล่อกล่าวพลางก้าวออกจากประตูตำหนักชิงหมิง
ชายชรานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะจนถ้วยชาแตกกระจาย “ในชีวิตข้า เกลียดที่สุดก็คนแซ่ซู!”