บทที่ 10 เกว็น สเตซี่
บทที่ 10 เกว็น สเตซี่
บนดาดฟ้าชั้นบนสุดของตึกเรียนโรงเรียนมัธยมกลางเมือง ไป๋เย่เกาะราวเหล็กแน่น สายตามองไปที่สุดขอบฟ้ากว้างไกล
เขากำลังครุ่นคิดเรื่องการลาออกจากโรงเรียน ชีวิตของเขาก็เหมือนเด็กกำพร้าทั่วไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่เรียนก็ไม่เห็นจะแย่สักหน่อย
จริงอยู่ ไป๋เย่ไม่มีพ่อแม่ หรือถ้าจะพูดให้ตรงไปกว่านั้น การมีพ่อแม่แท้ ๆ สำหรับเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่มีอยู่จริงเลย
แต่แล้วเขาก็ละทิ้งความคิดนั้นไป ก่อนความทรงจำจะกลับคืนมา แผนการของเขาคือตั้งใจเรียน อยู่ห่างไกลจากอันตราย และใช้ชีวิตอย่างคนร่ำรวย
ขณะนี้ไป๋เย่ปวดหัวเล็กน้อย เพราะกำลังคิดหาวิธีหาเงินในระยะเวลาอันสั้น
เงินที่เก็บหอมรอมริบก็ร่อยหรอลงไปมากในไม่กี่วันที่ผ่านมา
ส่วนเรื่องเรียน ถึงแม้จะไม่ลาออก แต่การขาดเรียนก็ทำได้อยู่แล้ว เลื่อนไปวันเว้นวันก็ได้
“น่ารำคาญชะมัด! ถ้าสุดท้ายไปไม่รอดจริง ๆ ก็ไปเป็นเด็กของสาวรวยสักคนก็ได้ อย่างน้อยก็คงไม่ต้องลงเอยด้วยการปล้นธนาคารเหมือนเมื่อก่อนแล้วกัน” ไป๋เย่บ่นเบา ๆ
ความทรงจำของเขากลับมาช้าไปหน่อย ถ้าเร็วกว่านี้ ด้วยความทรงจำในชาติก่อน ถึงแม้จะไม่ได้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ก็คงไม่ต้องมาเดือดร้อนเพราะเงินไม่กี่หมื่นดอลลาร์เช่นนี้
ยืนอยู่บนดาดฟ้า สายตาของเขามองไปไกลสุดลูกหูลูกตา สัมผัสกับลมอ่อน ๆ ไป๋เย่สูดอากาศเย็น ๆ เข้าปอดลึก ๆ มองตึกระฟ้าเรียงรายในนิวยอร์กเบื้องหน้า
ขณะที่มองลงไปด้านล่าง วิธีฝึกฝนแบบใหม่ก็ผุดขึ้นมาในหัว
นั่นคือ ถ้าทำให้ร่างกายตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อชีวิต การฝึกฝนจิตใจจะได้ผลมากขึ้นหรือไม่
ทันทีที่ความคิดแล่นวาบ ไป๋เย่ก็รีบถอดเสื้อโค้ทออก ประสานมือทั้งสองข้างเกาะแน่นราวเหล็กตรงหน้า เพียงชั่วพริบตา โลกก็พลิกคว่ำ เขายืนหงายหลังบนราวเหล็กมันวาวได้อย่างไม่สะท้านสะเทือน
แม้แขนทั้งสองข้างจะทรงตัวได้อย่างมั่นคง แต่บัดนี้เขากลับหัวอยู่บนตึกสูงหลายสิบเมตร หากพลาดเพียงนิดเดียวอาจตกตึกตายหรือพิการไปตลอดชีวิต
ในสถานการณ์เช่นนี้ ลมหายใจของไป๋เย่เริ่มหอบ อะดรีนาลินหลั่งไหล ทำให้ประสาทสัมผัสของเขาราวกับคมขึ้นกว่าที่เคย
นี่คือเคล็ดลับล้ำลึกในศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิม นั่นคือ "ขโมยสวรรค์" !
พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือการผลักดันร่างกายเข้าสู่ภาวะอันตรายอย่างต่อเนื่อง ใช้แรงกดดันจากสภาพแวดล้อมเพื่อให้จิตใจจดจ่อ เร่งการไหลเวียนของโลหิต สร้างสถานการณ์จำลองสุดขีด
เช่นเดียวกับการเตรียมตัวสอบปลายภาค ความสามารถในการเรียนรู้จะพุ่งสูงขึ้น ภายใต้แรงกดดันที่จะสอบตก ก็สามารถอ่านหนังสือสอบผ่านได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
หลังจากทรงตัวได้มั่นคง ไป๋เย่ทุ่มน้ำหนักตัวลงบนมือขวา ยกแขนอีกข้างที่วางอยู่ด้านหลังขึ้น และเริ่มดันพื้นด้วยมือเดียว
พลังจิต 1.4 ที่เขามี ทำให้ทุกท่าทางของเขามีความมั่นคงราวกับเครื่องจักรกล
และภายใต้แรงกดดันแห่งความตาย ทุกการเคลื่อนไหวของร่างกายทำให้ประสาทของเขาตึงเครียด ความคิดที่จะถอยหลังผุดขึ้นมาในสมองอย่างต่อเนื่อง แต่ไป๋เย่ก็กดความคิดเหล่านั้นลงอย่างแน่วแน่
สายตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าจอแสดงค่าสถานะ ที่ช่อง "ความแข็งแกร่ง" และสัญลักษณ์บวก (+)
หากเสียการทรงตัว เขาจะใช้แต้มค่าสถานะที่ยังไม่ได้ใช้ทั้งหมดไปเพิ่มความแข็งแกร่งทันที
เมื่อนั้นความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.9 รวมกับพลังภายในที่คอยคุ้มครอง ถึงจะไม่ได้รอดโดยไม่บาดเจ็บ แต่ก็อย่างน้อยก็รอดชีวิตจากการตกตึกได้
แม้ไป๋เย่จะไม่ใช่คนประเภทที่เอาชีวิตไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็น แต่เมื่อวางแผนไว้หลายชั้นแล้ว การถอยหลังก็เท่ากับความขี้ขลาด
132……133……134……
ด้วยสมาธิที่แน่วแน่ขนาดนี้ แม้ไม่ได้แบกน้ำหนัก การดันพื้นมือเดียวแต่ละครั้งก็เปลืองแรงกว่าปกติ เพื่อรักษาสมดุลร่างกาย
ไม่นานก็ถึง 160 ครั้ง แรงของไป๋เย่เริ่มหมดลง แขนสั่นเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ เขาจึงปล่อยพลังภายในจากดานเทียนเพื่อรักษาสมดุล
“กรี๊ด……”
ขณะที่ไป๋เย่ตั้งใจดันพื้น ประตูเหล็กก็เปิดออกพร้อมเสียงกรีดร้องดังลั่น
หญิงสาวผมบลอนด์ผลักประตูเข้ามา แล้วเห็นชายหนุ่มรูปร่างสะดุดตา ผิวขาวเนียน แต่ลำคอล่างแดงก่ำเล็กน้อย ขณะนี้เขาดันพื้นมือเดียวอยู่ที่ขอบราวเหล็กอย่างไม่ทุกข์ร้อน พร้อมจ้องมองไปที่เธอ
“เพื่อน…ตอนนี้เวลาเรียนแล้วนะ คุณไม่คิดว่ามาผิดที่หรือไง” ไป๋เย่พลิกตัวนั่งลงบนราวเหล็กก่อนที่หญิงสาวจะเปิดประตูเสร็จ แล้วมองหญิงสาวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ผมสีทองเป็นลอนสวย ใบหน้าสวยคม รูปร่างงดงาม ด้วยเสน่ห์ที่เห็น ไป๋เย่ให้คะแนนเธอ 1.3 เต็ม 2
“คำนี้น่าจะเป็นคำที่ฉันควรถามคุณมากกว่านะ ไป๋เย่ ที่คุณขึ้นมาพักในช่วงเวลาที่เรียนพละหรือเปล่า?” หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย ขณะกำลังมองไปที่ไป๋เย่จากหัวจรดเท้า
“คุณรู้จักผมเหรอ?” ไป๋เย่ถามด้วยความสงสัย
“แน่นอน ฉันจำคุณได้ งานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ปีที่แล้ว นักเรียนทั้งโรงเรียนคงจำคุณได้กันหมดล่ะ ฉันแค่จำได้ดีกว่าคนอื่น เลยจำชื่อคุณได้เท่านั้นเอง”
หญิงสาวผมทองค่อย ๆ เดินเข้ามา สายตาชื่นชมใบหน้าของไป๋เย่พลาง พร้อมกับยื่นมือขวาออกมา กล่าวอย่างอ่อนหวานว่า “ขอแนะนำตัวค่ะ ฉันชื่อเกว็น สเตซี่”
ไป๋เย่ไม่คิดเลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นเกว็น สเตซี่ ด้วยความสุภาพ เขาจึงยื่นมือออกไป เตรียมจะสัมผัสฝ่ามือของเธอเบา ๆ
ทว่าฝ่ามือกลับถูกอีกฝ่ายกระชับแน่น แล้วดึงร่างเขาลงมาจากราวเหล็กอย่างนุ่มนวล
“คุณไม่คิดว่านั่งอยู่บนนั้นมันอันตรายเหรอคะ?” เกว็นยิ้มบาง ๆ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มหวานละมุน
ไป๋เย่เหลือบมองหญิงสาวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ครุ่นคิดอยู่ในใจว่าหญิงสาวที่เข้าหาคนง่ายขนาดนี้ จะมาหวังอะไรจากเขาหรือเปล่า
และในจังหวะที่มือทั้งคู่สัมผัสกัน ความรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อยที่ฝามือทำให้ไป๋เย่เห็นข้อมูลของอีกฝ่ายปรากฏขึ้น
ชื่อ: เกว็น สเตซี่
พละกำลัง: 1.0
ความคล่องแคล่ว: 1.0
ความแข็งแกร่ง: 0.9
จิตใจ: 1.1
เสน่ห์: 1.3
……
หลังจากยืนยันแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เกว็นเวอร์ชั่นสาวแมงมุม แต่เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีพิษภัย ไป๋เย่จึงตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากไปกว่านี้
เขาจึงรีบหยิบเสื้อโค้ทที่พาดอยู่บนราวเหล็กมาสวม ล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อ แล้วเดินตรงไปยังประตู กล่าวลาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “ถ้าคุณอยากพักผ่อนตรงนี้ก็เชิญเลยนะครับ ลาก่อน”
เกว็นอยากจะเรียกไป๋เย่ไว้สักคำ แต่ก่อนที่เธอจะได้เอ่ยวาจา ร่างของไป๋เย่ก็พลันหายวับไปจากดาดฟ้าอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงความรู้สึกเสียดายและความช่วยไม่ได้ที่ทำให้เกว็นถอนใจเบา ๆ
หลังจากลงจากดาดฟ้า ไป๋เย่ก็ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงในหน้าต่างสถานะ ถึงแม้การฝึกฝนจะถูกขัดจังหวะเพราะเกว็นปรากฏตัว แต่ผลลัพธ์ก็ยังน่าพอใจ วิธีการ ‘ขโมยสวรรค์’ ยังคงได้ผลดีอยู่มาก
ในหน้าต่างสถานะ ค่าพละกำลังและความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ค่าจิตใจกลับลดลงไปถึงครึ่งหนึ่ง
“ต้องพยายามต่อไป อีกไม่กี่วันเพื่อนร่วมห้องก็จะได้เป็นสไปเดอร์แมนแล้ว พอถึงตอนที่เขาแปลงร่าง ฉันจะลองดูค่าสถานะสามมิติของเขา ก็คงจะพอเดาได้คร่าว ๆ ว่าการเพิ่มขึ้นแต่ละค่าจะมีผลอย่างไรบ้าง” ไป๋เย่คิดพลางยิ้มบาง ๆ
จากนั้นไป๋เย่ก็ไปหาห้องว่าง ๆ ที่ไม่มีคนอยู่ใกล้ ๆ แล้วเริ่มฝึกฝนคัมภีร์ม่านหมอกสีครามอย่างช้า ๆ เผลอแป๊บเดียวก็ดึกมากแล้ว เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว