ตอนที่ 66 ฉันเป็นแค่ตัวประกอบที่ยืนดู . . .!
ตอนที่ 66 ฉันเป็นแค่ตัวประกอบที่ยืนดู . . .!
“ป้าแครอล! แม่คะ! นั่นป้าแครอล!”
เด็กหญิงผิวดำตัวเล็ก ๆ วิ่งออกมาต้อนรับด้วยความดีใจเมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามหลังบ้านในลุยเซียนา ก่อนที่เธอจะพุ่งเข้าไปกอดแครอลแน่นพลางร้องเรียกด้วยเสียงใส “หนูรู้ว่าป้ายังไม่ตาย! ทุกคนบอกว่าป้าตายแล้ว!”
คำพูดของเด็กน้อยคนนี้ยิ่งทำให้สีหน้าของแครอลยิ่งเต็มไปด้วยความสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนคนที่แครอลตามหา มาเรีย แรมโบ ในตอนนี้เธอก็ดูงุนงงไม่แพ้กัน ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการพบปะที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก หลังจากการพูดคุยกันอย่างยาวนานและการเปิดดูรูปถ่ายเก่า ๆ ร่วมกัน ในที่สุดแครอลก็เริ่มจดจำตัวตนในฐานะชาวโลกของเธอได้
เอริคนั่งดูทุกอย่างอยู่ห่าง ๆ พร้อมกับฟิวรี่ ก่อนที่ทันใดนั้นพวกเขาจะได้ยินเสียงเคาะประตู ทำให้พวกเขาลุกขึ้นเดินไปทางประตูหลังทันที
. . .
ในขณะที่แครอลและคนอื่น ๆ กำลังจัดการกับเพื่อนบ้านร่างท้วมของมาเรีย เอริคก็เดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่นพร้อมกับมนุษย์ต่างดาวผิวเขียวคนหนึ่ง
“เฮ้ พวกเจ้าเป็นมิตรหน่อยไม่ได้รึไง?” มนุษย์ต่างดาวผิวเขียวปัดฝุ่นออกจากตัวก่อนลุกขึ้นพร้อมบ่น “โคล่าของข้าล่ะ?”
“ทำตัวดี ๆ หน่อยเถอะ!” ฟิวรี่ชักปืนขึ้นมาทันที “ให้ตายสิ เอริค ทำไมนายไม่จับมันมัดเอาไว้หรือต่อยให้สลบไปเลยล่ะ?”
“โอ้พระเจ้า!” มาเรียมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความตกใจ เพราะตอนนี้เธอพบว่าลูกสาวของเธอกำลังคุยกับใครบางคนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเธอราวกับแกะ
“พวกสกรัลล์—พวกของแอนโดรเมดาผู้โหดร้ายและกระหายเลือด พวกมันสามารถแปลงร่างเป็นใครก็ได้ ด้วยความสามารถนี้ ทำให้พวกมันโค่นล้มรัฐบาลของดาวเคราะห์นับไม่ถ้วน!” แครอลอธิบายให้มาเรียฟังเบา ๆ ขณะที่หมัดของเธอเริ่มเรืองแสงเล็กน้อย
“ไม่มีใครทำร้ายลูกเธอได้หรอก ถ้าเธอไม่ทำอะไรข้าก่อน เพราะงั้นระวังให้ดีด้วย!” มนุษย์ต่างดาวผิวเขียวพูดอย่างมั่นใจพร้อมกับหันไปหาเอริค “ขออนุญาตแนะนำตัวหน่อย ข้าทาลอส สกรัลล์ผู้โหดเหี้ยมกระหายเลือด”
“ระวังให้ดี? ดูเหมือนแกจะมั่นใจจริง ๆ ในตัวเองมากเลยสินะ?” เอริคพูดพร้อมกับยกมือขึ้นเบา ๆ ทันใดนั้นสกรัลล์ที่อยู่ข้างนอกหน้าต่างในร่างของมาเรีย แรมโบก็ลอยขึ้นมาราวกับถูกบีบรัดด้วยเชือกที่มองไม่เห็น พร้อมกับใบหน้าที่แสดงออกถึงความทรมาน
ทาลอสมองภาพด้านนอกและหน้าถอดสีทันที ก่อนที่เขาจะทำท่ายกมือยอมแพ้ และถูกฟิวรี่พุ่งเข้ามากดร่างลงกับพื้น ส่วนมาเรียก็วิ่งเข้ามาต่อยทาลอสสองครั้งด้วยความโกรธ ก่อนจะวิ่งออกไปกอดลูกสาวอย่างแนบแน่น
“ไม่คิดเลยว่าชาวโลกจะมีพลังแบบนี้ด้วย” ทาลอสพูดขณะที่ร่างกายตัวเองถูกมัดเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีท่าทางเกรงกลัวอะไรเลย
“บอกมาเถอะ สถานการณ์เป็นยังไง? ดูจากสภาพนายแล้วคงไม่ได้มาทำสงครามใช่ไหม?” เอริคดึงเก้าอี้มานั่งตรงข้ามทาลอส
“แน่นอน! ข้าไม่ได้อยากทำสงคราม” ทาลอสทำสีหน้าถูกใส่ร้าย “ข้าก็แค่ต้องการให้เจ้าช่วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น!”
“เรื่องเล็ก ๆ งั้นเหรอ?”
“ช่วยถอดรหัสพิกัดให้หน่อย แค่นั้นเอง!”
แครอลหัวเราะเยาะทันที “ถอดรหัสพิกัด? ครั้งก่อนที่พวกนายจับฉันห้อยหัวก็เพื่อถอดรหัสพิกัดงั้นสิ?”
“ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าเจ้าพิเศษขนาดนี้!” ทาลอสรีบยกมือขึ้นแสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่ดันทำเชือกที่มัดตัวอยู่ขาดออก ทำให้เขาเผยสีหน้าเจื่อน ๆ ราวกับนักแสดงที่ทำผิดคิว ก่อนที่เขาจะมองเชือกที่พื้นและบ่นพึมพำเบา ๆ “ขอโทษที เชือกของพวกเจ้าดูเหมือนจะไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่”
“เอาล่ะ เราจะไม่มัดนายแล้ว นายพูดต่อได้เลย” เอริคโบกมือและจัดการปลดเชือกทั้งหมด
ทาลอสลุกขึ้นยืนก่อนจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “ขอบคุณมาก! ข้ามีบันทึกเสียงจากโปรเจกต์เพกาซัส ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าจะต้องสนใจแน่นอน”
โปรเจกต์เพกาซัสได้รับทุนสนับสนุนจากกองทัพอากาศและนำโดยดร.เวนดี้ ลอว์สัน เป้าหมายคือการพัฒนาเครื่องยนต์ความเร็วแสง โดยที่แครอลและมาเรียเคยเป็นนักบินทดสอบในโปรเจกต์นี้มาก่อน
“ใส่พิกัด . . .”
ทันใดนั้นบันทึกเสียงก็เริ่มเล่น ขณะที่ภาพความทรงจำต่าง ๆ ที่เริ่มผุดขึ้นมาในหัวของแครอล ทำให้ความสงสัยในใจเธอเริ่มคลี่คลายทีละน้อย แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกว้าวุ่นยิ่งขึ้น
ดร.เวนดี้ ลอว์สันที่เคยทำงานกับเธอไม่ใช่ชาวโลก แต่เป็นชาวครีชื่อ มาร์-เวลล์ พลังของเธอไม่ได้มาจากพวกครี แต่เกิดจากการดูดซับพลังงานของแกนพลังงานที่มาร์-เวลล์พัฒนาขึ้นและระเบิดออกมา แต่ครูและหัวหน้าที่เธอเคารพอย่างยอน ร็อกก์กลับเป็นคนที่ยิงเครื่องบินของเธอตกและพาเธอกลับไปยังครี . . .
“พวกข้าทุกคนต่างเป็นเหยื่อ พวกครีทำลายบ้านเกิดของข้าและทำให้ข้าไร้ที่อยู่อาศัย นี่คือสงครามที่ไม่เป็นธรรม ข้าแค่ต้องการที่อยู่ใหม่เท่านั้น!” ทาลอสพูดกับแครอลด้วยน้ำเสียงจริงใจ “มาร์-เวลล์ช่วยพัฒนาเครื่องยนต์ความเร็วแสงเพื่อให้ข้าหนีจากการไล่ล่าของครี ไปยังที่ที่ครีตามหาเราไม่เจอ ไม่ใช่เพื่อทำสงคราม”
“เห็นไหม!! ฉันว่าแล้ว พวกครีมันพวกบ้า! แม้แต่ดาวบ้านเกิดตัวเองยังถูกทำลาย!” เอริคพูดจาเสริมเชิงยุแหย่ พร้อมกับทำท่าทางสนุกสนานราวกับกำลังดูละครด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งตอนนี้เขาแทบจะหยิบถุงป๊อปคอร์นขึ้นมาเคี้ยวเล่นเลยด้วยซ้ำ
“ลอว์สันสอนฉันมาตลอดว่า โปรเจกต์เพกาซัสจะไม่เป็นเครื่องมือของสงคราม แต่จะเป็นจุดสิ้นสุดของสงคราม” มาเรียก้าวเข้ามาสมทบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“มาร์-เวลล์หวังให้พวกเจ้าช่วยพวกข้าตามหาแกนพลังงาน มันจะเป็นตัวขับเคลื่อนเครื่องยนต์ความเร็วแสงและนำพวกข้าไปยังบ้านใหม่ ดังนั้นข้าขอร้องเจ้า ช่วยพวกเราด้วยเถอะ!” ทาลอสโค้งตัวลงเล็กน้อยและก้มหน้าลงด้วยความจริงใจ
หมัดของแครอลเริ่มเรืองแสงสีแดงขึ้นอีกครั้ง “เห็นไหม? พลังของฉันมาจากแกนพลังงาน และแกนพลังงานนั้นถูกทำลายไปแล้ว ฉันดูดซับพลังงานจากมันมาเอง”
“มีเพียงเครื่องยนต์ความเร็วแสงที่ถูกทำลาย แกนพลังงานนั้นถูกมาร์-เวลล์ซ่อนไว้ในที่ห่างไกล และพิกัดนั้นคือสิ่งที่จะนำทางเราไปหาแกนพลังงาน” ทาลอสกล่าวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
แครอลจ้องมองทาลอสด้วยสายตาแข็งกร้าว “แล้วนายจะเอามันไปกวาดล้างพวกเราทั้งหมดใช่ไหม?”
“พวกข้าก็แค่อยากมีบ้านเท่านั้น!”
เมื่อเห็นความจริงใจของทาลอส ในที่สุดแครอลก็ใจอ่อน ทำให้เธอเผยความลับของพิกัดออกมาอย่างช้า ๆ “ตัวเลขเหล่านั้นไม่ใช่พิกัด แต่เป็นเวกเตอร์สถานะ ใช้สำหรับกำหนดตำแหน่งวงโคจรและความถี่”
“ห้องทดลองของเธอไม่ได้อยู่บนโลก นายไม่มีทางหาเจอหรอก”
“พิกัดนั้นบอกตำแหน่งวงโคจรของห้องทดลองเมื่อหกปีก่อน ถ้าคำนวณวงโคจรได้ เราก็จะหามันเจอ”
“ใช้แค่ความรู้ฟิสิกส์ระดับมัธยมต้นเท่านั้น!”
ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แครอลและมาเรียก็ไขปริศนาที่ทำให้พวกสกรัลล์ปวดหัวมาหลายปีได้อย่างง่ายดาย ทำให้ทาลอสถึงกับอึ้ง และมองลูกทีมของตัวเองก่อนจะบ่นออกมา “มันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ? พวกเจ้ากับไม่เข้าใจเรื่องแค่นี้ แล้วยังกล้าเรียกตัวเองว่าหัวหน้านักวิทยาศาสตร์อีกเหรอ?”
“ยอน ร็อกก์จะตามตัวฉันมาเร็ว ๆ นี้ เราต้องหาแกนพลังงานให้เจอก่อนที่เขาจะมาถึง” แครอลพูดพร้อมยักไหล่ ตอนนี้เธอได้เพิ่มเดดไลน์ให้กับภารกิจของทุกคนเรียบร้อยแล้ว
“เราจะไปอวกาศยังไง?” คำถามของมาเรียทำให้ฟิวรี่อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเอริค
ถ้าหากรูปถ่ายที่พวกเขามีอยู่ใช้การได้ เอริคอาจจะเป็นคนที่มีวิธีพาพวกเขาไปสู่อวกาศ
เมื่อเอริคเห็นฟิวรี่มองมาที่ตัวเอง เขาก็หดคอด้วยความบริสุทธิ์ใจและพูดขึ้นมาว่า “มองฉันทำไม? ฉันมันแค่ตัวประกอบ ดูสิ ฉันพูดแค่ห้าประโยคเองในตอนนี้!”
โปรดติดตามตอนต่อไป …