98 - ความเป็นความตายยังไม่แน่ชัด!
98 - ความเป็นความตายยังไม่แน่ชัด!
ในเวลาเดียวกัน ข่าวการกลับมาของไท่จื่อถึงหูหลิวจี้และกลุ่มขุนนางด้วย
“ไท่จื่อกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว ฮ่องเต้ให้ไท่ซุนและอู่อ๋องออกไปต้อนรับ พวกข้าที่เป็นขุนนางก็ควรไปเช่นกัน
ซ่งเหลียนออกเดินทางหรือยัง?”
“ออกไปแล้ว” หลิวเหลียนตอบ
หลิวจี้พยักหน้า พร้อมถอนหายใจ “น่าเสียดาย หากจางอี้และเย่เซินยังอยู่ ข้าก็คงไม่ต้องทนทำดีกับหูกว๋อหยงแล้ว”
จางอี้และเย่เซิน รวมถึงซ่งเหลียนและหลิวจี้ ได้รับการขนานนามว่า สี่ปราชญ์เจ้อเจียง
แต่บัดนี้ สองคนแรกได้จากไปแล้ว เหลือเพียงเขาและซ่งเหลียน
หากไม่เป็นเช่นนี้ เขาคงไม่ต้องฝืนอยู่ข้างหูกว๋อหยง
“หูกว๋อหยงในวันนี้สามารถทรยศเหล่าคนแห่งหวยซีได้ วันหน้าเขาก็สามารถทรยศคนเจ้อเจียงได้เช่นกัน
แม้ว่าเจ้อเจียงจะครอบครองอำนาจในการตรวจสอบและตำหนิ แต่พวกข้าไม่มีขุนนางใหญ่เหมือนหวยซี
เหล่าคนหวยซี ล้วนเป็นขุนนางชั้นสูงหรือแม่ทัพใหญ่ อีกทั้งยังเป็นบ้านเกิดของฮ่องเต้
ชัยชนะในวันนี้ที่ทำให้หลี่ซ่านเหรินลำบาก ก็เป็นเพียงผลจากการถ่วงดุลของฮ่องเต้
แต่ในอนาคต หูกว๋อหยงจะต้องควบคุมคนหวยซีได้แน่นอน”
“เรื่องที่ให้จัดการล่ะ?”
“เรียนท่านพ่อ ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว!” หลิวเหลียนคำนับ
“ดี! เช่นนั้นข้าจะกวาดล้างหลี่ซ่านเหรินให้หมดสิ้นในคราวเดียว!”
...
ในขณะเดียวกัน จูจวินและจูอิงสงมาถึงนอกเมืองไม่นาน ก็พบว่าจูจิ้นและจูกัง
ตามมาด้วยจูตี้
“พี่รอง พี่สาม พี่สี่!” จูจวินคำนับ
จูอิงสงเองก็รีบคำนับอาๆ ของเขา
“ข่าวเจ้าช่างไวจริงๆ” จูจิ้นกล่าวพร้อมหัวเราะเยาะจูตี้
“แล้วเจ้าไม่เหมือนกันหรือ?” จูตี้สวนกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทุกครั้งที่พี่น้องสองคนนี้อยู่ด้วยกัน การทะเลาะกันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จูจวินรีบแยกพวกเขาออกจากกัน
ไม่นานนัก หลี่ซ่านเหรินและกลุ่มขุนนางก็มาถึง
เมื่อเห็นซ่งเหลียน เขาอดหัวเราะเยาะในใจไม่ได้ “อาจารย์ไปต้อนรับศิษย์แบบนี้ คงทำให้ไท่จื่อต้องลำบากแน่”
ซ่งเหลียนแค่นเสียง “ฮ่องเต้มอบหมายให้ท่านมาเป็นตัวแทนหรือไม่?”
“ข้าเป็นมหาเสนาบดี เป็นอาจารย์ไท่จื่อ การมาต้อนรับไท่จื่อกลับเมืองหลวงเป็นหน้าที่ของข้า!” หลี่ซ่านเหรินกล่าว
“ข้าเป็นอาจารย์ไท่จื่อก็จริง แต่ข้าก็เป็นขุนนางของเขาเช่นกัน หากไท่จื่อเป็นผู้ปกครอง ข้าในฐานะขุนนางก็ย่อมมาต้อนรับ มีสิ่งใดไม่เหมาะสม? หรือว่ามหาเสนาบดีไม่เข้าใจเรื่องนี้? ถ้าไม่เข้าใจ ข้าจะให้หลานข้าสอนท่าน!”
หลี่ซ่านเหรินกลับไม่โกรธ แต่ยิ้ม “ดี เช่นนั้นข้าจะกลับเมืองและพบหลานของท่าน!”
หลานชายของซ่งเหลียนชื่อซ่งเจิน เป็นขุนนางประจำแผนกพิธีการในราชสำนัก
บุตรชายคนที่สองของเขา ซ่งสุ่ย เพิ่งได้รับตำแหน่งในสำนักกลาง
ทั้งครอบครัวสามรุ่นล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก เรื่องนี้เป็นที่อิจฉาของผู้คนมากมาย
จูจวินที่ยืนอยู่ด้านข้างมองดูอย่างสนุกสนาน “ซ่งเหลียนคนเฒ่าออกโรงสั่งสอนมหาเสนาบดีต่อหน้าคนมากมาย ช่างกล้าจริงๆ!”
แต่เขาก็คิดในใจ "ถ้าจำไม่ผิด ซ่งเหลียนน่าจะมาจากเจ้อเจียงเช่นกัน คนพวกนี้ต้องการสนับสนุนพี่ใหญ่ข้าเพื่อให้พวกเขาก้าวขึ้นมาได้"
ความสัมพันธ์ในราชสำนักที่ดูซับซ้อนนั้น แท้จริงกลับไม่ซับซ้อนเลย เป็นเพียงการแข่งขันของสองกลุ่ม
และเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย
ในตอนนั้นเอง เสียงกีบม้าดังขึ้นจากระยะไกล ธงของไท่จื่อปรากฏให้เห็น
“เร็วเข้า! ไท่จื่อกลับมาแล้ว บรรเลงดนตรี!” หลี่ซ่านเหรินรีบสั่งการ
เสียงดนตรีต้อนรับดังขึ้น ผู้คนต่างเฝ้ารออย่างตื่นเต้น จูจวินเองก็ไม่ต่างกัน
ไม่นานนัก ขบวนรถม้าเคลื่อนเข้ามาใกล้ ผู้นำขบวนคือ หูโหว(พระยา) หลันอวี่
ชื่อเดิมของหลันอวี่คือ หลันอวี้(หยก) แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรเดียวกับชื่อของจูอวี้ เขาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอวี่ ซึ่งมีความหมายถึงโชคลาภและความมั่งคั่ง
“เร็วเข้า! หลบไป! ทุกคนออกไปให้พ้นทาง!” หลันอวี่ตะโกนสุดเสียง “อย่ามาขวาง!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนสีไปตามๆ กัน โดยปกติ เมื่อพบผู้คน รถม้าควรจะลดความเร็วลง แต่ครั้งนี้กลับเร่งความเร็วขึ้นแทน
จูจวินรู้สึกถึงลางร้ายในใจ “พี่ใหญ่ของข้าอยู่ไหน? ทำไมไม่เห็นเลย?”
“ทุกคนข้างหน้าหลบไปให้หมด!” หลันอวี่ตะโกน
เมื่อขบวนรถม้าเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หลี่ซ่านเหรินจึงรีบสั่งให้ทุกคนหลีกทาง
รถม้าวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดเลยแม้แต่น้อย
คนในขบวนรถต่างแสดงท่าทีเคร่งเครียดและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ผู้คนที่มารอต้อนรับต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง
“ไป ข้าต้องกลับไปในเมือง มันต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแน่!” จูจิ้นหน้าซีดและรีบขึ้นม้า
จูกังหรี่ตาและตามไปทันที
จูตี้เองก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง คิดถึงความเป็นไปได้ที่น่ากลัวบางอย่าง
เขาพยายามระงับอารมณ์และขึ้นม้า “เร็ว! รีบตามไปดู!”
“อาหก ท่านพ่อของข้า...”
“ไม่ต้องห่วง ต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้น!” จูจวินกล่าวพลางกอดจูอิงสงแน่น และขึ้นรถม้าพร้อมกับเขา “เซียวจี้ เร็วตามไป!”
หลี่จี้ป้ารีบพยักหน้าและขับรถม้าตามไป ขณะที่หนิวอู่หลิวควบม้าตามอยู่ด้านหลังสุด
“เร็วเข้า! หลบไป!” รถม้าพุ่งตรงเข้ามาในเมืองหลวง มุ่งหน้าไปยังพระราชวังโดยไม่หยุดพัก
ทหารที่ประจำอยู่หน้าประตูวังเตรียมดาบและธนูขึ้นสายทันทีเมื่อเห็นขบวนรถม้า
แต่เมื่อเห็นธงมังกรของไท่จื่อ ทุกคนก็ชะงักไป
หลันอวี่ตะโกนอย่างตื่นตระหนก “หลบไป! ไท่จื่อได้รับบาดเจ็บ! รีบเรียกหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!”
คำพูดของหลันอวี่ทำให้เหล่าทหารตกใจและไม่กล้าขวางทางอีก ขบวนรถม้าจึงพุ่งตรงเข้าไปในพระราชวัง
ข่าวการบาดเจ็บของไท่จื่อแพร่กระจายไปทั่วพระราชวังอย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้จูหยวนจางที่กำลังตรวจเอกสารอยู่ในตำหนักเฟิ่งเทียนได้ยินข่าวนี้ ทำให้พู่กันหลุดจากมือทันที
“เจ้าว่าใครได้รับบาดเจ็บนะ?”
หวังโก้วเอ๋อที่คุกเข่าอยู่ตัวสั่น “ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ... ไท่จื่อพลัดตกจากหลังม้า กระดูกขาหักทั้งสองข้าง ตอนนี้หมดสติยังไม่ฟื้น...”
“ลูกของข้า!”
จูหยวนจางรู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้าง เขาพยุงตัวกับโต๊ะไว้ แต่ดวงตากลับมืดลง
เขากัดฟันและยืนขึ้นด้วยความมุ่งมั่น “เร็วเข้า! เรียกหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!”
ฮ่องเต้รีบร้อนออกจากตำหนักเฟิ่งเทียน ในใจภาวนาว่าไท่จื่อต้องปลอดภัย
“ปิดข่าว อย่าให้เรื่องนี้ไปถึงตำหนักคุนหนิง อย่าให้ฮองเฮารู้เด็ดขาด!”
แม้จะร้อนใจ แต่ฮ่องเต้ยังคงมีสติ เขายังไม่ทราบอาการของไท่จื่อแน่ชัด แต่หากฮองเฮารู้ นางต้องรับไม่ไหวแน่
เมื่อมาถึงกรมหมอหลวง เหล่าหมอหลวงต่างวิ่งวุ่นไปมา
หลันอวี่และผู้ติดตามของเขาเดินวนเวียนอยู่ในลานด้วยท่าทีร้อนรน
เมื่อเห็นฮ่องเต้มาถึง ทุกคนก็คุกเข่าลง
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอรับโทษที่ดูแลไท่จื่อไม่ดี ขอฝ่าบาทโปรดประหารพวกเราทุกคน!” หลันอวี่ร้องไห้
ร่างกายของฮ่องเต้สะท้านเล็กน้อย เขามองไปที่หลันอวี่
“จูเหวินจงดูแลไท่จื่อไม่ดี ไม่มีหน้าพบฝ่าบาทอีก!”
จูเหวินจงชักดาบออกมา ปาดไปที่คอของตัวเองทันที
จูหยวนจางโกรธจัด เขาเตะดาบในมือของจูเหวินจงกระเด็นไป ก่อนฟาดเขาฉาดใหญ่
“เจ้าคนโง่ ถ้าเจ้าตาย ข้าจะอธิบายกับแม่ของเจ้าอย่างไร?”
…………