23 - การเรียน
บนเนินเขาเดินขึ้นไปสิบกว่าเมตรถึงกลางเนิน พื้นที่ตรงนั้นค่อนข้างราบเรียบเล็กน้อย ด้านหน้ามีป่าไผ่หนาแน่น และด้านหลังป่าไผ่คือสำนักศึกษาของหมู่บ้านซ่างเหอ
จูผิงอันผูกวัวไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง ปล่อยให้วัวกินหญ้าอ่อนอย่างสบายใจ ส่วนตัวเองก้าวขาเล็ก ๆ เดินต่อไปข้างหน้า
ทางเล็ก ๆ สายหนึ่งปรากฏขึ้นในป่าไผ่ คดเคี้ยวไปจนถึงสำนักศึกษา เมื่อเดินเข้าไป กลิ่นไผ่ลอยมาปะทะหน้า บรรยากาศสดชื่นไหลผ่านร่างกาย ราวกับต้องลมฤดูใบไม้ผลิ ทำให้จิตใจปลอดโปร่งอย่างไม่รู้ตัว ลมเย็นพัดผ่านมา ป่าไผ่ที่ทอดยาวต่อเนื่องกันเริ่มแกว่งไกวตามจังหวะของลม เต้นรำเบา ๆ และส่งเสียงซ่า ๆ คล้ายกระซิบกระซาบ
เด็กวัยแปดขวบเมื่อเริ่มเรียนในสำนักศึกษา จะนั่งเรียบร้อยและเริ่มท่องบทเรียนเสียงดังเหมือนบทกวีที่กล่าวไว้ เมื่อจูผิงอันออกจากป่าไผ่ก็ได้ยินเสียงท่องบทเรียนดังลอยมา
(ฟ้าดินเรืองรอง กาลเวลานานไกล ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ขึ้นลง ฤดูกาลเปลี่ยนผัน ฯลฯ)
สำนักศึกษาแห่งนี้เป็นสำนักศึกษาแบบโบราณที่สร้างด้วยโครงสร้างไม้เป็นหลัก และมีอิฐหินเป็นส่วนประกอบ หน้าต่างบานใหญ่ทั้งสี่ด้านช่วยเพิ่มแสงสว่างภายในได้อย่างเต็มที่ และยังมีม่านไผ่ที่สามารถดึงลงได้เมื่อจำเป็น ภายในห้องมีเด็กประมาณยี่สิบกว่าคนนั่งอ่านหนังสือโยกศีรษะไปมา เด็กสองคนใช้โต๊ะตัวเดียวกัน แต่ละโต๊ะมีหมึก พู่กัน กระดาษ และแท่นฝนหมึกวางอยู่
ผนังด้านทิศตะวันออกของห้องแขวนภาพขงจื๊อไว้ ด้านล่างมีโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งและเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ด้านหลังโต๊ะ บนโต๊ะมีพู่กัน หมึก กระดาษ ตำราเรียน และกาน้ำชาหนึ่งใบ
ชายชราอายุประมาณห้าสิบกว่านั่งอยู่บนเก้าอี้ ดูกระปรี้กระเปร่าและน่าจะเป็นซุนเหล่าซิ่วไฉที่ท่านป้าของจูผิงอันเคยกล่าวถึง
จูผิงอันเลือกที่นั่งบนพื้นบริเวณที่ไม่ขวางประตูและนั่งฟังอยู่นาน
ซุนเหล่าซิ่วไฉกำลังสอน "คัมภีร์พันตัวอักษร" ซึ่งถือเป็นตำราเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสมัยโบราณ เนื้อหาลื่นไหล สัมผัสคล้องจอง อ่านแล้วไพเราะจับใจ
ซุนเหล่าซิ่วไฉไม่ได้สอนแบบท่องจำเพียงอย่างเดียว แต่ยังอธิบายความหมายซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติในยุคสมัยนั้น
"เสวียนหวง ประโยคนี้มาจาก คัมภีร์อี้จิง มีความลึกซึ้งที่ยากจะพรรณนาได้ คำว่า 'เสวียนหวง’ ไม่ได้หมายถึงสีอย่างเดียว แต่ยังมีความหมายลึกซึ้งถึงความลึกลับและไร้ขอบเขต นี่คือสวรรค์ที่สูงส่งและแผ่นดินที่ลึกล้ำ..."
แม้ว่าซุนเหล่าซิ่วไฉจะอธิบาย แต่ภาษาที่ใช้นั้นเป็นภาษาสมัยโบราณ ผสมผสานกับคำจาก อี้จิง ทำให้เด็กที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้แทบจะไม่เข้าใจอะไรเลย
ดูสิ เด็กบางคนถึงกับฟุบโต๊ะหลับไปแล้ว
เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน นั่นพี่จวิ้นนี่นา!
จูผิงอันพบว่าในห้องเรียนมีเด็กหลับอยู่หลายคน และหนึ่งในนั้นคือพี่ชายของเขาเอง จูผิงจวิ้น
สิ่งที่จูผิงอันเห็น ซุนเหล่าซิ่วไฉก็เห็นเช่นกัน
ซุนเหล่าซิ่วไฉที่เป็นคนไม่ยอมอ่อนข้อให้ความผิดพลาด เดินถือไม้บรรทัดไปที่โต๊ะของจูผิงจวิ้นและเพื่อนร่วมโต๊ะที่หลับอยู่ ใช้ไม้บรรทัดเคาะโต๊ะจนทั้งสองสะดุ้งตื่น
เด็กอีกคนเป็นเด็กอ้วนตัวเล็ก ๆ เห็นอาจารย์แล้วตกใจกลัวเช่นเดียวกับจูผิงจวิ้น
"ยื่นมือออกมา" ซุนเหล่าซิ่วไฉกล่าวเสียงเรียบ
ทั้งสองคนยื่นมือออกมาอย่างกลัว ๆ
เพี๊ยะ ๆ ๆ
"ตั้งใจฟัง ถ้าไม่อยากไปพบ โจวกง อีก"
ซุนเหล่าซิ่วไฉตีเบา ๆ ที่ฝ่ามือของทั้งสองคนคนละสามครั้ง เพื่อเป็นการลงโทษ
"โจวกง...โจวกงคือใครหรือขอรับ ข้าไม่ได้ไปพบนะ" จูผิงจวิ้นลูบหัวตัวเอง พลางพึมพำอย่างสงสัย
เด็ก ๆ รอบข้างเมื่อได้ยินก็หัวเราะกันลั่น พวกเขามาเรียนก่อนจูผิงจวิ้นไม่กี่วัน หลายคนเคยถูกอาจารย์ดุ แม้จะไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “โจวกง” แต่ก็รู้ว่าหมายถึงการหลับ เมื่อเห็นจูผิงจวิ้นไม่เข้าใจ เด็ก ๆ จึงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ซุนเหล่าซิ่วไฉได้ยินดังนั้น แต่เขาไม่ได้โกรธจนดุเดือดหรือพูดคำว่า “เด็กไม่อาจสอนได้” แต่อย่างใด เขากลับเพียงแค่ถอนหายใจและห้ามเด็ก ๆ หัวเราะ ก่อนจะเริ่มอธิบาย
“โจวกง คือผู้ทรงคุณธรรมแห่งราชวงศ์โจวตะวันตก ท่านเคยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระเจ้าฉางหวัง และได้สร้างผลงานสำคัญให้แก่ราชวงศ์โจว คนรุ่นหลังยกย่องท่านเป็นผู้ทรงคุณธรรม ขงจื๊อเคารพนับถือโจวกงมากถึงขั้นฝันถึงท่านอยู่บ่อยครั้ง ต่อมาคำว่า ‘พบโจวกง’ จึงกลายเป็นสำนวนที่หมายถึงการนอนหลับ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ หากต้องการเป็นผู้ทรงคุณธรรม เจ้าต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ อย่าได้ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า โดยเฉพาะเจ้าสองคน หากข้าเห็นพวกเจ้าหลับอีก คราวหน้าจะไม่พ้นถูกไม้เรียวแน่”
หลังจากซุนเหล่าซิ่วไฉพูดจบ เขาก็เริ่มสอนเด็ก ๆ รู้จักตัวอักษร เพราะการรู้จักตัวอักษรคือก้าวแรกที่จะนำไปสู่การอ่านตำรา
“วันนี้เราจะเรียนรู้แปดตัวอักษร ได้แก่ (ฟ้าดินเรืองรอง จักรวาลกว้างใหญ่) หลังเลิกเรียนข้าจะตรวจพวกเจ้าทีละคน อย่าได้ขี้เกียจ เริ่มจากคำแรก (ฟ้า) ฟ้า หมายถึงสิ่งที่อยู่บนหัวของมนุษย์...”
ในยุคปัจจุบันที่ใช้ตัวอักษรง่าย แม้จูผิงอันจะเรียนรู้ภาษาจีนโบราณมาแล้วและสามารถอ่านตัวเต็มได้ แต่เมื่อให้เขียนก็ยังไม่ชินและเผลอเขียนตัวอักษรง่ายโดยไม่รู้ตัว ต้องค่อย ๆ ปรับตัวให้ชินกับการเขียนตัวเต็ม
จูผิงอันนั่งอยู่ด้านนอกสถานศึกษา วาดเขียนด้วยไม้เล็ก ๆ บนพื้น จากนั้นก็ใช้เท้าลบออกไป
ซุนเหล่าซิ่วไฉเห็นเข้าก็คิดว่าเป็นเด็กซุกซนจากบ้านไหนที่มาเล่นอยู่แถวนี้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นจูผิงอันใช้ไม้เขียนแล้วก็ใช้เท้าเหยียบลบ เขาคิดว่าเด็กคนนี้กำลังเล่นอะไรกับมด จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร
การเรียนรู้ตัวอักษรไม่ใช่เรื่องยาก แต่การเรียนรู้และเข้าใจตำราสี่เล่มห้าคัมภีร์ รวมถึงการเขียนเรียงความนั้นต่างหากที่เป็นความท้าทายใหญ่ ในแต่ละวันเรียนรู้เพียงแปดตัวอักษร ซึ่งสำหรับจูผิงอันแล้วถือว่าง่ายมาก หลังจากฟังสักพักเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจใหม่ ๆ เขาจึงเดินกลับไปดูวัวของเขา
“ข้าต้องทำพู่กันง่าย ๆ ไว้ใช้เองหน่อย และเอากระดานไม้มาฝึกเขียนตัวอักษร จะได้พัฒนาการเขียนของข้าให้ดีขึ้น”
เมื่อเดินผ่านป่าไผ่กลับมาถึงที่วัว วัวตัวเก่าก็ยังคงส่ายหางกินหญ้าอย่างสบายใจ โดยไม่รู้เลยว่าหางของมันกำลังถูกเล็งไว้
ขนสำหรับทำพู่กันมักใช้ขนแกะ ขนหางวัว ขนหางม้า หรือขนหมู ส่วนด้ามพู่กันมักใช้ไม้ไผ่ พู่กันชั้นดีต้องผ่านกระบวนการผลิตกว่าร้อยขั้นตอน ปลายพู่กันต้องมีความเรียบเนียน สมดุล และยืดหยุ่น ดูเหมือนว่าจะต้องใช้น้ำช่วยประกอบขนเข้าในด้าม กลับไปบ้านค่อยลองทำดู ข้าไม่ต้องการพู่กันที่ดีเลิศนัก ขอแค่แข็งแรงและใช้งานได้ก็พอ
“ไม่รู้ว่าเด็กสาวจอมเจ้าเล่ห์ที่อยู่ตีนเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง จะไปตามพี่ชายมาตีข้าจริงหรือเปล่า? แต่โดยปกติ เด็กเมื่อถูกยั่วยุ มักจะเปลี่ยนใจไม่ทำตามคำพูดเดิม”
วัวกินหญ้ามานานแล้ว ก็ควรพามันไปดื่มน้ำเสียหน่อย ด้านล่างเนินเขามีลำธารใสสะอาด พาวัวไปดื่มน้ำสักสองสามอึก ปล่อยให้มันกินหญ้ากินน้ำที่มีเกลือแร่ไปพลาง แล้วข้าจะได้ดูว่าเด็กสาวจอมเจ้าเล่ห์คนนั้นยังอยู่ที่นั่นหรือไม่
“ในยุคนี้ ผู้คนกินเพียงวันละสองมื้อ ซึ่งข้ารู้สึกไม่ค่อยชิน หลังจากเที่ยงวันไป ข้าก็เริ่มหิว หากเป็นไปได้ ข้าจะลองจับปลาตัวเล็ก ๆ สองสามตัวในลำธารมาย่างกินก็ดีเหมือนกัน”
จูผิงอันแกะเชือกที่ผูกวัวไว้ แล้วจูงวัวเดินลงเนินเขาช้า ๆ อย่างสบายอารมณ์