21 - งามล่มเมือง
คนหนึ่งคน วัวหนึ่งตัว และคันเบ็ดหนึ่งคัน เดินโซเซไปทางสำนักศึกษาหมู่บ้านซ่างเหอ
ระหว่างทางที่เดินไป ผู้คนที่พบเจอล้วนมองมาด้วยรอยยิ้มให้กับกลุ่มที่ดูตลกขบขันนี้ หากจูผิงอันเจอคนที่รู้จัก เขาก็ทักทายด้วยคำเรียก "ท่านลุง" หรือ "ท่านป้า" อย่างเป็นกันเอง ส่วนถ้าพบคนไม่รู้จักที่มาทักทาย เขาก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มซื่อๆ
หมู่บ้านเซี่ยเหอและซ่างเหอนั้น หมู่บ้านหนึ่งอยู่ต้นลำธารชิงซี อีกหมู่บ้านอยู่ปลายลำธาร ซ่างเหออยู่ต้นน้ำ ส่วนเซี่ยเหออยู่ปลายน้ำ เนื่องจากแม่น้ำไหลเป็นรูปตัว S ซ่างเหอจึงอยู่ในครึ่งวงกลมด้านขวาของแม่น้ำ ส่วนเซี่ยเหออยู่ในครึ่งวงกลมด้านซ้าย
ทั้งสองหมู่บ้านมีลักษณะคล้ายกัน มีทุ่งนาแทรกอยู่ในหมู่บ้าน ด้านหลังหมู่บ้านเป็นภูเขาที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ด้านหน้ามีลำธารที่ล้อมรอบท้องนา วิวทิวทัศน์เรียบง่ายด้วยรั้วไม้ไผ่และกระท่อมมุงหญ้า ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ของภูเขาเขียวขจีและน้ำใส
ตรงกลางระหว่างสองหมู่บ้านมีสะพานไม้เชื่อมถึงกัน เป็นสะพานที่แข็งแรงมาก ไม่ใช่สะพานแบบโครงสร้างอ่อนแอแบบยุคใหม่ ใต้สะพานมีลำธารใสไหลเอื่อย มีปลาสองสามตัวกำลังเล่นน้ำกันอยู่ใต้สะพาน ดูเหมือนภาพวาดพู่กันจีน
จูผิงอันจูงวัวข้ามสะพานไม้ไป ไม่ไกลจากนั้นก็เป็นเนินเขาลูกเล็กที่ตั้งสถานศึกษาของหมู่บ้านซ่างเหอ
เนินเขาเล็กนี้เป็นส่วนขยายของภูเขาใหญ่ด้านหลังหมู่บ้าน ด้านหน้าเนินมีพื้นที่ลาดชันหลายหมู่เต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ และหญ้าสีเขียวแน่นขนัด สำนักศึกษาตั้งอยู่หลังป่าไผ่กลางเนินเขา แอบซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบสงบ สามารถได้ยินเสียงอ่านหนังสือดังแว่วมา
อากาศสดชื่น ทิวทัศน์สวยงาม เหมาะจะเป็นสถานที่สำหรับอ่านหนังสือ...หรือเลี้ยงวัว
สำหรับเด็กขาสั้นอย่างจูผิงอัน การขึ้นลงหลังวัวถือเป็นความท้าทายอย่างมาก แต่โชคดีที่วัวแก่ตัวนี้ดูเหมือนจะมีความฉลาด จูผิงอันดึงเชือกวัวพลางบอกว่า “จะลงแล้วนะ” เจ้าวัวเหลืองก็ลดตัวลงทำให้เจ้านายตัวเล็กสามารถลงได้อย่างสะดวก
วัวตัวนี้ช่างมีไอคิวสูงเหลือเกิน
หลังจากลงมาแล้ว จูผิงอันก็เอาหญ้าสดจากคันเบ็ดเป็นรางวัลให้เจ้าวัว ก่อนจูงมันเดินขึ้นเนินเขาไปอย่างช้าๆ เชือกวัวยาวพอที่จูผิงอันจะผูกไว้กับต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่ง จากนั้นเขาก็เตรียมจะไปดูสำนักศึกษาของหมู่บ้านซ่างเหอ
ทันใดนั้น เสียงหวานสดใสราวกับนกไนติงเกลของเด็กสาวก็ดังขึ้น แต่แม้เสียงจะไพเราะ ทว่าท่าทางกลับหยิ่งผยองไม่น้อย คำพูดที่ออกมาก็ห้วนเสียเหลือเกิน
“เจ้าจนขี้เหร่ ใครให้เจ้ามาเลี้ยงวัวที่นี่!”
จูผิงอันหันไปมอง ก็เห็นเด็กสาวตัวเล็กในชุดโบราณสีชมพู สวมกระโปรงจีบถึงอก ตาจ้องเขม็ง มือเท้าสะเอวตะโกนใส่เขา ไหล่สั่นเทิ้ม
เอ่อ...จะว่าไงดี แม้จะยังเด็กมาก แต่เด็กสาวคนนี้ก็มีเค้าหน้าของความงามแบบที่อาจก่อให้เกิดเภทภัยในอนาคต
ถ้าจะพูดสั้นๆ ก็ต้องว่า “หากบ้านเมืองจะล่มสลาย ก็เพราะเด็กสาวนี่แหละ”
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาเจอเด็กสาวคนนี้ และยังรู้สึกเสียดายเหมือนเดิม เด็กสาวปากร้าย โลภ และเจ้าเล่ห์คนนี้ ช่างน่าเสียดายใบหน้าที่งดงามเสียจริง
เด็กสาวเจ้าเล่ห์มีม้าสีแดงตัวเล็กตามหลังมาด้วย น่าจะเป็นม้าตัวที่พ่อเจ้าของที่ดินร่ำรวยของนางเพิ่งซื้อให้จากตลาดเมื่อวานนี้ ดูเหมือนจะพาม้าตัวนี้มาเลี้ยง
สำหรับเด็กสาวเจ้าเล่ห์ โลภ และปากร้ายแบบนี้ จูผิงอันไม่มีความชอบมากนัก ความคิดเช่นการทำให้นางร้องไห้ ป้อนขนม หรืออะไรทำนองนั้นไม่เคยอยู่ในหัวของเขา เพราะเขาไม่ใช่คนลุ่มหลงผู้หญิง
“จะเอาอะไร ยัยขี้เหร่”
จูผิงอันเหลือบมองนาง พลางพูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน
คำพูดนี้ทำให้เด็กสาวเจ้าเล่ห์กัดฟันจนได้ยินเสียง “กึกๆ” ดวงตาลุกวาวด้วยโทสะอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับสิงโตตัวน้อยที่ถูกยั่วโมโห พร้อมจะกระโจนเข้าใส่ทันที
“เจ้าว่าข้าขี้เหร่หรือ?” เด็กสาวเจ้าเล่ห์กัดฟันเดินเข้ามา หวังจะพิสูจน์ตัวเอง
ใครก็ตามที่ถูกเรียกว่า “ยัยขี้เหร่” สองครั้งติดกันคงต้องโกรธเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเด็กสาวที่ถูกพ่อแม่และพี่ชายตามใจมาตั้งแต่เด็ก นางเติบโตมากับคำพูดอันหวานหูและความรักอย่างล้นเหลือ
“เจ้าอยากฟังคำจริงหรือคำโกหก” จูผิงอันยืนกอดอกถามอย่างไม่แยแสต่อโทสะของเด็กสาวเจ้าเล่ห์
“งั้นพูดโกหกก่อนสิ” เด็กสาวเจ้าเล่ห์พูดด้วยท่าทีหยิ่งผยองจนดวงตาแทบลอยขึ้นไปบนฟ้า
ความหยิ่งผยองแบบนี้ ทำให้คนอยากหยอกล้อนางขึ้นมาจริงๆ
“ขี้เหร่” จูผิงอันตอบกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยความรวดเร็ว
ถึงอย่างนั้น ใบหน้าของเด็กสาวเจ้าเล่ห์ก็คลายความโกรธลงเล็กน้อย เพราะคำว่า “ขี้เหร่” เป็นคำโกหก ซึ่งเมื่อครู่ก็ตกลงกันแล้วว่าคำโกหกคือขัดแย้งกับความจริง และความจริงก็คือ “งดงาม” แน่นอน ถึงจะเป็นคำยกยอที่ฟังดูปลอมๆ แต่นางก็ยังไม่ให้อภัยจูผิงอัน นางต้องสั่งสอนให้เขาได้รู้เสียบ้าง
“ไอ้เด็กบ้านี่ก้มหน้าสำนึกผิดแล้วสินะ” นางคิด พลางทำท่าหยิ่งยโสมากขึ้นไปอีก ดวงตาแทบจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ต่อให้เขายอมรับผิด บอกว่านางงดงาม นางก็จะไม่มีวันให้อภัย
“งั้นพูดความจริงมา” เด็กสาวเจ้าเล่ห์สั่งด้วยท่าทีเหมือนจูผิงอันเป็นข้ารับใช้ของนาง
“ความจริงก็คือ เจ้าขี้เหร่มาก” จูผิงอันเน้นเสียงหนักในคำว่า “ขี้เหร่มาก” พร้อมใบหน้าจริงจังแบบไม่มีที่ติ
คำว่า “ขี้เหร่มาก” ก้องสะท้อนในหูของเด็กสาวเจ้าเล่ห์ ราวกับเสียงสะท้อนที่ดังซ้ำไปซ้ำมา
เมื่อรวมกับสีหน้าจริงจังแต่เหมือนจะล้อเลียนของเด็กหนุ่มตรงหน้า เด็กสาวเจ้าเล่ห์ถึงกับเสียอาการ น้ำตาเริ่มไหลพราก
“ฮือๆ ไม่เคยมีใครมารังแกข้าแบบนี้มาก่อนเลย!” นางร้องไห้ในใจ พร้อมทั้งสาปแช่งจูผิงอันตรงหน้าด้วยคำที่เลวร้ายที่สุดที่นางคิดได้ “คนสารเลว คนถ่อย ไอ้จน ไอ้เด็กเวร”
จูผิงอันที่เริ่มรู้สึกว่าอาจจะล้ำเส้นไปหน่อย เผลอคิดทบทวนถึงการกระทำของตัวเอง แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นบางอย่างผ่านหางตา
จูผิงอันรีบหลบและพบว่ามือของเด็กสาวเจ้าเล่ห์ฟาดมาเกือบโดนหน้าเขา ถ้าเมื่อครู่เขาไม่หลบ คงโดนตบเข้าเต็มแรง
การที่นางพลาดเป้าทำให้ความรู้สึกไม่สบายใจของจูผิงอันหายวับไปทันที
“ผู้หญิงอะไร เอาแต่ใจ ไร้มารยาท หยาบคาย แถมยังลงมือกับคนอื่นง่ายๆ แบบนี้ ช่างเป็นความอัปยศของวงตระกูลจริงๆ”
“ใครใช้ให้เจ้าหลบล่ะ!” เด็กสาวเจ้าเล่ห์กระทืบเท้าด้วยความโกรธ พลางถามอย่างหยิ่งผยองเหมือนการหลบของเขาคือเรื่องผิดมหันต์
“ถ้าข้าจะตบเจ้า เจ้าจะหลบไหมล่ะ” จูผิงอันตอบกลับด้วยสีหน้าราวกับมองคนโง่
“เจ้ารู้ไหมว่าพ่อข้าเป็นใคร แล้วเจ้ากล้าหลบงั้นหรือ?” เด็กสาวเจ้าเล่ห์ร้องเสียงดัง ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา จ้องจูผิงอันเขม็งเหมือนพยายามข่มขู่
“เด็กนี่มันหยาบคายไร้เหตุผลแถมยังชอบใช้อำนาจข่มคนอื่นอีก”
“ท่านพ่อเจ้าเป็นใคร ข้าคงต้องถามท่านแม่เจ้าดูแล้วล่ะ” จูผิงอันตอบอย่างไม่แยแส
เด็กสาวเจ้าเล่ห์ไม่เข้าใจคำพูดนี้ในทันที เพราะมันเป็นมุขตลกแบบยุคใหม่ แต่ด้วยความฉลาดของนาง ไม่นานก็เข้าใจความหมาย
สีหน้าของนางเผยออกมาชัดเจนว่านางเข้าใจแล้ว
“ไอ้สารเลว!” เด็กสาวเจ้าเล่ห์หน้าเขียวคล้ำด้วยความโกรธ ตัวสั่นสะท้าน น้ำตากลิ้งตกจากดวงตาลงมาถึงคาง
“อืม ดูเหมือนจะล้ำเส้นไปหน่อย” จูผิงอันเริ่มทบทวนตัวเองอีกครั้ง นี่มันเหมือนฉากในละครจริงๆ ที่แม้ผู้หญิงคนนี้จะร้ายเพียงใด แต่พอร้องไห้ คนก็อดใจอ่อนไม่ได้