ตอนที่แล้วบทที่ 1216 โอสถฉางเสิ่น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 1218 อ๋องหลงหยางผู้ไม่ต้องการสิ่งใด

บทที่ 1217 ไร้ผู้ต้านทานภายใต้ระดับครึ่งขั้นหยวนหยาง


ผู้แปล: มาลงสองตอนให้หายคิดถึง พรุ่งนี้จะกลับมาลงตามปกติแล้วครับ

.

.

.

-----------

เกิดอะไรขึ้น?

ขณะที่เหวินผิงกำลังฉงนเกี่ยวกับการหายไปของไฟเทียนหลัน เขาก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวแปลกประหลาดในบัวเขียวปรโลกของเขา

พูดตามตรง การบำเพ็ญบัวเขียวปรโลกนั้นยากกว่าเจตจำนงกระบี่ชิงเหลียนอย่างมาก จนถึงตอนนี้ยังคงอยู่แค่ขั้นต้นของฐานขอบเขตเท่านั้น และเพราะความยากนี้ เหวินผิงจึงแทบไม่ได้สนใจบัวเขียวปรโลกเลยในช่วงที่ผ่านมา

ท้ายที่สุดแล้ว การบำเพ็ญเจตจำนงกระบี่ชิงเหลียนให้ประโยชน์ต่อพลังของเขามากกว่า ส่วนการเพิ่มระฐาบนขอบเขตของบัวเขียวปรโลกนั้น ช่วยแค่ให้เขาทนทานต่อการโจมตีและมีพลังอดทนมากขึ้นเท่านั้น

พูดให้ชัดก็คือ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในสำนักอมตะ เหวินผิงแทบไม่เคยต้องออกแรงเอง อีกทั้งเมื่อเดินทางออกไป เขายังมีเรือเหาะคอยสนับสนุน ดังนั้นการเสียเวลาไปกับการบำเพ็ญบัวเขียวปรโลกจึงดูเหมือนเป็นการใช้เวลาอย่างสิ้นเปลือง

ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ ระบบเคยกล่าวไว้ว่าหากบัวเขียวปรโลกบำเพ็ญจนถึงขั้นสมบูรณ์ มันจะสามารถเชื่อมต่อดินแดนปรโลกวิญญาณกับโลกนี้ได้ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงโลกนี้โดยสิ้นเชิง

“ระบบ เจ้าบอกไว้ว่าหากดินแดนปรโลกวิญญาณเชื่อมต่อกับโลกนี้ จะเกิดอะไรขึ้นหรือ?” เหวินผิงถามอย่างเร่งรีบ

ระบบตอบทันที [เมื่อโลกวิญญาณเชื่อมต่อกับโลกนี้ วิญญาณจากโลกอื่นจะสามารถเข้าสู่โลกนี้ผ่านดินแดนปรโลกวิญญาณ กระบวนการนี้เรียกว่าการกลับมาเกิดใหม่ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้คนในโลกนี้มีความสามารถหลากหลายยิ่งขึ้น และไม่จำกัดแค่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการบำเพ็ญประตูชีพจรวิญญาณ]

“แล้วผลต่อไปคืออะไร?”

[โลกนี้จะเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ ผู้คนจะเหมาะสมกับการเป็นผู้หลอมโอสถ ผู้บำเพ็ญเวทมนตร์คาถา ช่างฝีมือแผนภาพวังวนศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่ผู้บำเพ็ญวิชาพลังเหนือธรรมชาติ]

“ใช่ ข้าจำได้แล้ว เจ้าเคยบอกว่าโลกนี้เป็นโลกปิด วิญญาณที่ตายไปจะกลับมาเกิดใหม่ในโลกนี้เท่านั้น ทำให้คนส่วนใหญ่เหมาะสมแค่การบำเพ็ญประตูชีพจรวิญญาณและการเป็นช่างฝีมือแผนภาพวังวนศักดิ์สิทธิ์”

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เหวินผิงจึงเข้าใจว่า ทำไมคนที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญเวทมนตร์คาถาหรือการเป็นช่างฝีมือแผนภาพวังวนศักดิ์สิทธิ์ถึงมีน้อย และผู้ที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญพลังเหนือธรรมชาติยิ่งมีน้อยกว่า

ดูเหมือนว่าในอนาคตเขาจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาบัวเขียวปรโลกบ้าง เผื่อว่าวันหนึ่ง สำนักอมตะจะได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกนี้ หรืออาจถึงขั้นปกครองโลกนี้ก็เป็นได้

แม้จะไม่สามารถปกครองช่องเขาเฉาเทียนได้ การใช้ทะเลสาบเทียนตี้เป็นฐานทดลองก็ไม่เลว ทะเลสาบเทียนตี้เป็นบ้านของผู้อาวุโสแห่งสำนักอมตะ แม้คนในทะเลสาบเทียนตี้จะไม่มากเท่าช่องเขาเฉาเทียน แต่ก็ไม่น้อยเลยทีเดียว

จากนั้น เหวินผิงเปิดข้อมูลส่วนตัวของเขา และพบว่าบัวเขียวปรโลกมีการเปลี่ยนแปลง

เขาพบว่ามีหมายเหตุใหม่เพิ่มขึ้นหลังบัวเขียวปรโลก

[กายาวิญญาณ: บัวเขียวปรโลก (สำเร็จขั้นต้น) กำลังย่อยไฟเทียนหลัน...]

“หืม?”

ที่แท้บัวเขียวปรโลกของตนได้กลืนกินไฟเทียนหลันไปแล้ว

หลังจากที่บัวเขียวปรโลกสามารถย่อยไฟเทียนหลันได้สำเร็จ มันก็ทะลุขึ้นสู่ระดับความสำเร็จขั้นสูงของฐานขอบเขตโดยสมบูรณ์

เมื่อเข้าสู่ระดับความสำเร็จขั้นสูง เหวินผิงก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย คล้ายกับได้รับการพลิกฟื้นใหม่ พลังของกายาวิญญาณเพิ่มขึ้นถึงสามหรือสี่เท่าตัว

ส่วนพละกำลังและพลังป้องกันที่บริสุทธิ์นั้น เหวินผิงรู้สึกว่ามันเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามเท่า สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกมั่นใจว่าต่อให้ถูกยอดฝีมือระดับขั้นสูงฟันใส่เต็มแรงหลายครั้ง เขาก็ไม่น่าจะเป็นอะไร

“นี่มันเกินไปแล้ว”

เหวินผิงรู้สึกอยากลองไปยังเขตต้องห้ามสุดท้ายเพื่อพิชิตด่านที่สามและนำกระบี่ชิงเหลียนกลับมา

“บัวเขียวปรโลกสามารถกลืนกินไฟวิญญาณได้หรือ?”

[ใช่แล้ว]

“กลืนได้ไม่จำกัดหรือ?”

[สามารถทำได้]

“เมื่อกลืนกินไฟวิญญาณเข้าไป บัวเขียวปรโลกก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นใช่ไหม?”

[ใช่ แต่ไฟวิญญาณในเขตไฟวิญญาณของหอปรุงโอสถแต่ละชนิดสามารถเก็บเกี่ยวได้เพียงครั้งเดียว]

“ก็ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าการบำเพ็ญเพียรแบบเดิม” เหวินผิงตัดสินใจทันทีว่า เมื่อมีเวลา เขาจะไปยังเขตไฟวิญญาณของหอปรุงโอสถก่อน

เริ่มจากเก็บไฟวิญญาณระดับปฐพีให้ครบทั้งหมด

จากนั้นจึงเป็นไฟวิญญาณระดับสวรรค์ขั้นต่ำ

ส่วนไฟวิญญาณระดับสวรรค์ขั้นนกลาง ตอนนี้การเก็บมาคงเป็นไปได้ยาก การที่เขาเก็บเพลิงบัวเขียวมาได้นั้นก็เพราะข้อได้เปรียบของบัวเขียวปรโลก ดังนั้นเขาจะยังไม่รีบเก็บไฟวิญญาณระดับนี้

เมื่อวางแผนการบำเพ็ญเพียรเรียบร้อยแล้ว เหวินผิงก็ออกจากหอปรุงโอสถ เตรียมมุ่งหน้าไปยังเขตต้องห้ามสุดท้ายอีกครั้ง

เพื่อพิชิตกระบี่ชิงเหลียน!

ในตอนนี้ เขาคิดว่าตนเองน่าจะสามารถผ่านด่านที่สามได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ออกจากหอปรุงโอสถ เหวินผิงก็พบกับศิษย์สำนักอมตะคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะรออยู่ที่ด้านนอกนานแล้ว

“ขอคารวะเจ้าสำนัก!”

เหวินผิงมองหน้าศิษย์คนดังกล่าว ซึ่งเป็นคนแปลกหน้า ก่อนจะเอ่ยถามว่า “พึ่งเข้ามาในสำนักหรือ?”

“ขอกราบเรียนเจ้าสำนัก ใช่แล้ว เดิมทีศิษย์เป็นคนตระกูลเฉินแห่งแดนฉิงเทียน หกวันก่อนมีโอกาสฝ่าด่านเขาวงกตแห่งปรมาจารย์และเข้ามายังสำนักอมตะ”

ศิษย์หนุ่มตอบด้วยความหวาดหวั่น เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเขา คือเจ้าสำนักอมตะที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนทั่วช่องเขาเฉาเทียน บุคคลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของช่องเขาเฉาเทียน!

เหวินผิงเอ่ยถามตรงประเด็นว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”

“อ๊ะ! เกือบลืมไป! ผู้อาวุโสเฉินให้ศิษย์รออยู่ที่นี่ และกำชับว่าหากท่านออกมา ให้แจ้งทันทีว่ามีเรื่องด่วน” ศิษย์หนุ่มกล่าวพร้อมใบหน้าที่เริ่มแดงจัดด้วยความกังวล

“ไปบำเพ็ญเพียรเถอะ” เหวินผิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างจนปัญญา เมื่อเห็นท่าทางขี้อายของศิษย์สำนักอมตะคนนั้น

หลังจากเขาเดินจากไป เหวินผิงหยิบหินส่งเสียงขึ้นมาและติดต่อเฉินเซี่ยทันที

เพียงชั่วอึดใจ หินส่งเสียงก็เชื่อมต่อสำเร็จ น้ำเสียงของเฉินเซี่ยที่แฝงความกังวลก็ดังขึ้น

“ท่านเจ้าสำนัก ท่านเพิ่งเสร็จสิ้นจากการบำเพ็ญเพียรหรือ?”

“ทำไม หรือฟ้าถล่ม?”

“ไม่ถล่ม”

“ฟ้าไม่ถล่ม แล้วเจ้าจะรีบร้อนไปทำไม”

“จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโย่วเสนอเงื่อนไขเมื่อสามวันก่อน เขาเพียงต้องการพบกับท่าน ไม่ว่าจะเป็นให้ท่านไปพบเขาหรือให้เขามาพบท่านก็ได้”

“เงื่อนไขอะไร?” หากข้อเสนอคุ้มค่า เหวินผิงก็ไม่ขัดที่จะพบจักรพรรดิผู้นั้น

แต่ต้องคุ้มค่าจริง ๆ

มิฉะนั้น เหวินผิงไม่คิดจะเสียเวลาบำเพ็ญเพียรเพื่อพบจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโย่วแต่อย่างใด

จริงสิ เกือบลืมไป ก่อนหน้านี้เพราะพลังจิตวิญญาณเกิดการทะลุขอบเขต เขามัวแต่บำเพ็ญเพียรจนไม่ได้พบอ๋องหลงหยางเลย หากข้อเสนอของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโย่วเหมาะสม ก็อาจรวมทั้งสองการพบเข้าเป็นครั้งเดียว

การพบหนึ่งคนหรือสองคนก็ไม่ต่างกัน

เฉินเซี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “อนาคตของหอจิ้นจือ สถานะของศาลาจื่อฉี และอนาคตของสำนักอมตะ หอจิ้นจือเติบโตอย่างต่อเนื่องจนไม่อาจหยุดยั้งได้ แต่หอตรวจการเป็นเสมือนภูเขาสูง ศาลาจื่อฉีได้พัฒนาเกลียววังวนรูปแบบใหม่ที่แม้แต่สำนักช่างพันฝีมือก็ไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นพวกเขาจะหาทางทำลายศาลาจื่อฉี ส่วนสำนักอมตะ จักรพรรดิผู้นี้กล่าวว่า เขาสามารถสนับสนุนสำนักอมตะให้กลายเป็นขุมกำลังระดับหกดาวสูงสุดได้”

“พอแล้ว ตอบกลับจักรพรรดิผู้นั้นไปว่า เราไม่ทำธุรกิจนี้ และแจ้งเรื่องที่จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโย่วกำลังสืบเรื่องซื่อหม่าเทียนเสวียนให้ซื่อหม่าเทียนเสวียนทราบด้วย” เหวินผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย

“อ้อ ติดต่ออ๋องหลงหยาง บอกเขาว่าข้ามีเวลาในคืนนี้”

“ได้ ท่านเจ้าสำนัก!” เฉินเซี่ยไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติม แม้เขาจะคิดว่าการพบจักรพรรดิอาจจะดีกว่า แต่เขายอมเชื่อฟังเหวินผิงอย่างไม่มีเงื่อนไข

เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวเจ้าสำนัก!

หลังจากตัดการเชื่อมต่อหินส่งเสียง เฉินเซี่ยก็รีบติดต่อซือคงจุยซิงทันที และถ่ายทอดคำพูดของเหวินผิงอย่างครบถ้วน

เมื่อซือคงจุยซิงได้ยินว่าธุรกิจไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ สีหน้าของเขาก็แข็งค้างทันที

เขาจะไปตอบจักรพรรดิอย่างไร?

จักรพรรดิจะไม่โกรธหรือ?

“ยากเกินไป…” ซือคงจุยซิงรู้สึกหนักใจจนแทบหายใจไม่ออก เขาถอยหลังสองก้าวและทรุดลงนั่งบนเก้าอี้

จนกระทั่งยามค่ำคืน ซือคงจุยซิงจึงรวบรวมกำลังใจและเข้าสู่วังหลวงเพื่อนำผลลัพธ์ไปแจ้งให้จักรพรรดิทราบ

ในขณะเดียวกัน ลำแสงสีขาวก็พุ่งผ่านกลุ่มเมฆและตกลงสู่จวนของอ๋องหลงหยาง

.

(จบตอน)

5 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด