บทที่ 1217 ไร้ผู้ต้านทานภายใต้ระดับครึ่งขั้นหยวนหยาง
ผู้แปล: มาลงสองตอนให้หายคิดถึง พรุ่งนี้จะกลับมาลงตามปกติแล้วครับ
.
.
.
-----------
เกิดอะไรขึ้น?
ขณะที่เหวินผิงกำลังฉงนเกี่ยวกับการหายไปของไฟเทียนหลัน เขาก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวแปลกประหลาดในบัวเขียวปรโลกของเขา
พูดตามตรง การบำเพ็ญบัวเขียวปรโลกนั้นยากกว่าเจตจำนงกระบี่ชิงเหลียนอย่างมาก จนถึงตอนนี้ยังคงอยู่แค่ขั้นต้นของฐานขอบเขตเท่านั้น และเพราะความยากนี้ เหวินผิงจึงแทบไม่ได้สนใจบัวเขียวปรโลกเลยในช่วงที่ผ่านมา
ท้ายที่สุดแล้ว การบำเพ็ญเจตจำนงกระบี่ชิงเหลียนให้ประโยชน์ต่อพลังของเขามากกว่า ส่วนการเพิ่มระฐาบนขอบเขตของบัวเขียวปรโลกนั้น ช่วยแค่ให้เขาทนทานต่อการโจมตีและมีพลังอดทนมากขึ้นเท่านั้น
พูดให้ชัดก็คือ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในสำนักอมตะ เหวินผิงแทบไม่เคยต้องออกแรงเอง อีกทั้งเมื่อเดินทางออกไป เขายังมีเรือเหาะคอยสนับสนุน ดังนั้นการเสียเวลาไปกับการบำเพ็ญบัวเขียวปรโลกจึงดูเหมือนเป็นการใช้เวลาอย่างสิ้นเปลือง
ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ ระบบเคยกล่าวไว้ว่าหากบัวเขียวปรโลกบำเพ็ญจนถึงขั้นสมบูรณ์ มันจะสามารถเชื่อมต่อดินแดนปรโลกวิญญาณกับโลกนี้ได้ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงโลกนี้โดยสิ้นเชิง
“ระบบ เจ้าบอกไว้ว่าหากดินแดนปรโลกวิญญาณเชื่อมต่อกับโลกนี้ จะเกิดอะไรขึ้นหรือ?” เหวินผิงถามอย่างเร่งรีบ
ระบบตอบทันที [เมื่อโลกวิญญาณเชื่อมต่อกับโลกนี้ วิญญาณจากโลกอื่นจะสามารถเข้าสู่โลกนี้ผ่านดินแดนปรโลกวิญญาณ กระบวนการนี้เรียกว่าการกลับมาเกิดใหม่ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้คนในโลกนี้มีความสามารถหลากหลายยิ่งขึ้น และไม่จำกัดแค่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการบำเพ็ญประตูชีพจรวิญญาณ]
“แล้วผลต่อไปคืออะไร?”
[โลกนี้จะเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ ผู้คนจะเหมาะสมกับการเป็นผู้หลอมโอสถ ผู้บำเพ็ญเวทมนตร์คาถา ช่างฝีมือแผนภาพวังวนศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่ผู้บำเพ็ญวิชาพลังเหนือธรรมชาติ]
“ใช่ ข้าจำได้แล้ว เจ้าเคยบอกว่าโลกนี้เป็นโลกปิด วิญญาณที่ตายไปจะกลับมาเกิดใหม่ในโลกนี้เท่านั้น ทำให้คนส่วนใหญ่เหมาะสมแค่การบำเพ็ญประตูชีพจรวิญญาณและการเป็นช่างฝีมือแผนภาพวังวนศักดิ์สิทธิ์”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เหวินผิงจึงเข้าใจว่า ทำไมคนที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญเวทมนตร์คาถาหรือการเป็นช่างฝีมือแผนภาพวังวนศักดิ์สิทธิ์ถึงมีน้อย และผู้ที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญพลังเหนือธรรมชาติยิ่งมีน้อยกว่า
ดูเหมือนว่าในอนาคตเขาจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาบัวเขียวปรโลกบ้าง เผื่อว่าวันหนึ่ง สำนักอมตะจะได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกนี้ หรืออาจถึงขั้นปกครองโลกนี้ก็เป็นได้
แม้จะไม่สามารถปกครองช่องเขาเฉาเทียนได้ การใช้ทะเลสาบเทียนตี้เป็นฐานทดลองก็ไม่เลว ทะเลสาบเทียนตี้เป็นบ้านของผู้อาวุโสแห่งสำนักอมตะ แม้คนในทะเลสาบเทียนตี้จะไม่มากเท่าช่องเขาเฉาเทียน แต่ก็ไม่น้อยเลยทีเดียว
จากนั้น เหวินผิงเปิดข้อมูลส่วนตัวของเขา และพบว่าบัวเขียวปรโลกมีการเปลี่ยนแปลง
เขาพบว่ามีหมายเหตุใหม่เพิ่มขึ้นหลังบัวเขียวปรโลก
[กายาวิญญาณ: บัวเขียวปรโลก (สำเร็จขั้นต้น) กำลังย่อยไฟเทียนหลัน...]
“หืม?”
ที่แท้บัวเขียวปรโลกของตนได้กลืนกินไฟเทียนหลันไปแล้ว
หลังจากที่บัวเขียวปรโลกสามารถย่อยไฟเทียนหลันได้สำเร็จ มันก็ทะลุขึ้นสู่ระดับความสำเร็จขั้นสูงของฐานขอบเขตโดยสมบูรณ์
เมื่อเข้าสู่ระดับความสำเร็จขั้นสูง เหวินผิงก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย คล้ายกับได้รับการพลิกฟื้นใหม่ พลังของกายาวิญญาณเพิ่มขึ้นถึงสามหรือสี่เท่าตัว
ส่วนพละกำลังและพลังป้องกันที่บริสุทธิ์นั้น เหวินผิงรู้สึกว่ามันเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามเท่า สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกมั่นใจว่าต่อให้ถูกยอดฝีมือระดับขั้นสูงฟันใส่เต็มแรงหลายครั้ง เขาก็ไม่น่าจะเป็นอะไร
“นี่มันเกินไปแล้ว”
เหวินผิงรู้สึกอยากลองไปยังเขตต้องห้ามสุดท้ายเพื่อพิชิตด่านที่สามและนำกระบี่ชิงเหลียนกลับมา
“บัวเขียวปรโลกสามารถกลืนกินไฟวิญญาณได้หรือ?”
[ใช่แล้ว]
“กลืนได้ไม่จำกัดหรือ?”
[สามารถทำได้]
“เมื่อกลืนกินไฟวิญญาณเข้าไป บัวเขียวปรโลกก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นใช่ไหม?”
[ใช่ แต่ไฟวิญญาณในเขตไฟวิญญาณของหอปรุงโอสถแต่ละชนิดสามารถเก็บเกี่ยวได้เพียงครั้งเดียว]
“ก็ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าการบำเพ็ญเพียรแบบเดิม” เหวินผิงตัดสินใจทันทีว่า เมื่อมีเวลา เขาจะไปยังเขตไฟวิญญาณของหอปรุงโอสถก่อน
เริ่มจากเก็บไฟวิญญาณระดับปฐพีให้ครบทั้งหมด
จากนั้นจึงเป็นไฟวิญญาณระดับสวรรค์ขั้นต่ำ
ส่วนไฟวิญญาณระดับสวรรค์ขั้นนกลาง ตอนนี้การเก็บมาคงเป็นไปได้ยาก การที่เขาเก็บเพลิงบัวเขียวมาได้นั้นก็เพราะข้อได้เปรียบของบัวเขียวปรโลก ดังนั้นเขาจะยังไม่รีบเก็บไฟวิญญาณระดับนี้
เมื่อวางแผนการบำเพ็ญเพียรเรียบร้อยแล้ว เหวินผิงก็ออกจากหอปรุงโอสถ เตรียมมุ่งหน้าไปยังเขตต้องห้ามสุดท้ายอีกครั้ง
เพื่อพิชิตกระบี่ชิงเหลียน!
ในตอนนี้ เขาคิดว่าตนเองน่าจะสามารถผ่านด่านที่สามได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ออกจากหอปรุงโอสถ เหวินผิงก็พบกับศิษย์สำนักอมตะคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะรออยู่ที่ด้านนอกนานแล้ว
“ขอคารวะเจ้าสำนัก!”
เหวินผิงมองหน้าศิษย์คนดังกล่าว ซึ่งเป็นคนแปลกหน้า ก่อนจะเอ่ยถามว่า “พึ่งเข้ามาในสำนักหรือ?”
“ขอกราบเรียนเจ้าสำนัก ใช่แล้ว เดิมทีศิษย์เป็นคนตระกูลเฉินแห่งแดนฉิงเทียน หกวันก่อนมีโอกาสฝ่าด่านเขาวงกตแห่งปรมาจารย์และเข้ามายังสำนักอมตะ”
ศิษย์หนุ่มตอบด้วยความหวาดหวั่น เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเขา คือเจ้าสำนักอมตะที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนทั่วช่องเขาเฉาเทียน บุคคลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของช่องเขาเฉาเทียน!
เหวินผิงเอ่ยถามตรงประเด็นว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”
“อ๊ะ! เกือบลืมไป! ผู้อาวุโสเฉินให้ศิษย์รออยู่ที่นี่ และกำชับว่าหากท่านออกมา ให้แจ้งทันทีว่ามีเรื่องด่วน” ศิษย์หนุ่มกล่าวพร้อมใบหน้าที่เริ่มแดงจัดด้วยความกังวล
“ไปบำเพ็ญเพียรเถอะ” เหวินผิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างจนปัญญา เมื่อเห็นท่าทางขี้อายของศิษย์สำนักอมตะคนนั้น
หลังจากเขาเดินจากไป เหวินผิงหยิบหินส่งเสียงขึ้นมาและติดต่อเฉินเซี่ยทันที
เพียงชั่วอึดใจ หินส่งเสียงก็เชื่อมต่อสำเร็จ น้ำเสียงของเฉินเซี่ยที่แฝงความกังวลก็ดังขึ้น
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านเพิ่งเสร็จสิ้นจากการบำเพ็ญเพียรหรือ?”
“ทำไม หรือฟ้าถล่ม?”
“ไม่ถล่ม”
“ฟ้าไม่ถล่ม แล้วเจ้าจะรีบร้อนไปทำไม”
“จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโย่วเสนอเงื่อนไขเมื่อสามวันก่อน เขาเพียงต้องการพบกับท่าน ไม่ว่าจะเป็นให้ท่านไปพบเขาหรือให้เขามาพบท่านก็ได้”
“เงื่อนไขอะไร?” หากข้อเสนอคุ้มค่า เหวินผิงก็ไม่ขัดที่จะพบจักรพรรดิผู้นั้น
แต่ต้องคุ้มค่าจริง ๆ
มิฉะนั้น เหวินผิงไม่คิดจะเสียเวลาบำเพ็ญเพียรเพื่อพบจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโย่วแต่อย่างใด
จริงสิ เกือบลืมไป ก่อนหน้านี้เพราะพลังจิตวิญญาณเกิดการทะลุขอบเขต เขามัวแต่บำเพ็ญเพียรจนไม่ได้พบอ๋องหลงหยางเลย หากข้อเสนอของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโย่วเหมาะสม ก็อาจรวมทั้งสองการพบเข้าเป็นครั้งเดียว
การพบหนึ่งคนหรือสองคนก็ไม่ต่างกัน
เฉินเซี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “อนาคตของหอจิ้นจือ สถานะของศาลาจื่อฉี และอนาคตของสำนักอมตะ หอจิ้นจือเติบโตอย่างต่อเนื่องจนไม่อาจหยุดยั้งได้ แต่หอตรวจการเป็นเสมือนภูเขาสูง ศาลาจื่อฉีได้พัฒนาเกลียววังวนรูปแบบใหม่ที่แม้แต่สำนักช่างพันฝีมือก็ไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นพวกเขาจะหาทางทำลายศาลาจื่อฉี ส่วนสำนักอมตะ จักรพรรดิผู้นี้กล่าวว่า เขาสามารถสนับสนุนสำนักอมตะให้กลายเป็นขุมกำลังระดับหกดาวสูงสุดได้”
“พอแล้ว ตอบกลับจักรพรรดิผู้นั้นไปว่า เราไม่ทำธุรกิจนี้ และแจ้งเรื่องที่จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโย่วกำลังสืบเรื่องซื่อหม่าเทียนเสวียนให้ซื่อหม่าเทียนเสวียนทราบด้วย” เหวินผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“อ้อ ติดต่ออ๋องหลงหยาง บอกเขาว่าข้ามีเวลาในคืนนี้”
“ได้ ท่านเจ้าสำนัก!” เฉินเซี่ยไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติม แม้เขาจะคิดว่าการพบจักรพรรดิอาจจะดีกว่า แต่เขายอมเชื่อฟังเหวินผิงอย่างไม่มีเงื่อนไข
เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวเจ้าสำนัก!
หลังจากตัดการเชื่อมต่อหินส่งเสียง เฉินเซี่ยก็รีบติดต่อซือคงจุยซิงทันที และถ่ายทอดคำพูดของเหวินผิงอย่างครบถ้วน
เมื่อซือคงจุยซิงได้ยินว่าธุรกิจไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ สีหน้าของเขาก็แข็งค้างทันที
เขาจะไปตอบจักรพรรดิอย่างไร?
จักรพรรดิจะไม่โกรธหรือ?
“ยากเกินไป…” ซือคงจุยซิงรู้สึกหนักใจจนแทบหายใจไม่ออก เขาถอยหลังสองก้าวและทรุดลงนั่งบนเก้าอี้
จนกระทั่งยามค่ำคืน ซือคงจุยซิงจึงรวบรวมกำลังใจและเข้าสู่วังหลวงเพื่อนำผลลัพธ์ไปแจ้งให้จักรพรรดิทราบ
ในขณะเดียวกัน ลำแสงสีขาวก็พุ่งผ่านกลุ่มเมฆและตกลงสู่จวนของอ๋องหลงหยาง
.
(จบตอน)