บทที่ 1 ยากจะมีชีวิตรอด ยากเหลือเกิน!
ราชวงศ์ต้าซุ่น เขตหนองน้ำเจียงไห่ เมืองอี้ซิง
แผ่นหินสีเขียวที่ถูกขัดจนเรียบเป็นเงาสะท้อนแสงจันทร์ราวกับกระจก ใบไม้แห้งร่วงหล่นแต่ไม่กองทับถมกัน ปลิวว่อนอยู่บนพื้น
สายลมพัดมาจากผิวแม่น้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล แล้วไหลผ่านช่องว่างบนหลังคา พัดเข้าซอกประตูเป็นสาย
ราวกับหญ้าที่ถูกลมพัด โค้งงอแต่ยังคงยืนตระหง่าน ในบ้านดินที่เงียบสงัด ร่างของเด็กหนุ่มที่ดูไร้ชีวิตเริ่มมีลมหายใจอีกครั้ง
…
หิว!
หิวมาก!
เหลียงฉวี่ลืมตาขึ้น สายตาพร่าเลือน รู้สึกเพียงว่าท้องปั่นป่วนราวกับถูกมีดกรีด งอตัวเป็นก้อนอยู่บนแผ่นไม้ที่เรียกว่าเตียง
"เหลียงฉวี่... เขาก็ชื่อเหลียงฉวี่เหรอ? แม่ตายตอนคลอด พ่อเพิ่งตายจากไข้หวัดเมื่อเดือนก่อน นี่มันจุดเริ่มต้นแบบไหนกัน? มีแค่เรือลำเดียวกับบ้านหลังเดียว"
"ไม่สิ แม้แต่เรือก็ถูกคนแย่งไป ไอ้จางหัวเกลื้อนมันรังแกเราที่ยังเด็ก... บ้าเอ๊ย หน้าตามันน่าขยะแขยงจริงๆ เหมือนคางคกกลายเป็นมนุษย์"
หลังจากฝืนทนความหิวจนเข้าใจเศษความทรงจำที่สับสน เหลียงฉวี่ก็มีสีหน้างุนงง
เขตหนองน้ำเจียงไห่ เลี้ยงดูชาวประมงนับหมื่น แล้วเขาดันมากลายเป็นชาวประมงตัวน้อยๆ คนหนึ่งงั้นเหรอ?
น้ำขุ่นสีเหลือง เสียงไซเรนแหลมหู เยื่อจมูกที่แสบร้อน แสงไฟฉายที่ส่องลงบนผิวน้ำเป็นวงกว้าง
ไม่ใช่ความฝัน
เขาจมน้ำตายจริงๆ ตอนพยายามช่วยคน...
ใช่แล้ว ทำงานเขียนรีวิวดึกดื่นจนถึงเที่ยงคืน จะเหลือแรงที่ไหนไปช่วยคน พอกระโดดลงน้ำปุ๊บ ก็จมดิ่งลงไปเลย
"น่าเสียดายที่ไม่มีลูก ไม่งั้นได้คะแนนพิเศษตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยแน่ ชนะตั้งแต่เส้นสตาร์ทเลย"
เหลียงฉวี่ทิ้งตัวลงบนเตียง เขารู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ราวกับชีวิตกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมาเป็นเพียงรอยใบไม้ร่วง ไม่เคยมีอยู่จริง
ไม่มีอะไรเลย ไม่มีสิ่งที่ชอบ ไม่มีความสำเร็จ
ชีวิตช่างไร้ความหมายเหลือเกิน
…
ครืดดด
เอาเถอะ ก็ยังมีความหมายอยู่นะ แต่หิวเหลือเกินโว้ยยย
ความหิวผลักดันให้เหลียงฉวี่อยากมีชีวิตอยู่ การข้ามมิติรักษาสายตาสั้นที่เคยหนักหนาของเขา เหมือนเช็ดหมอกออกจากแว่น ทำให้มองเห็นรอบข้างชัดเจนขึ้น แต่พอมองไปรอบๆ มีแค่เตียง เตาไฟ และโอ่งเปล่า
ความทรงจำของคนตายโจมตีอีกครั้ง
"ไปไป ไป ไอ้ตัวกาลกิณี ยังจะมาขอข้าวอีก ลูกข้าหกคนยังกินไม่อิ่มเลย"
"เจ้าก็รู้ ภาษีฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะ..."
ไม่ไหวแล้ว ต้องหาน้ำก่อน
ความเจ็บปวดในท้องกระตุ้นประสาทสมองตลอดเวลา เหลียงฉวี่แยกเขี้ยว ลงจากแผ่นไม้ที่เรียกว่าเตียง พยุงตัวเกาะกำแพงดิน เดินโซเซออกมานอกบ้าน แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็หอบหนัก ต้องนั่งพักที่ธรณีประตู
"อ่อนแอขนาดนี้เลยเหรอ"
เหลียงฉวี่เหงื่อเย็นผุด แม้แต่มือก็ไม่มีแรงกำ เขาไม่อยากเชื่อว่าร่างกายจะอ่อนแอขนาดนี้ หรือว่าเพิ่งมาก็จะต้องตายอีกครั้ง?
ความกลัวอันหนาวเย็นราวกับมือยักษ์บีบหัวใจของเขา
คำพูดที่ว่าตายมาครั้งหนึ่งแล้วจะไม่กลัวตาย ล้วนเป็นเรื่องโกหก ความกลัวตายของมนุษย์ถูกสลักอยู่ในยีน
กึกๆ
ล้อเกวียนบดบนแผ่นหินเขียว ส่งเสียงเฉพาะตัว
มีคนมา!
หัวใจของเขาแทบจะกระเด้งออกมาจากลำคอ
"อย่าไปยุ่ง เลี่ยงไปทางโน้น"
"อัปมงคล อย่าให้ผีอดตายมาเกาะ"
เขาฟังไม่ชัดว่าคนขับเกวียนคุยอะไรกัน ได้ยินแค่เสียงล้อเกวียนที่ห่างออกไป
คำพูดที่จะเอ่ยออกมาต้องกลืนกลับไป ความมืดบนถนนไม่มีที่สิ้นสุด เหลียงฉวี่รู้สึกเพียงความเย็นที่ผุดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ เลือดทั่วร่างค่อยๆ เย็นเฉียบ
เขาอยากไปหาบ่อน้ำ แต่ไม่มีแรงก้าวขาแม้แต่ก้าวเดียว
"อาสุ่ย นั่งตรงนี้ทำไมล่ะ?"
อาสุ่ย? ใครกัน? ฉันเหรอ? บักนี่ชื่ออาสุ่ยหรอ?
พอหันไปมอง ชายผิวคล้ำคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เหลียงฉวี่หลุดปากออกเองโดยอัตโนมัติว่า "ลุงเฉิน?"
ความทรงจำบอกเขาว่า ชายตรงหน้าชื่อเฉินชิ่งเจียง เป็นเพื่อนบ้านของเขา
ใช่แล้ว ณ ตอนนี้ฉันคืออาสุ่ย
สองชาติมีชื่อเหมือนกัน เพราะตัว 'ฉวี่' มีน้ำ ชาวบ้านเลยเรียกว่าอาสุ่ย
เหลียงฉวี่สูดหายใจ เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขาขี้เกียจขอความช่วยเหลือจากใคร จึงพูดว่า "ข้าเดินเหนื่อย นั่งพักหน่อย แล้วลุงเฉินล่ะ?"
"เพิ่งขายปลาที่ในเมืองกลับมา"
"ในเมือง?"
"ใช่ ช่วงนี้ปลาอ้วนขายง่าย ต้องไปขายในเมืองสิ ไปขายที่แพปลาขาดทุนหมด ข้าก็ไม่ได้เช่าเรือเขา จะขายให้ใครก็ได้ แต่เอ็งนี่ปกติดีๆ มานั่งพักที่หน้าประตูทำไม ไม่กลัวเป็นหวัดเหรอ?"
เฉินชิ่งเจียงอยากรู้จึงเข้ามาใกล้ขึ้น พอเห็นสภาพที่ซูบผอมราวกับต้นไม้แห้งก็ตกใจ
ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
ในความตกใจ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเหลียงฉวี่ไม่มีพ่อแล้ว คงหมดข้าวในบ้านมานานแล้ว จึงลูบอกโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วก็ลังเล ในอกมีขนมปังทอดไส้เนื้อชิ้นหนึ่ง เป็นของที่เขาเดินสิบกว่าลี้ เอาปลาไปขายในเมืองได้เงินเพิ่มแปดเหวิน ถึงได้ซื้อมาให้ลูกชายคนเล็กที่ร้องงอแงอยากกินลองชิม
ฟ้ามืดแล้ว ขนมปังเก็บไว้ในอกยังไม่ทันเย็น จู่ๆ จะเอาให้คนอื่น พูดว่าไม่เสียดายคงเป็นเรื่องโกหก
"พ่อ ทำไมพี่สุ่ยไม่มาเล่นกับข้าแล้วล่ะ?"
"เพราะว่าพ่อของพี่สุ่ยจากไปแล้ว เลยไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้า"
"ทำไมถึงจากไปล่ะ?"
"..."
เฉินซุ่นเป็นลูกชายคนโตของเฉินชิ่งเจียง อายุแค่หกขวบ ปกติชอบมาเล่นกับเหลียงฉวี่มาก
เฉินชิ่งเจียงนึกถึงตอนที่ตัวเองอายุสิบกว่าปี เหลียงฉวี่ก็อายุเท่าลูกของเขาตอนนี้ ชอบมาหาเขาเล่นเหมือนกัน ชั่วขณะนั้นภาพเงาคนราวกับซ้อนทับกัน
เฮ้อ...
เฉินชิ่งเจียงล้วงขนมปังออกมาจากอก แกะกระดาษน้ำมันออก
"อาสุ่ย กินเร็วเข้า"
"ลุงเฉิน! นี่...?"
เหลียงฉวี่ลูกกระเดือกกระเพื่อม คิดว่าจะเป็นทางตัน ไม่นึกว่าจู่ๆ จะมีความหวังผุดขึ้น เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลิ่นหอมฟุ้งชวนน้ำลายไหล จนมือที่สั่นเทารับมันมาเอง
ริมฝีปากที่แห้งแตกมีเลือดซึม รสเหล็กผสมกับกลิ่นหอมของแป้งน้ำมันและเนื้อ เขาอัดทั้งหมดเข้าปาก
น้ำลายที่เหลือน้อยนิดถูกบีบออกมา คลุกเคล้ากับขนมปัง ไหลลงสู่กระเพาะ เหลียงฉวี่กลืนไปหลายคำ พอมีแรง รีบกล่าวขอบคุณ
"กินเถอะ กินเสร็จรีบกลับบ้าน อย่าอยู่ที่หน้าประตูนานนัก"
"อืม"
เฉินชิ่งเจียงปัดกางเกงลุกขึ้นจากไป แต่อารมณ์กลับหนักอึ้งขึ้น
ตอนนี้ยังเป็นแบบนี้ พอถึงฤดูหนาวจะลำบากแค่ไหน? จะปรึกษาอาตี๋แบ่งข้าวให้สักหน่อยดีไหม? แต่ช่วงก่อนเอ้อร์เป่าป่วยหนัก จะแบ่งได้หรือ?
เสียงรองเท้าฟางถูกับถนนดิน ค่อยๆ ห่างออกไป
"ฮู่... อร่อยจริงๆ!"
เหลียงฉวี่กินขนมปังคำสุดท้าย มองแผ่นหลังของเฉินชิ่งเจียง แต่ร้องเรียกไม่ออก
ไม่กี่ปีมานี้บ้านเมืองสงบ ไม่มีภัยพิบัติ ข้าวหนึ่งสือราคาประมาณหนึ่งพันเหวิน
บ้านลุงเฉินมีห้าปาก หนึ่งแก่สองเด็กหนึ่งภรรยา หนึ่งฤดูต้องใช้ข้าวอย่างน้อยสี่สือ รวมแล้วต้องใช้เงินวันละสามสิบสามเหวินถึงจะพอซื้อข้าว
ฤดูใบไม้ผลิจับปลา ฤดูใบไม้ร่วงจับปลา ฤดูร้อนเลี้ยงปลา ฤดูหนาวสู้กับความหนาว ฤดูใบไม้ร่วงหญ้าอุดมปลาอ้วน ลุงเฉินมีรายได้วันละประมาณแปดสิบเหวิน ฟังดูไม่เลว แต่จริงๆ แล้วไม่พอเลย
ผ้า เกลือ ผัก ล้วนต้องใช้เงิน ภาษีประมงยังหนักกว่าภาษีเกษตรกร นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก ไม่ต้องพูดถึงที่ไกลๆ แค่ค่าจอดเรือที่ท่าวันละสองเหวิน ช่วงน้ำหลากถึงสี่เหวิน พอถึงฤดูหนาวรายได้ยิ่งลดฮวบ ระหว่างนั้นถ้าเจ็บป่วย...
เฉินชิ่งเจียงถือว่าเป็นชาวประมงที่ชำนาญ ภรรยาอาตี๋ขยัน สองคนช่วยกัน ชีวิตไม่ถือว่าลำบาก
แย่ตรงที่ช่วงก่อนลูกชายคนเล็กป่วยหนัก ตัวร้อนเหมือนถ่านไฟ ชีวิตที่ราบรื่นก็เริ่มขัดสน
แค่ขนมปังไส้เนื้อชิ้นเดียว คงเป็นของที่เฉินชิ่งเจียงอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบซื้อมาให้ลูก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขา
คนจริงใจเห็นได้ยามยาก
นี่แหละคนจริง!!
บนท้องฟ้ายามราตรี ดวงดาวระยิบระยับ ส่องประกายวิบวับ
เมืองที่มีมลพิษทางอากาศไหนเลยจะมีทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้ มันจึงเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า — นี่เป็นโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
เหลียงฉวี่พิงกำแพง ความเหงาถาโถมมาดั่งคลื่น ตอนนี้เขาจับปลาไม่เป็น ไม่มีแหล่งรายได้ใดๆ
เขาคิดไม่ออกว่าจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร จะหน้าด้านเอ่ยคำตอบแทนบุญคุณได้อย่างไร
ส่วนการเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาขาย... ก็ยาก
กวาดตามองถนนที่โล่งกว้าง บ้านเรือนหลายหลังมีหน้าจั่วแบบขั้นบันได เป็นแบบที่กำแพงสูงกว่าชายคา
แสดงว่าตอนนี้กำลังการผลิตพัฒนาถึงระดับหนึ่งแล้ว มากพอที่จะให้โครงสร้างอิฐหินแทนที่โครงสร้างไม้แบบโบราณ ชายคาไม่จำเป็นต้องยื่นออกมากันฝนปกป้องกำแพงอีกต่อไป สุดท้ายเพื่อป้องกันไฟไหม้ลุกลาม จึงเปลี่ยนเป็นโครงสร้างกำแพงกันไฟที่สูงกว่าชายคา
การที่โครงสร้างอิฐหินแพร่หลาย แสดงว่ากำลังการผลิตของราชวงศ์ต้าซุ่นอย่างน้อยก็เทียบเท่าราชวงศ์หมิงชิงในชาติก่อน
ร่างเดิมเป็นคนชั้นล่างสุดของชั้นล่าง แทบไม่เคยเห็นของดีๆ แต่เหลียงฉวี่รู้ว่า น้ำตาลขาว เกลือบริสุทธิ์ เหล็กรองเท้าม้า การถลุงเหล็กกล้า สบู่ พวกนี้คงไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว
ยิ่งกว่านั้นโลกนี้ไม่ธรรมดา ในความทรงจำ เมืองข้างๆ มีคนเก่งคนหนึ่ง สามารถชกทะลุหินแกรนิตสูงเท่าคนได้ ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
แต่มีความรู้ก็ไม่มีประโยชน์
ทำไมคนโบราณถึงชอบลูกผู้ชาย? ดูเรือที่ถูกแย่งไปก็รู้ ในบ้านไม่มีแรงงานที่แข็งแรงจริงๆ แล้วคนอื่นรังแกได้จนตาย
แค่เรือยังเป็นแบบนี้ ถ้าเก็บเงินได้จะยิ่งกว่านี้หรือเปล่า?
เด็กกำพร้าในสมัยโบราณ การมีชีวิตรอดยากเย็นราวกับปีนขึ้นสวรรค์ ไม่ถูกขายไป ก็รอความตาย
เฮ้ย ทำไมต้องเป็นจุดเริ่มต้นแบบชาวประมงด้วย ยังเป็นชาวประมงที่ถูกแย่งเรือซะด้วย เปลี่ยนเป็นชาวนาก็ยังดี!
ยาก ยาก ยาก!
ในขณะนั้นเอง ลมยาวอันทรงพลังพลันพุ่งผ่านสมองของเหลียงฉวี่ ความทรงจำมากมายนับไม่ถ้วนหมุนวน เหมือนกินลูกอมเปปเปอร์มินต์ทั้งห่อในวันร้อน เย็นจนทะลุกะโหลก
บ้า บ้า บ้า อะไรกันเนี่ย?
เหลียงฉวี่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
โชคดีที่ความรู้สึกมาเร็วไปเร็ว พอความผิดปกติในสมองค่อยๆ สงบลง ราวกับเมฆหมอกสลายไป เห็นท้องฟ้าอีกครั้ง
กระถางใบใหญ่ทรงแปลกปรากฏในห้วงความคิด ลวดลายลึกลับนับไม่ถ้วนสอดประสาน ทำให้เขาตาค้าง
ชื่อของมัน — เจ๋อติ่ง!
(จบบท)