ตอนที่แล้วตอนที่ 50 ประตูบานใหม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 52 กุญแจสำคัญ

ตอนที่ 51 ดินแดนแห่งความฝัน (ฟรี)


ตอนที่ 51 ดินแดนแห่งความฝัน

“ประตูบานใหม่ นั่นคืออะไร?”

[ เงื่อนไขยังไม่ถูกเติมเต็มจนครบถ้วน จึงยังไม่อาจบอกได้ ]

“?” สวี่จื้อ

“งั้นก็ได้”

ดูค่อนข้างมีหลักการดี

อย่างไรก็ตาม สวี่จื้อก็ค่อนข้างสนใจเกี่ยวกับ ‘ความก้าวหน้า’ ที่ถูกกล่าวถึง ซึ่งไม่เหมือนกับแต้มวิวัฒนาการของแฟมิเลียที่มีตัวเลขบ่งบอกอย่างชัดเจน

เธอได้กินแก่นพลังมอธไปไม่น้อยแล้ว ทำไมเธอยังไม่รู้สึกว่าความก้าวหน้าที่พูดถึงเลย?

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จริงๆ แล้วเธอไม่รู้ว่าผู้ปลุกพลังคนอื่นๆ เป็นยังไงเหมือนกัน

ความต้องการในการพัฒนาแต่ละระดับระหว่างมนุษย์ และแฟมิเลียนั้นใหญ่โตมากแค่ไหน? แก่นพลังที่เธอกินไปนั้น มากพอจะยกระดับแฟมิเลียได้มากกว่า 10 เลเวล

ผู้ปลุกพลังคนอื่นๆ นั้นต้องประสบชะตากรรมแบบเดียวกันกับเธอหรือเปล่า?

เมื่อไม่มีแก่นพลังมากนัก พวกเขาแก้ปัญหากันยังไง

เมื่อไม่มีใครให้เปรียบเทียบ สวี่จื้อก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่โชคดีที่ย่านเมืองเก่าจะได้ต้อนรับผู้คนกลุ่มใหญ่ในไม่ช้า เมื่อถึงตอนนั้น เธอน่าจะได้รู้ว่าตัวเองนั้นมีส่วนใดที่เหมือนหรือแตกต่างกับผู้ปลุกพลังบ้าง

ในตอนกลางคืนก่อนเข้านอน หลังจากให้แก่นพลังแก่แฟมิเลียแล้ว สวี่จื้อก็กินแก่นพลังมอธไปสองสามก้อน และใช้ผีเสื้อกลางคืนที่ปรากฏขึ้นเป็นช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น

พูดตามตรง เธอเริ่มคุ้นเคยกับผีเสื้อสีเทาเหล่านี้ที่ปรากฏตัวรอบๆ ตัวหลังจากกินแก่นพลังลงไปแล้ว พวกมันไม่แสดงความก้าวร้าว และไม่ส่งเสียงใดๆ นอกจากรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยหลังจากมองเป็นเวลานาน ก็ไม่มีอะไรอีก และเมื่อเวลาผ่านไป พวกมันก็จะค่อยๆ หายไปเอง

หลังจากกินแก่นพลังเล็กๆ น้อยๆ ก่อนนอน และดูผีเสื้อบินไปมาเพื่อให้หลับง่ายขึ้น

คืนนั้น สวี่จื้อก็ฝัน และเป็นฝันที่แปลกอยู่ไม่น้อย

ในความฝัน ดูเหมือนเธอจะเดินอยู่ในป่าสีขาวบริสุทธิ์ รายล้อมไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน และเธอกำลังยืนอยู่หน้าทางแยก

ความคิดของสวี่จื้อค่อนข้างพร่าเลือนเล็กน้อย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใครหรืออยู่ที่ไหน แม้แต่หนทางข้างหน้าก็ยังมองเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจน

เนื่องจากสภาพแวดล้อมสีขาวนั้นพร่างพราว ทำให้เธอแทบจะลืมตาไม่ขึ้น

ส่วนเท้าของเธอ ก็เหยียบบนบางสิ่งที่อ่อนนุ่ม ทำให้สวี่จื้อทรงตัวได้ยาก

ทันใดนั้น ผีเสื้อตัวหนึ่งที่เปล่งแสงจางๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ มันดูมีเอกลักษณ์ และสวยงามมากในสายจองสวี่จื้อ ดึงดูดความสนใจของเธอ ทำให้อดไม่ได้ที่ต้องยื่นมือออกไป

เมื่อปลายนิ้วที่ยื่นออกมาของเธอกำลังจะสัมผัสกับผีเสื้อตัวนั้น มันก็กระพือปีก และโบยบินไปข้างหน้า

สัญชาตญาณได้บอกสวี่จื้อว่าอย่าปล่อยให้มันหนี เธอจึงขยับขาอันหนักหน่วงของเธออย่างแรง พยายามวิ่งไปข้างหน้าเพื่อไล่ตาม อาจเป็นเพราะในความฝัน ระยะมองเห็นของเธอจึงแคบมาก รอบตัวเธอมีเพียงสีขาวโพลน มีเพียงผีเสื้อตัวนั้นที่ยังคงแจ่มชัด ราวกับหยดหมึกบนหน้ากระดาษขาว

ขณะที่เธอพยายามวิ่งไล่ตามผีเสื้อที่อยู่ตรงหน้า รอบตัวเธอก็เปลี่ยน มันกลายเป็นป่าที่เงียบงัน แต่ต้นไม้เหล่านี้ล้วนมีสีดำเงา และพวกมันดูเหมือนสัตว์ร้ายที่พยายามบิดเบือนประสาทสัมผัสของสวี่จื้อ

ความรู้สึกถึงอันตรายพวยพุ่งเข้ามาในจิตใจของเธอ เธอรู้สึกต้องพยายามวิ่งให้เร็วกว่านี้ ไม่เช่นนั้น เธอจะถูกบางสิ่งไล่ตามจนทัน

จากนั้นก็มีเสียงหนึ่งดันขึ้นอยู่ข้างหู เป็นเสียซ่าของทีวี หลังวิ่งมานาน สวี่จื้อก็เหนื่อยล้าจนแทบจะวิ่งต่อไม่ไหว เธออยากจะหยุด แต่เธอก็ไม่กล้า

จนกระทั่ง สวี่จื้อรู้สึกว่าเหนื่อยมากจนแทบจะหายใจไม่ออก ก็เหมือนมีบางอย่างจุดประกายขึ้นมา

“ทำไมฉันถึงยังไม่ตื่นอีก”

“นี่ฉันไม่ได้กำลังฝันอยู่หรอกเหรอ?”

ทันใดนั้น ความคิดดังกล่าวก็ปรากฏขึ้นในท่ามกลางจิตใจที่สับสนของสวี่จื้อ

เธอรู้ว่าตนกำลังฝัน แต่ความคิดนั้นก็ค่อยๆ พร่าเลือน มีแค่เสี้ยวจังหวะหนึ่งเท่านั้น ที่เธอพอจะรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่

เมื่อเธอรู้สึกเหนื่อยมากจนแทบหายใจไม่ออก ก็มีเสียงบางอย่างพยายามโน้วน้ามให้เธอหยุด

แต่สวี่จื้อก็รู้ดีว่าต้องรีบตื่น ไม่อยากหยุดได้ ไม่เช่นนั้น บางสิ่งที่เลวร้ายจะเกิดขึ้น!

เมื่อความเหนื่อยมาถึงขีดสุด ความฝันก็สลายไป และสวี่จื้อก็ตื่นจากความฝันพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง

แม้จะลืมตาตื่นได้สักพัก ดวงตาของสวี่จื้อก็ยังคงหมองคล้ำ แต่หัวใจของเธอที่เต้นอย่างบ้าคลั่งก็ค่อยๆ สงบลง

จิตใจของเธอว่างเปล่าอยู่พักหนึ่ง และในที่สุด สวี่จื้อก็ตระหนักได้ว่าได้ตื่นขึ้นมาจากฝันแล้ว

“ช่างเป็นความฝันที่แปลกมากจริงๆ”

แม้ว่าเธอจะพูดเช่นนั้น แต่ทันทีที่สมองกลับมาทำงาน เธอก็นึกขึ้นได้ว่าฝันนั้นคล้ายกับความฝันที่เสิ่นจินเหวินกล่าวถึง มันเป็นสัญลักษณ์ของพลังที่กำลังยกระดับ

นี่เป็นความรู้สึก หรืออาจจะเป็นสัญชาตญาณ ที่ใช้ความฝันเป็นตัวบ่งบอก

เพียงแต่ว่าการยกระดับพลังนั้นดูเหมือนจะไม่ราบรื่น และใช่ว่าจะมีความก้าวหน้าอย่างง่ายดาย มันมีอันตรายบางอย่างซ่อนเร้นอยู่

นั่นคือ สิ่งที่เธอพยายามหลบหนีจากความฝันก่อนหน้านี้

“ยุ่งยากจริงๆ ฉันคงไม่ต้องวิ่งแบบนี้ทุกรอบหรอกใช่มั้ย?”

สวี่จื้อถอนหายใจ แต่โชคดีที่เธอได้รู้สักทีว่าจะก้าวหน้าได้ยังไง

เมื่อดูเวลา เธอก็พบว่าเป็นเวลาตีห้าพอดี

เมื่อถึงเวลาแปดโมงเช้า หลังจากที่แฟมิเลียทุกตนกลับมาจากการล่า เธอวางแผนที่จะพาพวกมันไปที่ชุมชนวิลล่าหนานซาน

ก่อนไป สวี่จื้อได้ไปขอยืมดาบเล่มหนึ่งจากเสิ่นจินเหวิน ไม่รู้ว่าครอบครัวของอีกฝ่ายทำงานอะไร ถึงได้มีของมีคมเก็บอยู่ในบ้านมากมายขนาดนี้

สวี่จื้อเคยขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการใช้ดาบจากเสิ่นจินเหวินมาก่อน แต่เธอก็รู้เพียงเล็กน้อย และได้ทราบแค่เรื่องพื้นฐานเท่านั้น

หลังจากเก็บดาบไว้ในกระเป๋า เธอก็นั่งบนหลังของโก้วจื่อแล้วออกเดินทาง มุ่งตรงไปยังจุดหมาย ส่วนเสี่ยวเจินก็บินอยู่บนฟ้าเยื้องไปข้างหน้าค่อยนำทาง สำหรับเสี่ยวอี้ มันซ่อนตัวอยู่ในเงามืด

โชคดีที่ร่างกายของเธอแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากแล้วในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะนั่งอย่างมั่นคงบนร่างของโก้วจื่อที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง

ตอนนี้ เธอยังขับรถไม่เป็น แต่การเดินทางแบบนี้ก็ดูจะสะดวกกว่าไม่น้อย

เนื่องจากต้องเดินทางโดยใช้ทางอ้อมเพื่อหลีกเลี่ยงใจกลางเมือง แม้โก้วจื่อจะเร็ว ก็ยังกินเวลามากถึง 20 นาที

ทันทีเธอนอกชุมชนวิลล่า ด้วยกระแสจิตที่เชื่อมโยงความคิดของเธอกับแฟมิเลีย สวี่จื้อก็สัมผัสได้ว่าเสี่ยวเจินได้ค้นพบการวางกำลังของอีกฝ่ายพื้นที่บริเวณใกล้เคียงแล้ว

“พยายามปลดอาวุธหรือทำให้พวกเขาสลบ อย่าฆ่าหรือทำให้ถึงกับพิการ”

หลังจากได้รับคำสั่ง เสี่ยวอี้ และเสี่ยวเจินก็เริ่มเปิดฉากโจมตี

อีกฝ่ายไม่เห็นร่างของสวี่จื้อด้วยซ้ำ แต่ก็ถูกจัดการอย่างหมดจดแล้ว และถูกนำไปโยนไว้ในที่โล่ง เมื่อนอนอยู่ พวกเขาก็เห็นหมาป่าตัวนี้เดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ

สวี่จื้อเปิดใช้สกิลเนตรส่องความลับ และมองไปที่ผู้คนที่นอนอยู่บนพื้น จากนั้นสั่งด้วยน้ำเสียงสบายๆ “แจ้งจงหลิงฟาน”

เธอรู้ว่าคนเหล่านี้ต้องมีวิธีบางอย่างที่ทำให้สามารถสื่อสารกับจงหลิงฟานได้โดยตรง เพื่อปรับแผนตามสถานการณ์ และพยายามเอาชนะเธอ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาประเมินเธอต่ำเกินไป

ไม่งั้น ก็คงจะไม่ถูกตบคว่ำโดยแทบไม่มีทางต่อต้านแบบนี้หรอก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด