ตอนที่แล้ว17 - การขาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป19 - กลับบ้าน

18 - ทรัพย์สินส่วนบุคคล


ของบนแผงขายหมดเกลี้ยงแล้ว จูโซ่วอี้เก็บข้าวของบนแผงเรียบร้อย จากนั้นบอกให้จูผิงชวนพาจูผิงอันรออยู่ที่นี่ ส่วนตัวเองจะไปขายหนังกระต่ายที่ร้านขายของชำ

เนื่องจากจูโซ่วอี้เป็นลูกค้าประจำของร้านขายของชำ เขาจึงมั่นใจว่าร้านจะไม่เอาเปรียบ จูผิงอันเลยไม่ยืนกรานจะตามไปด้วย

ไม่นานพ่อก็กลับมา หนังกระต่ายทั้งหมดห้าผืน ขายได้ผืนละ 12 เหวิน รวมเป็น 60 เหวิน

เมื่อเห็นพ่อเก็บเงินทั้งหมดไว้ในตะกร้าหลัง จูผิงอันก็จ้องตาเป็นประกาย พร้อมพูดด้วยความดีใจว่า “ได้เงินเยอะเลย! กลับไปให้แม่ แม่ต้องดีใจแน่ๆ”

“ไม่ได้หรอก เงินพวกนี้เราจะเก็บไว้ได้แค่ 24 เหวิน ที่เหลือต้องให้ท่านย่าไป” จูโซ่วอี้ลูบหัวจูผิงอันพลางหัวเราะและอธิบาย

อ๋อ นึกออกแล้ว

กฎครอบครัวของตระกูลจูกำหนดไว้ว่า รายได้ที่ได้จากการใช้เวลาทำงานในตอนกลางวัน ซึ่งควรใช้ทำงานเกษตร จะต้องส่งให้ครอบครัวทั้งหมด ส่วนรายได้จากเวลานอกงานหรือกลางคืน ต้องส่งให้ครอบครัว 80%

ดังนั้น ของที่เก็บจากภูเขาในช่วงกลางวันจะต้องส่งเข้ากองกลางทั้งหมด ส่วนเงินจากของสานไม้ไผ่ที่พ่อทำในตอนกลางคืน จะต้องส่งให้ 80%

รายได้จากการขายหนังกระต่าย 60 เหวินต้องส่งเข้ากองกลางทั้งหมด รายได้จากของป่า 50 เหวินก็เช่นกัน ส่วนของสานไม้ไผ่ที่ขายได้ 120 เหวิน พ่อจะต้องส่งเข้ากองกลางประมาณ 100 เหวิน

กล่าวได้ว่ารายได้ส่วนใหญ่ของพ่อจากการทำงานหนักครั้งนี้ต้องส่งเข้ากองกลางเกือบ 200 เหวิน ถ้าไม่ได้เงินจากดอกสายน้ำผึ้ง ท่านพ่อคงเหลือเงินเพียง 20 เหวินเท่านั้น

ตามที่จูผิงอันรู้ บ้านของพี่ใหญ่ไม่เคยส่งเงินให้กองกลางเลย กลับกัน พี่ใหญ่ยังเบิกเงินจากกองกลางบ่อยๆ เช่น ค่าหนังสือเรียน ค่าหมึก และค่าใช้จ่ายในการพบปะเพื่อนฝูง บ้านลุงสามก็ส่งเงินบ้าง แต่ไม่มาก ส่วนลุงสี่และป้าสี่นั้น พยายามหาทางดึงเงินจากกองกลางเสมอ

ถึงจะส่งเงินเข้ากองกลางมาก แต่ท่านปู่ท่านย่ากลับลำเอียง เข้าข้างบ้านลุงใหญ่และบ้านอาสี่บ่อยครั้ง เวลามีปัญหาในครอบครัว ท่านย่าก็มักจะให้ท่านพ่อออกเงิน ซึ่งท่านพ่อก็ยินดีให้โดยไม่ปฏิเสธ ทำให้ท่านแม่โมโหและทะเลาะกับท่านพ่อหลายครั้ง

ความกตัญญูเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ก็ต้องดูแลครอบครัวของตัวเองด้วย พี่ใหญ่ก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว ต้องเก็บเงินไว้เป็นค่าสินสอด ถ้าทานปู่ท่านย่าเอาเงินไปสนับสนุนลุงใหญ่สอบจอหงวนจนหมด คงช่วยเหลือเราไม่ไหว นอกจากนี้ ถ้าบ้านเกิดปัญหาไม่คาดคิด ก็ต้องเตรียมพร้อมไว้

ดังนั้น ถึงเวลาต้องล้างสมองท่านพ่อแล้ว!

“ทำไมต้องให้ท่านย่าด้วยล่ะ?” จูผิงอันเงยหน้าถาม

“เพราะเราต้องกินข้าวไง ข้าวเราก็กินของบ้านนี่แหละ” พ่อของเขาอธิบาย

จูผิงอันเบะปาก “ดอกจิ่นฮวาท่านย่าสัญญาว่าจะให้ผมนะ งั้นเงินนี้ข้าต้องเก็บไว้ ส่วนเงินกับเหรียญเงินนั่น คนอื่นเขาให้ข้า”

จูโซ่วอี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้า เพราะตอนกลับจากภูเขา ทุกคนล้อเลียนดอกไม้ที่จูผิงอันเก็บมา และท่านย่าก็พูดเองว่าเงินจากดอกไม้ให้เป็นของจูผิงอัน

“ได้ งั้นเก็บไว้เถอะ” พ่อของเขาตอบ

“ท่านพ่อ เวลาขายของสานไม้ไผ่ในตลาด ปกติได้เท่าไหร่ แล้วให้ท่านย่ากี่เหวิน?” จูผิงอันลองถามแบบสบายๆ

พ่อของเขาตอบขณะเก็บข้าวของ “ปกติขายได้ครั้งละ 60-70 เหวิน ให้ย่าไปประมาณ 50 เหวิน”

“งั้นคราวนี้เราขายของสานไม้ไผ่เพิ่มให้ท่านย่าอีกสิบเหวิน รวมเป็นหกสิบเหวินดีไหมขอรับ” จูผิงอันพูดด้วยท่าทางของเด็กดีที่กตัญญู

แบบนี้ รายได้คราวนี้นอกจากเงินจากดอกจิ่นฮวาแล้ว จะเหลือเก็บไว้ได้ถึง 60 เหวิน

“หา?” พ่อของเขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะ “ไม่ใช่นับแบบนั้นหรอกเจ้าจื้อ ครั้งนี้ของสานไม้ไผ่เราขายได้เยอะนะ”

“ใช่แล้วล่ะ จื้อเอ๋อร์ ยังเด็กอยู่เลย นับเลขยังไม่คล่อง” พี่ชายใหญ่จูผิงชวนช่วยเสริม

แผนนี้ใช้ไม่ได้ จูผิงอันจึงต้องเปลี่ยนวิธี

“ป้าสะใภ้ใหญ่กับอาสะใภ้สี่มีปิ่นเงินกันทุกคนเลย ท่านแม่อยากได้มานานแล้ว แต่ก็ยังเก็บเงินไม่พอ” จูผิงอันพูดพลางทำท่าทางเหมือนกำลังนึกภาพแม่ของเขามองดูป้าสะใภ้กับอาสะไภ้ด้วยความอิจฉา สื่ออารมณ์จนดูน่าเห็นใจ

จูโซ่วอี้นึกถึงเฉินซื่อที่บ้าน ซึ่งเสียสละเพื่อครอบครัวมามาก ก็รู้สึกว่านางควรได้อะไรที่ทำให้มีความสุขบ้าง อีกอย่าง คราวนี้เขาก็ส่งเงินให้ท่านย่าเพิ่มจากปกติถึงสิบเหวินแล้วนี่

สุดท้ายจูโซ่วอี้ก็ยอมพยักหน้า ตกลงแบ่งเงินอย่างระมัดระวัง ส่วนที่ต้องส่งให้ครอบครัวก็แยกไว้ ส่วนที่เหลือรวมถึงเงินจากดอกจิ่นฮวา ก็ห่ออย่างดีใส่ไว้ในตะกร้าหลังของจูผิงอัน แล้วใช้หญ้าที่วัวกินเหลือปิดบังไว้

ก่อนกลับบ้านจากตัวเมือง จูโซ่วอี้แวะซื้อของในตลาดเพิ่ม ทั้งน้ำมัน เกลือ ซอส น้ำส้มสายชู และชา รวมถึงของใช้ในชีวิตประจำวันอีกบางอย่าง

ส่วนจูผิงอัน ซื้อซาลาเปาไส้เนื้อสองลูก ห่อกระดาษอย่างดีแล้วซ่อนไว้ก้นตะกร้า

พ่อของเขาคิดว่าเป็นเพราะเด็กอยากกิน เลยถามขึ้นมา

ไม่คาดคิดว่าจูผิงอันจะตอบว่า “ซาลาเปาไส้เนื้อเมื่อเช้าอร่อยมาก ข้าอยากเอากลับไปให้ท่านแม่ชิมบ้าง”

คำตอบนี้ทำเอาจูโซ่วอี้ตัวร้อนวูบเล็กน้อย ลูกชายคนเล็กยังอุตส่าห์คิดถึงแม่เขา แต่เขากลับไม่ได้นึกถึงที่จะซื้ออะไรให้นาง

โชคยังดีที่ยังไม่สายเกินไป ถึงเงินในมือตอนนี้จะไม่มากพอซื้อเครื่องประดับให้เฉินซื่อ แต่ซื้อผ้ากลับไปให้นางตัดชุดใหม่ได้ก็ยังดี นึกถึงภาพเฉินซื่อใส่เสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว จูโซ่วอี้ถึงกับยิ้มปากกว้างออกมา

ใกล้ๆ แผงที่ขายของไม้ไผ่ มีร้านขายผ้าอยู่ร้านหนึ่ง จูโซ่วอี้พาลูกชายสองคนเดินเข้าไปในร้าน ร้านนี้ใหญ่กว่าร้านขายยาเสียอีก เพียงเดินเข้ามาก็รู้สึกตาพร่าไปกับผ้าหลากสีสันที่จัดเรียงไว้

“ลูกค้ามาซื้อผ้าหรือขอรับ เชิญทางนี้เลย”

คนงานร้านพูดอย่างคล่องแคล่ว และไม่ได้พาจูโซ่วอี้ไปโซนผ้าไหม แต่พาไปยังโซนผ้าฝ้ายที่ราคาย่อมเยาแทน

“ผ้าฝ้ายของเรานี่ของแท้จากซ่งหู่เลยขอรับ นำเข้าตรงจากมณฑลซงเจียง คุณภาพดี ทนทาน สวยงาม จะตัดชุดหรือทำผ้าห่มก็ขายดีทั้งนั้น ราคาก็สมเหตุสมผลมาก” คนงานร้านพูดอย่างชำนาญราวกับรู้ใจจูโซ่วอี้ และเน้นย้ำเรื่องราคาที่จับต้องได้

“ผ้าผืนนี้ราคาเท่าไหร่?” จูโซ่วอี้ชี้ไปที่ผ้าฝ้ายลายดอกท้อพื้นขาวผืนหนึ่ง

“120 เหวินต่อผืนขอรับ” คนงานตอบ “ผ้าผืนนี้ตัดเสื้อได้ 8 ตัว ถ้าตัดเป็นกระโปรงกับกางเกงจะได้ถึง 12 ตัวเลย ถือว่าคุ้มมากๆ ขอรับ”

ในสมัยหมิง ผ้าหนึ่งผืนยาวเท่ากับสี่จั้ง (หนึ่งจั้งยาวสิบฟุต หรือประมาณ 3.1 เมตรในหน่วยปัจจุบัน) ดังนั้นผ้าหนึ่งผืนจะยาวประมาณ 12 เมตร

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด