บทที่ 20 ออกเดินทาง
ซูไป๋อีไตร่ตรองถ้อยคำของหนานกงซีเอ๋อร์อย่างละเอียดลึกซึ้ง ก่อนจะสะดุ้งตกใจเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางใจ ร่างกายสั่นสะท้านกล่าวด้วยความตกตะลึงว่า
“ศิษย์พี่หมายความว่า ระหว่างเราสองคน มีความแค้นฆ่าพ่อฆ่าแม่อย่างนั้นหรือ?”
หนานกงซีเอ๋อร์ไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับต่อคำกล่าวนี้ นางก้าวเข้าใกล้หนึ่งก้าว แล้วกระซิบข้างหูซูไป๋อีว่า
“ใช่แล้ว บางทีวันหนึ่งข้าอาจจะฟันกระบี่ปลิดชีพเจ้าเสียก็เป็นได้”
ทว่า ซูไป๋อีไม่ได้สัมผัสถึงเจตนาฆ่าจากคำพูดนั้น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งใจก็นึกอยากถามต่อ ทว่าหนานกงซีเอ๋อร์กลับหมุนตัวเดินขึ้นเขาไปแล้ว เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็หันกลับมาพูดเมื่อเห็นว่าซูไป๋อีไม่ได้ตามมา
“ไม่ว่าจะร่วมเดินทางไปสืบคดี หรือกลับไปยังสำนักศึกษา เส้นทางที่เจ้าเลือกวิ่งมานั้นล้วนผิดหมดทั้งสิ้น จะไม่ตามมาหรือ?”
“ศิษย์พี่! ข้าจะไปสืบคดีกับพวกท่าน!” ซูไป๋อีไม่ลังเลอีกต่อไป รีบก้าวตามไป
หนานกงซีเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าว
“ไม่ฟังคำของอาจารย์เจ้าแล้วหรือ?”
ซูไป๋อีโบกมือพลางกล่าว
“อาจารย์ข้าชอบโกหกเป็นที่สุด คำพูดของเขาไว้ใจไม่ได้เลยสักนิด”
หนานกงซีเอ๋อร์ส่ายหน้าอย่างจนใจ
“เจ้าไม่ต้องอธิบายหมดเช่นนี้ก็ได้”
บนยอดเขา ณ เวลานั้น เซี่ยอวี่หลิงและเฟิงจั่วจวินกำลังพนันกันอยู่
“ซูไป๋อีเลือกลงเขาเดินอ้อมไป นั่นก็ไม่เลวหรอก เจ้านั่นเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวจะตาย คงไม่กลับมาแล้ว”
เฟิงจั่วจวินที่นอนเอกเขนกอยู่บนพื้น เอ่ยสรุปหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน
“เขาจะกลับมาแน่” เซี่ยอวี่หลิงมองท้องฟ้าและดวงดาว พร้อมเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ลมวสันต์เย้ายวนใจ ควบอาชาชมบุปผา หากเขาไม่กลับมา แม้ข้าจะต้องกลับไปยังสำนักศึกษา ข้าก็จะลากตัวเขากลับมาให้ได้”
เฟิงจั่วจวินถามด้วยความสงสัย
“พวกเจ้าเคยพูดถึงยอดอัจฉริยะของตระกูลเซี่ย คนที่เป็นเจ้าหอหมอกพิรุณเซี่ยคั่นฮวานั้นมิใช่หรือ? ข้าได้ยินว่าเขาตายไปแล้วในการศึกกับลัทธิมรรคาสวรรค์”
เซี่ยอวี่หลิงเอ่ยเสียงหนักแน่น
“สำนักสวรรค์ซ่างหลินบอกกับตระกูลเซี่ยของข้าว่าเขาตายไปแล้ว แต่ข้าไม่เคยเชื่อ หากท่านอานั้นจากไปง่ายดายถึงเพียงนั้น เขาคงไม่ใช่อัจฉริยะที่ตระกูลเซี่ยรอคอยถึงหนึ่งร้อยปี”
เฟิงจั่วจวินกล่าวเสียงเยือกเย็น
“แต่เท่าที่ข้ารู้ เขาถูกขับออกจากตระกูลเซี่ยตั้งนานแล้ว”
เซี่ยอวี่หลิงถอนหายใจเบาๆ
“นี่คือเหตุผลที่ตระกูลเซี่ยของข้าตกต่ำจากจุดสูงสุดของสี่ตระกูลใหญ่ในอดีตมาจนถึงจุดนี้ เพราะรากเหง้าได้ผุกร่อนหมดสิ้นแล้ว หลังอัจฉริยะอย่างท่านอาถูกขับไล่ออกจากตระกูล”
ทันใดนั้น เฟิงจั่วจวินที่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็พลิกตัวลุกขึ้นยืนพร้อมถาม
“ศิษย์พี่กลับมาแล้วหรือ? แล้วซูไป๋อีล่ะ? เขาไปแล้วหรือ?”
ซูไป๋อีที่วิ่งตามมาจากข้างหลังกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็ไม่อาจทิ้งศิษยพี่ทั้งสองได้ การเดินทางครั้งนี้ยากลำบาก ข้าซูไป๋อีขอถวายแรงกายแรงใจดุจม้า”
เฟิงจั่วจวินเดินเข้ามา ลูบหัวซูไป๋อี แล้วตบไหล่เขาพร้อมเอ่ยอย่างงุนงง
“ดูท่าเจ้าคงไม่โดนซ้อมมานะ?”
“ศิษย์พี่ เราจะไปที่ไหนต่อ?” เซี่ยอวี่หลิงถาม
หนานกงซีเอ๋อร์ตอบขณะขึ้นไปนั่งบนรถม้า
“เมืองต้าเจ๋อ สำนักเมฆาสางสวรรค์”
ซูไป๋อีขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไฉนฟังดูคุ้นหูนัก”
เฟิงจั่วจวินกระพริบตา
“บ้านข้าเอง”
ในเมืองเฉียนถัง สิบลี้รอบเมืองสำนักศึกษา
“พวกเขาคงมุ่งหน้าไปสำนักเมฆาสางสวรรค์ ตามข่าวของผีเสื้อวายุ สำนักเมฆาสางสวรรค์เพิ่งปิดประตูและปลีกตัวจากโลกภายนอก คงมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่”
วีรชนหลี่เหยียนชี นั่งอยู่หน้าตำรา ม้วนกระดาษในมือก่อนเผาในเปลวเทียน “มีใครไปได้บ้าง?”
วีรชนโจวเจิ้งที่นอนพิงหมอน ยกแขนและขาที่พันด้วยผ้าขาวขึ้น กล่าวเพียงสั้นๆ
“แม้นอยากช่วยแต่ไร้กำลัง”
“ใครอนุญาตให้เจ้าและหลี่กุ่ยประลองกัน? เมื่อครั้งอดีตเขาเคยเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับตำแหน่งเจ้าสำนักวีรชนจื่อหย่า หากไม่มีการห้ามฝึกยุทธ์สิบปีนี้ เกรงว่าเขาคงติดสิบอันดับแรกในทำเนียบจอมยุทธไปแล้ว” หลี่ไว่กล่าวเย้ยหยัน
ขณะแววตามองทั้งสองคนที่แขนและขาหัก “ตอนนี้เจ้าและหลี่กุ่ยบาดเจ็บหนักไปทั้งคู่ ศิษย์น้องยามนี้ก็ไม่มีใครปกป้องได้อีกแล้ว”
“เจ้าจะไปเองไม่ได้เชียวหรือ?” โจวเจิ้งย้อนถาม
“ข้าเป็นเพียงปราชญ์ศึกษาตำราผู้เปราะบาง” หลี่ไว่ถอนหายใจเบาๆ “ข้าไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด?”
“ปราชญ์ศึกษาตำราผู้เปราะบางรึ? แต่เจ้าหอหมื่นบุปผาที่ตีนเขาไม่คิดเช่นนั้น!” โจวเจิ้งโต้กลับด้วยความโมโห
ปัง!
“พอได้แล้ว!” หลี่เหยียนชีปาดมือตบโต๊ะลั่น ลุกขึ้นยืนพลางกล่าวเสียงดุดัน “พวกเจ้าจงใจเล่นละครนี้เพื่อบังคับให้ข้าไปเองใช่หรือไม่?”
“มิกล้า” โจวเจิ้งและหลี่ไว่ก้มหน้าลง ตอบพร้อมกัน
“เช่นนั้นใครในพวกเจ้าสองคนจะไป?” หลี่เหยียนชีถามต่อ
โจวเจิ้งยกแขนขึ้น พร้อมกล่าวถ้อยคำเดิม “แม้นอยากช่วยแต่ไร้กำลัง”
หลี่ไว่ถอนหายใจอีกครั้ง “ข้าเป็นเพียงปราชญ์ศึกษาตำราผู้เปราะบางเท่านั้น”
“เยี่ยม! พวกเจ้าไม่ได้อยากขัดขวางศิษย์น้องเลยแม้แต่น้อย” หลี่เหยียนชีกล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะ
“ตอนที่ข้าบอกว่าจะไปขัดขวางพร้อมพวกเจ้า โจวเจิ้งเจ้ากลับบอกว่าไปเพียงคนเดียวก็พอ แต่เมื่อเผชิญหน้าหลี่กุ่ยกลับไม่เรียกพวกเราไปช่วย เจ้ายอมบาดเจ็บเพื่อปล่อยศิษย์น้องไป ตอนนี้ยังโยนหน้าที่ให้กันอีก ช่างเถิด!”
“พี่ใหญ่” โจวเจิ้งกล่าวด้วยความอ่อนใจ “ศิษย์น้องเติบโตแล้ว บางเรื่องเราก็ยากจะขัดขวางนางได้”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ?” หลี่เหยียนชีเอนกายลงกับเก้าอี้ ใช้มือนวดขมับตัวเอง
“แต่ศัตรูที่นางต้องเผชิญนั้นเก่งกาจเกินไป หากศิษย์พี่รองยังอยู่ บางทีพวกเราอาจมีโอกาส แต่ตอนนี้…”
“ศิษย์พี่รอง…” หลี่ไว่พึมพำอย่างแผ่วเบา
“ข้าจะส่งข่าวถึงอาจารย์ ให้ท่านตัดสินใจเอง” หลี่เหยียนชีหยิบพู่กันขึ้น เริ่มร่างจดหมาย
ณ ยอดเขาเหวยหลง สำนักสวรรค์ซ่างหลิน
“ไม่ได้มาเยือนเสียนาน แต่สำนักสวรรค์ซ่างหลินยังคงยิ่งใหญ่อลังการสมกับเป็นสำนักอันดับหนึ่งของใต้หล้า ดูสิ พื้นปูทองแท้หรือไร? ช่างมั่งคั่งเสียจริง ขูดเพียงนิดก็คงพอให้ข้าร่ำสุราได้ทั้งปี” เซี่ยคั่นฮวาในโซ่ตรวน กล่าวพลางมองไปรอบๆ ด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“โอ้! นั่นมิใช่หอหมอกพิรุณของข้าหรอกหรือ? ไฉนดูทรุดโทรมถึงเพียงนี้? ยังมีเจ้าหออยู่หรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว” เฮอเหลียนซีเยว่ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย ยืนอยู่เคียงข้าง
“หลายปีที่ข้าไม่อยู่ เจ้าคงเปล่าเปลี่ยวมากกระมัง” เซี่ยคั่นฮวากล่าวอย่างสะท้อนใจ
“ก็ไม่เลวนัก” เฮอเหลียนซีเยว่ยักไหล่เล็กน้อย
“สามหอ สี่ตำหนัก พอข้าไม่อยู่ หอหมอกพิรุณที่แสนสำราญที่สุดหายไป เหลือเพียงหอลมวสันต์ของเจ้า และหอฝันพิสุทธิ์ที่ไร้สีสันที่สุด ช่างลำบากเจ้านัก” เซี่ยคั่นฮวาถอนหายใจยาว
“เจ้าจะพาข้าไปที่ใดกัน? ข้าเป็นคนขโมยสมบัติล้ำค่าของสำนักสวรรค์ ควรจะถูกโยนเข้าสถานจองจำทันทีมิใช่หรือ?”
“ถึงแล้ว” เฮอเหลียนซีเยว่โยนปลายโซ่ตรวนในมือเล็กน้อย ก่อนถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เซี่ยคั่นฮวาเงยหน้ามองป้ายชื่อของอาคารเบื้องหน้า พลางอ่านออกเสียง
“หอฝันพิสุทธิ์”
ชายในชุดขาวผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหน้า เสียงอ่านชื่อหอของเซี่ยคั่นฮวาทำให้ชายผู้นั้นหันกลับมา ร่างของเขาผอมแห้ง ใบหน้าซีดขาวราวคนป่วย เขาไอเบาๆ สามครั้ง ก่อนเอ่ยขึ้น
“ไม่ได้พบกันนาน ท่านเจ้าหอเซี่ย”
“ไป๋จี๋เล่อ” ดวงตาของเซี่ยคั่นฮวาหดแคบลงเล็กน้อย