บทที่ 198 ร่างศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาว
หอจารึกยังคงปลอดภัยไร้ความเสียหาย ตลอดคืนไม่มีเหตุการณ์อื่นใดเกิดขึ้นเพิ่มเติม
“จะให้ถึงขนาดระเบิดเตาหลอมแล้วให้ไฟลุกไหม้ขึ้นมาจริงๆจึงจะเป็นโอกาสแห่งโชคลาภหรือ?” เล่ยจวินหัวเราะเบาๆพร้อมส่ายศีรษะ
เขาเดินกลับไปยังบริเวณที่ศิษย์เมื่อคืนพยายามศึกษาการหลอมยา พลางมองไปรอบๆ
หนังสือที่จัดเก็บในบริเวณนี้ไม่ใช่คัมภีร์เต๋าที่เป็นวิชาลับเฉพาะของสำนัก ส่วนใหญ่เป็นบันทึกโบราณที่สะสมมาในช่วงหลายปี
เล่ยจวินครุ่นคิดอยู่ในใจก่อนจะเริ่มค้นหาในบันทึกเหล่านั้น
หลังจากค้นหาอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็พบสิ่งที่ต้องการ
แม้จะไม่ใช่โอกาสระดับสี่ที่เขาหวังไว้ในตอนแรก แต่ก็ตรงกับที่เขาคาดเดาไว้ล่วงหน้า
ต่อมาเมื่อชู่คุนศิษย์น้องในสายเดียวกันเดินเข้ามาในหอจารึก เล่ยจวินก็ยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้เขาพร้อมพูดว่า
“ลองดูสิว่ามีเนื้อหาที่เจ้าใช้ได้หรือไม่”
ชู่คุนรับหนังสือมา แล้วพบว่าเป็นบันทึกการเดินทางของผู้คนในอดีต
บางส่วนในนั้นได้บันทึกเกี่ยวกับปรากฏการณ์ เซียนหลัวล้อมสุริยัน ซึ่งหายสาบสูญไปนานในโลกนี้
“ใช่เลย! นี่แหละ!” ชู่คุนตื่นเต้นจนกล่าวออกมาอย่างดีใจ
เล่ยจวินพยักหน้าเบาๆ
พื้นที่ที่เกือบได้รับผลกระทบจากการระเบิดของเตาหลอมเมื่อคืนนั้น เขาและชู่คุนยังไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบ
หากเกิดไฟไหม้ขึ้นจริงๆและหนังสือในบริเวณนั้นถูกเผาจนสูญหาย ทั้งคู่ก็คงไม่มีทางรู้เลยว่าพลาดสิ่งที่กำลังค้นหาไป
โชคดีที่ตอนนี้หนังสือเล่มนั้นได้รับการรักษาไว้ ชู่คุนจึงพบสิ่งที่ต้องการ
สิ่งที่เรียกว่า “ต้นหลิวที่ไม่ได้ตั้งใจปลูกกลับกลายเป็นร่มเงา”
แล้วโอกาสระดับสี่ที่กล่าวถึงใน เซียมซีระดับกลาง จะอยู่ที่นี่หรือไม่?
เล่ยจวินยังรู้สึกสงสัยในใจ แต่เขาไม่ได้ถามรายละเอียดเกี่ยวกับความลับของชู่คุนมากนัก หลังจากพูดคุยกันไม่กี่คำก็ส่งชู่คุนออกไป
หลังจากนั้น ชีวิตของเล่ยจวินก็กลับมาเป็นปกติ เขายังคงมุ่งมั่นกับการฝึกฝนตนเองและทำหน้าที่ดูแลหอจารึกต่อไป
เวลาว่างจากการฝึก เล่ยจวินมักพักผ่อนด้วยการอ่านหนังสือในหอจารึกหรือเปิดเตาหลอมยา
ในขณะนี้ ตราประทับเทียนซือได้ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูสูตร เม็ดยาแสงเย็น ที่สูญหายของ สำนักซู่ซาน
ส่วนเล่ยจวินเองกำลังให้ความสนใจกับการหลอม เม็ดยาเทียนหยวนสว่างใส
เขาเลือกทำอย่างเงียบๆโดยการฝึกฝนในห้องหลอมยาของสำนักเป็นเพียงการทดลอง ส่วนการหลอมจริงนั้นทำในที่พักส่วนตัว
แม้ว่าดาวไม้จะเริ่มเดาเรื่องสถานะของกันและกัน แต่เล่ยจวินยังคงเก็บตัวเงียบ
หลังจากพยายามทดลองอยู่หลายวัน เล่ยจวินก็สามารถหลอม เม็ดยาเทียนหยวนสว่างใสที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของเขาได้สำเร็จ
“อืม คุณภาพดีมาก” หยวนโม่ไป๋ที่เห็นผลลัพธ์ กล่าวชมด้วยความพอใจ
เม็ดยาสีฟ้าครามอ่อนราวกับท้องฟ้าใส พร้อมทั้งมีแสงทองเรืองรองดุจแสงอาทิตย์
หยวนโม่ไป๋หยิบเม็ดยาหนึ่งเม็ดขึ้นมากินทันที
เม็ดยาเทียนหยวนสว่างใส สูญหายจากสำนักเทียนซือแห่งภูเขาหลงหู่มาเป็นเวลานาน
เม็ดยาสำเร็จรูปที่ยังเหลืออยู่มีเพียงสองเม็ด ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวังเพื่อเป็นอนุสรณ์และสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
ผู้ที่เคยกินเม็ดยาชนิดนี้ล้วนล่วงลับไปหมดแล้ว
หยวนโม่ไป๋เคยเห็นเพียงเม็ดยาสองเม็ดที่ถูกเก็บรักษา แต่ยังไม่เคยมีโอกาสลองใช้
เขานำหนึ่งในสองเม็ดยามาเปรียบเทียบกับเม็ดยาที่เล่ยจวินหลอม
ทั้งสองไม่มีความแตกต่างกันเลย
แต่ถึงกระนั้น วิธีการและผลลัพธ์ที่แท้จริงยังต้องอาศัยการทดลองรับประทานเพื่อความแน่ใจ
เล่ยจวินตั้งใจจะทดลองด้วยตัวเอง แต่กลับถูกหยวนโม่ไป๋ห้ามไว้ พร้อมอาสาทำการทดลองแทน
จากบันทึกตำราในสำนัก เม็ดยาเทียนหยวนสว่างใสมีสรรพคุณช่วยให้ผู้ฝึกเต๋าสายยันต์เชื่อมต่อกับพลังวิญญาณของธรรมชาติรอบตัวได้ดียิ่งขึ้น
คำอธิบายในตำราออกจะกว้างๆแต่เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการฝึกฝนประจำวันของผู้ฝึกเต๋าสายยันต์ จะพบว่าการรับประทานเม็ดยานี้ ช่วยให้การดูดซับและกลั่นพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น การใช้พลังหรือเขียนยันต์ก็สามารถดึงพลังวิญญาณจากธรรมชาติมาใช้งานได้ง่ายกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน ในช่วงการทำสมาธิเพื่อจดจ่อกับจิตวิญญาณ เม็ดยายังช่วยเพิ่มความละเอียดอ่อนและยืดหยุ่นของจิตวิญญาณ ทำให้ความคิดลื่นไหลและกระจ่างชัดขึ้น
อย่างไรก็ตาม สรรพคุณของเม็ดยานี้เหมาะสมกับผู้ฝึกในระดับ สามชั้นฟ้าล่างและชั้นฟ้ากลางเท่านั้น ส่วนผู้ที่อยู่ในระดับชั้นฟ้าสูงเม็ดยาจะไม่มีผลชัดเจน
ในอีกมุมหนึ่งแม้ว่าจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ฝึกในระดับชั้นฟ้าสูงได้
ด้วยเหตุนี้หยวนโม่ไป๋จึงทดลองรับประทานด้วยตัวเอง
โชคดีที่ผลลัพธ์ไม่มีอันตราย
“ไม่มีพิษจากเม็ดยาและไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรง”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงที่ใบหน้าปกติอบอุ่นดุจลมฤดูใบไม้ผลิ วันนี้กลับดูเปี่ยมด้วยรอยยิ้มมากกว่าเดิมเล็กน้อย
“เม็ดยาเทียนหยวนสว่างใสกลับคืนสู่สำนักเราแล้ว นี่คงทำให้เหล่าบรรพจารย์ในอดีตเป็นสุขในปรโลก”
เล่ยจวินถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เช่นนี้ก็ดีที่สุดแล้ว”
หยวนโม่ไป๋กล่าวต่อ
“เม็ดยาเทียนหยวนสว่างใสปรากฏขึ้นอีกครั้ง เมื่อข่าวแพร่ออกไป ดาวไม้หรือแม้แต่คนอื่นในคัมภีร์สวรรค์ก็คงต้องรู้ถึงเรื่องนี้ เม็ดยานี้เป็นประโยชน์ต่อศิษย์ทั้งสำนัก ไม่ใช่เพียงไม่กี่คน เราไม่ควรปล่อยให้ความกลัวทำให้พลาดโอกาส แต่เนื่องจากวัตถุดิบในการหลอมเม็ดยานี้หายาก การหลอมในปริมาณมากย่อมทำไม่ได้ในเวลาสั้นๆ เราจึงไม่จำเป็นต้องรีบเร่ง รวบรวมวัตถุดิบและเตรียมการไว้ก่อนจะดีกว่า”
เล่ยจวินพยักหน้า
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
การรวบรวมวัตถุดิบจะไม่เป็นที่จับตามองมากนัก
เพราะในมือดาวไม้ยังไม่มีสูตรหลอมเม็ดยาครบถ้วน พวกเขาจึงไม่รู้ว่าส่วนประกอบทั้งหมดคืออะไร
เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะมีสูตรสมบูรณ์และเจตนาปกปิดข้อมูลบางส่วนไว้
แต่ดังที่หยวนโม่ไป๋กล่าว หากกลัวมากไปจนไม่กล้าทำอะไรเลย ก็ไร้ประโยชน์ที่จะพยายามนำสูตรที่ขาดกลับมา
หลังจากนั้นไม่นาน เล่ยจวินเองก็ทดลองรับประทานเม็ดยาที่เขาหลอมขึ้น
เมื่อรับประทานแล้ว เขารู้สึกถึงการเชื่อมต่อกับพลังธรรมชาติที่ราบรื่นขึ้น
เหมือนมีสะพานล่องหนที่เชื่อมเขากับโลกภายนอกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสะพาน
เล่ยจวินตั้งสมาธิเพื่อสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลง
เขามองเห็นแสงสีฟ้าอ่อนล้อมรอบตัวเอง
เมื่อทำสมาธิจดจ่อ ภาพลวงตาเหล่านั้นกลับกลายเป็นทิวทัศน์ราวกับอยู่ใต้ท้องฟ้าสีครามแจ่มใส
บริเวณนอกภาพลวงตาคือโลกจริง
ผ่านท้องฟ้าสีครามนี้ เขาสามารถสื่อสารและดึงพลังวิญญาณจากธรรมชาติได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
ผลลัพธ์นี้ช่วยเสริมพลังทั้งการฝึกฝนและการใช้พลังของเขา
นั่นคงเป็นที่มาของชื่อ เม็ดยาเทียนหยวนสว่างใส
“ไม่เลวเลย... ไม่เลว” เล่ยจวินพยักหน้ารับหลายครั้ง แต่ทันใดนั้นจิตใจของเขาก็พลันสะดุ้งเล็กน้อย
เขารวบรวมความคิด ตั้งสมาธิจดจ่อกับท้องฟ้าสีครามที่เห็นตรงหน้าและนิ่งเงียบ
หลังจากผ่านไปนาน ภาพท้องฟ้าค่อยๆจางหายไป
เล่ยจวินยังคงจ้องมองท้องฟ้าจริงเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กลับมามีสติ หยิบเม็ดยาเทียนหยวนสว่างใส อีกเม็ดมารับประทาน
แม้ว่าการรับประทานต่อเนื่องในระยะเวลาสั้นๆจะให้ผลลดลงเล็กน้อย แต่เล่ยจวินไม่ใส่ใจ
เขาจ้องมองแสงสีฟ้าลวงตาตรงหน้าพร้อมกับดึง ยันต์ส่งเสียงข้ามพันลี้ออกมา
เขาเงยหน้ามองภาพลวงตาอีกครั้ง ก่อนจะมองลงมาที่ยันต์ในมือ ความคิดในหัวของเขาค่อยๆเชื่อมโยงกัน
ช่วงเวลาต่อมา นอกจากการฝึกฝนในชีวิตประจำวันแล้ว เล่ยจวินยังคงศึกษาความลับของเม็ดยาเทียนหยวนสว่างใส
ส่วนชู่คุนศิษย์น้องที่เคยอยู่ร่วมกัน บัดนี้เขาได้เข้าสู่การปิดด่านฝึกฝนและเล่ยจวินไม่ทราบว่าเขาไปปิดด่านที่ใด
จนกระทั่งวันหนึ่ง เล่ยจวินได้ยินหยวนโม่ไป๋กล่าวว่า ชู่คุนได้ออกจากด่านและกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ดินแดนบรรพชนซูโจว
เมื่อชู่คุนกลับมาในครั้งนี้ เขาได้นำข่าวดีมาฝากเล่ยจวิน
“ศิษย์พี่ครั้งนี้ข้ากลับบ้านมา ข้ามีของดีติดมือกลับมาด้วย!” ชู่คุนกล่าวอย่างร่าเริง พร้อมเข้ามาพบเล่ยจวิน
“โอ้?อะไรงั้นหรือ” เล่ยจวินเอ่ยถาม
ชู่คุนนำกล่องผ้าลายสวยใบเล็กออกมาอย่างระมัดระวัง วางลงบนโต๊ะระหว่างทั้งสอง จากนั้นเปิดฝากล่องออก
เล่ยจวินมองเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องเป็นลูกกลมขนาดเท่าไข่นกพิราบ มองดูคล้ายไข่มุกแต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนเมล็ดพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่ง สีขาวบริสุทธิ์ดุจหยก เปล่งประกายแสงอ่อนจาง
ลูกกลมโปร่งแสงเล็กน้อย ภายในดูเหมือนมีหมอกขาวไหลเวียน ให้ความรู้สึกเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ
เล่ยจวินนึกถึงบันทึกในหอจารึกที่เขาเคยอ่านและไม่นานก็คิดออกว่า
“นี่มันเมล็ดกำเนิดวิญญาณเซียนใช่หรือไม่?”
ชู่คุนพยักหน้ารับอย่างแรง
“ใช่!”
เล่ยจวินยิ้มพลางกล่าว
“อืม ของดีจริง ๆ”
เมล็ดกำเนิดวิญญาณเซียนตามคำร่ำลือไม่ใช่เมล็ดพันธุ์ของพืชหรือดอกไม้ แต่เป็นวัตถุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ผ่านการหล่อหลอมจากพลังวิญญาณแห่งฟ้าและดินเปี่ยมด้วยความลึกลับ
ในเส้นทางการฝึกฝนของผู้บำเพ็ญระดับหกชั้นฟ้า ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ไม่ว่าจะแนวทางใดระดับนี้ล้วนทำหน้าที่เป็นรากฐานสำหรับการเข้าสู่ชั้นฟ้าสูง
สำหรับสายเต๋า ผู้ฝึกสายยันต์เรียกระดับนี้ว่าตราประทับเต๋า สายหลอมยาเรียกว่าตัวอ่อนเต๋าและสายยาภายนอกเรียกว่า เมล็ดเซียน สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงถึงความสำคัญของระดับนี้
เมล็ดกำเนิดวิญญาณเซียนเป็นสมบัติล้ำค่าที่ช่วยให้ผู้บำเพ็ญในระดับหกชั้นฟ้าบรรลุขั้นนี้ได้เร็วและดียิ่งขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับการท้าทาย ช่องว่างระหว่างหุบเหวฟ้าฟ้าระหว่างหกชั้นฟ้ากับเจ็ดชั้นฟ้า
ด้วยสรรพคุณที่ยอดเยี่ยมและใช้งานได้หลากหลาย จึงไม่แปลกที่สิ่งนี้จะดึงดูดความสนใจและการแย่งชิงจากผู้คน
จากบันทึกที่เกี่ยวข้อง เมล็ดกำเนิดวิญญาณเซียนไม่ได้ปรากฏในที่สาธารณะมาหลายปีแล้ว
แม้ว่าจะมีปรากฏบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็มักถูกเก็บรักษาและปิดเป็นความลับในทันที
เล่ยจวินไม่ได้ถามว่าชู่คุนว่าได้เมล็ดกำเนิดวิญญาณเซียนมาจากที่ใด เพียงแต่กล่าวว่า
“สมบัตินี้ เจ้าก็ใช้งานได้เช่นกัน”
ชู่คุนมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง ก่อนหัวเราะเบาๆแล้วชูนิ้วสี่นิ้วให้เล่ยจวินดู
“ศิ่ษย์พี่หนึ่ง ข้าหนึ่ง อีกหนึ่งสำหรับศิษย์พี่ใหญ่และอีกหนึ่งส่งเข้าสำนักเพื่อสะสมบุญ”
เล่ยจวินพยักหน้าเข้าใจ
“เช่นนี้ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว ขอบใจ”
ชู่คุนกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะบรรลุขั้นสูงขึ้นในเร็ววัน สำนักเราจะได้มีผู้บำเพ็ญในชั้นฟ้าสูงเพิ่มขึ้นอีกคน”
เล่ยจวินปิดฝากล่อง เก็บกล่องไว้พลางกล่าว
“อย่างน้อย ครั้งนี้เจ้าก็ช่วยข้าประหยัดเวลาไปไม่น้อย”
ระดับหกชั้นฟ้าตราประทับเต๋า แม้ไม่มีการแบ่งย่อยเหมือนระดับก่อนหน้า แต่การทะลุผ่านไปยังเจ็ดชั้นฟ้ากลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ถังเสี่ยวถาง ผู้มีพรสวรรค์สูง ใช้เวลาฝึกจากห้าชั้นฟ้าถึงหกชั้นฟ้าไม่นานนัก แต่กลับใช้เวลามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อข้ามจากหกชั้นฟ้าไปยังเจ็ดชั้นฟ้า
อีกตัวอย่างคือ จางจิ้งเจินอดีตผู้ดูแลหอจารึก ซึ่งส่งมอบหน้าที่นี้ให้เล่ยจวิน ก่อนจะเข้าสู่การปิดด่านฝึกอย่างหนัก
เมื่อสิบแปดปีก่อน ขณะที่เล่ยจวินยังไม่ได้เข้าสู่เส้นทางเต๋า จางจิ้งเจินบรรลุระดับหกชั้นฟ้าตราประทับเต๋าแล้ว
บัดนี้ หลังผ่านไปสิบแปดปี นางกำลังเตรียมตัวสำหรับการท้าทาย ช่องว่างระหว่างหุบเหวชั้นฟ้าระหว่างหกชั้นฟ้ากับเจ็ดชั้นฟ้า
ไม่มีใครบอกได้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใด หรือจะประสบความสำเร็จหรือไม่
ตามบันทึกของ สำนักเทียนซือแห่งภูเขาหลงหู่ ผู้ที่มีร่างวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรือ ความสามารถตระหนักรู้เพียงอย่างเดียว มักใช้เวลาประมาณสามสิบปีในการข้ามช่องว่างนี้
ผู้ที่มีทั้งสองคุณสมบัติอาจใช้เวลาสั้นลงเหลือยี่สิบปี
อย่างไรก็ตาม เวลานี้นับว่าเร็วที่สุดแล้ว เพราะต้องอาศัยการสนับสนุนจากสำนักใหญ่เช่น สำนักเทียนซือ หรือวงศ์ตระกูลใหญ่ในสาย ห้าสกุลเจ็ดวงศ์
ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องรอดพ้นจากความเสี่ยงของ ช่องว่างระหว่างชั้นฟ้า ที่เคยพรากชีวิตอัจฉริยะนับไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์
เล่ยจวินซึ่งยังมีเวลาเหลือในวัยบำเพ็ญ จึงต้องการใช้สมบัติอย่างเมล็ดกำเนิดวิญญาณเซียนเพื่อลดเวลาที่ต้องใช้ลง
ในขณะเดียวกันเขาก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าชู่คุนสามารถหาของล้ำค่าเช่นนี้มาได้ถึงสี่เม็ด
“อาจเพราะข้อมูลเกี่ยวกับ เซียนหลัวล้อมสุริยัน จากหอจารึกช่วยให้ข้าค้นพบสมบัตินี้” ชู่คุนคิดในใจ
“ข่าวเรื่องศิษย์ที่ทำผิดพลาดจนเกือบเกิดไฟไหม้ในหอจารึกนั้น ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน” ชู่คุนกล่าว “ตอนนี้ผู้กระทำผิดกำลังถูกลงโทษในสำนักคุมกฎ”
เล่ยจวินพยักหน้า
“เจ้าเก็บเมล็ดเซียนสำหรับพี่ใหญ่ไว้ก่อน รอจนเขาออกจากด่านแล้วค่อยส่งให้”
เขายังเก็บเม็ดยาเทียนหยวนสว่างใสไว้ส่วนหนึ่งสำหรับหวังกุยหยวนและชู่คุน
ชู่คุนเองก็กำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการฝึก
เมื่อได้เม็ดยาเทียนหยวนสว่างใส ช่วยเสริมพลังการข้ามขั้นต่อไปของชู่คุนคงอยู่ไม่ไกล
“ศิษย์น้องชู่สำเร็จตราประทับพลังแล้วหรือยัง?” จั่วลี่เข้ามาสอบถามเล่ยจวินเพื่อยืนยัน
เล่ยจวินพยักหน้า
“ไม่นานมานี้เอง ศิษย์น้องชู่สามารถผ่านหุบเหวฟ้าระหว่างสามชั้นฟ้าไปยังสี่ชั้นฟ้าได้สำเร็จ”
จั่วลี่เอ่ยชมด้วยความทึ่ง
“ในรุ่นของพวกเจ้า มีผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมปรากฏตัวขึ้นอีกแล้วศิษย์น้องชู่ปีนี้เพิ่งจะอายุ 26 ใช่หรือไม่?”
เล่ยจวินตอบว่า
“ใช่”
จั่วลี่มองไปที่เล่ยจวิน
เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งเล่ยจวินบรรลุถึงชั้นฟ้ากลางก็อายุประมาณ 26 ปีเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เล่ยจวินเข้าสำนักเมื่ออายุมากกว่าชู่คุน เขาได้รับการถ่ายทอดตำราและเข้าศึกษาในสำนักเมื่ออายุ 20 ปี ใช้เวลาเพียง 6 ปีจึงผ่านขั้น วางรากฐานและแท่นพิธี ก่อนจะสำเร็จตราประทับพลัง
ส่วนชู่คุนนั้นใช้เวลากว่า 10 ปี นับตั้งแต่ได้รับการถ่ายทอดตำราและเข้าสำนัก
แต่ถึงกระนั้น ความก้าวหน้าของชู่คุนก็ยังถือว่ายอดเยี่ยมมากในหมู่ศิษย์ของสำนักเทียนซือในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
โดยทั่วไป ผู้ที่มีร่างวิญญาณหรือความสามารถยอดเยี่ยมเพียงอย่างเดียว ต้องใช้เวลาราว 30 ปีในการบรรลุถึงระดับนี้
จั่วลี่ถอนหายใจ
“สำนักเด็กวัดประเมินผิดไปจริงๆพรสวรรค์ของศิษย์น้องชู่เหนือกว่าที่ทุกคนคาดคิด”
เล่ยจวินยืนสงบนิ่งอยู่ข้างๆไม่พูดอะไร ท่าทางของเขาดูเรียบร้อยนอบน้อม
จั่วลี่มองเขาแล้วยิ้ม
“คนรุ่นใหม่ที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นมากมาย นับเป็นเรื่องดีสำหรับสำนักเรา”
เล่ยจวินตอบ
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคำแนะนำและการสั่งสอนจากอาจารย์และท่านผู้อาวุโสอย่างท่าน”
เล่ยจวินเองก็มีความลับมากมายในตัวจึงไม่สนใจที่จะสืบค้นความลับของผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม ขณะอยู่กับเล่ยจวินและหยวนโม่ไป๋ ชู่คุนกลับเป็นผู้เอ่ยถึงความลับของตนเอง
เขาไม่ได้มีร่างวิญญาณแต่มีร่างศักดิ์สิทธิ์
ร่างศักดิ์สิทธิ์นี้คือ ร่างศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาว
(จบบท)