บทที่ 19 ชาติกำเนิด
“ลมวสันต์เย้ายวนใจ ควบอาชาชมบุปผา…ถึงอย่างไร ข้าได้รับวิชาตัวเบามาจากอาจารย์โดยแท้! คิดจะจับข้า? ไม่ง่ายขนาดนั้น” ซูไป๋อีกล่าวพลางวิ่งไปแล้วเป็นเวลาครึ่งธูป
เมื่อมองย้อนกลับไปไม่เห็นใครตามมา เขาก็รู้สึกภูมิใจ ทว่ายังไม่ทันจะยิ้มออก เสียงนุ่มนวลก็ดังขึ้นข้างหู
“เจ้าวิ่งผิดทางแล้ว”
ซูไป๋อีสะดุ้งตัวสั่น รีบก้าวถอยหลังหมุนตัวไปมา ลมพัดจนเส้นผมยาวของหนานกงซีเอ๋อร์ปลิวไปเบาๆ ทั้งสองสวนกันและหยุดลงพร้อมกัน
“ขอบคุณที่เตือน ข้าจะระวัง” ซูไป๋อีหอบเล็กน้อยก่อนจะวิ่งต่อไป
“ไม่ต้องเกรงใจ พวกเราเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน ย่อมต้องเดินทางด้วยกันอยู่แล้ว จะสุภาพไปไย?” หนานกงซีเอ๋อร์หมุนตัวก้าวเบาราวสายน้ำ ปรากฏตัวข้างๆ ซูไป๋อีทันที
ซูไป๋อีตกใจพลางเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ท่านก็ใช้ควบอาชาชมบุปผาได้เช่นกันรึ!”
“ใช่” หนานกงซีเอ๋อร์กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ด้านหน้า สีหน้าเรียบเฉย “ทว่า…เช่นกันหรือไม่? อ้อ ไม่สิ ข้าดูเหมือนจะเบากว่าเจ้าเล็กน้อย ไวกว่าก้าวหนึ่ง”
ซูไป๋อีที่เริ่มเหงื่อโทรม หันไปถามพลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก “ศิษย์พี่ ข้าทั้งวิ่งก็ไม่ทันท่าน สู้ก็ไม่ชนะ แล้วไยท่านต้องลากข้าไปสืบคดีนี้ด้วย?”
“เพราะคดีนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า” หนานกงซีเอ๋อร์ตอบ
“ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าสาบานด้วยคำสัตย์ คนพวกนั้นล้วนไม่ใช่ฝีมือข้าแน่นอน!” ซูไป๋อีกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง
หนานกงซีเอ๋อร์ยิ้มพลางเอามือปิดปาก “ข้าเชื่อเจ้า”
“ศิษย์พี่” ซูไป๋อีหยุดหอบ หายใจแรง “ช่วยให้ทางรอดข้าสักทางเถิด”
หนานกงซีเอ๋อร์กระโดดลงมาจากต้นไม้ กระโปรงยาวสีม่วงของนางพลิ้วไหวไปตามลม นางเก็บรอยยิ้มและเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง “อย่าทำหน้าเหมือนใสซื่ออีกเลย เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อจริงหรือ ว่าอาการประหลาดหลังนิทราของเจ้าเป็นเพียงโรคประหลาด?”
ซูไป๋อียิ้มมุมปากกระตุกเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ท่านไยรู้มากเช่นนี้”
“แต่ข้าว่ามันยังไม่พอ ข้าต้องรู้ให้มากกว่านี้” หนานกงซีเอ๋อร์เอ่ยเสียงเยือกเย็น “เช่นเรื่องเกี่ยวกับตัวเจ้า ข้ายิ่งใคร่รู้…”
“หา?” ซูไป๋อีผงะถอยหลังเล็กน้อย น้ำเสียงกล่าวติดขัด “ศะ…ศิษย์พี่กล่าวเช่นนี้ทำให้ข้าคิดไปไกลนะ ไม่เหมาะกระมัง…”
“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่สนใจสิ่งที่เซี่ยคั่นฮวาทิ้งไว้ให้เจ้า” หนานกงซีเอ๋อร์รู้ทันความคิดของเขา “สิ่งที่ข้าสนคือ เจ้าแซ่ซู”
ซูไป๋อีกะพริบตาเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มขมๆ “ข้าเองก็อยากรู้เรื่องนี้เช่นกัน”
หนานกงซีเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แซ่ของเจ้ามาจากมารดาหรือบิดา?”
“นับแต่นี้ เจ้าจะชื่อซูไป๋อี”
“ซูเป็นแซ่ที่ไพเราะ มีสตรีที่งดงามอ่อนหวานนางหนึ่งใช้แซ่นี้ และก็มีบุรุษผู้ยิ่งใหญ่และกล้าหาญใช้แซ่นี้ด้วย เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเป็นคนสำคัญเหมือนกัน” คำพูดที่เซี่ยคั่นฮวากล่าวเมื่อครั้งแรกพบทำให้ซูไป๋อีอดจะเกาศีรษะอย่างอับจนไม่ได้ “ศิษย์พี่ ท่านไฉนถามแต่เรื่องที่ข้าเองก็อยากรู้”
หนานกงซีเอ๋อร์มีท่าทีตกใจเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่า เจ้าไม่รู้ว่าบิดามารดาเจ้าเป็นใครรึ?”
“ใช่ คนสองคนที่เลี้ยงดูข้ามา คนหนึ่งข้าเรียกว่าลุงเฉิน อีกคนเรียกว่าป้าฉิน พวกเราใช้ชีวิตธรรมดาอยู่ในเมืองเล็กๆ ร่วมกันมาราวเจ็ดหรือแปดปี จนกระทั่งวันหนึ่ง มีกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ฝีมือร้ายกาจจากยุทธภพปรากฏตัวขึ้น พวกเขาสังหารลุงเฉิน ส่วนป้าฉินก็พาข้าหนีออกมา พวกเราหนีไปได้ราวสิบกว่าวัน พวกเขาก็ตามทัน ป้าฉินถูกฆ่า ข้าเองก็เกือบตาย โชคดีที่ตอนนั้นอาจารย์ของข้ามาช่วยไว้ เขาบอกว่าข้าแซ่ซู ข้าจึงเปลี่ยนชื่อเป็นซูไป๋อีตั้งแต่นั้น” ซูไป๋อีกล่าวเรื่องราวด้วยน้ำเสียงสงบ แต่กำปั้นแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าไม่เคยสงสัยเลยหรือ?” หนานกงซีเอ๋อร์ถาม “ใครคือคนที่ฆ่าลุงเฉินและป้าฉิน และใครคือบิดามารดาของเจ้า”
“อาจารย์บอกว่า เมื่อถึงเวลาอันสมควร ท่านจะเล่าทุกสิ่งให้ข้าฟัง” ซูไป๋อีเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังทันที “หรือว่า ศิษย์พี่ ท่านรู้อะไร?”
“ข้าไม่รู้ ข้าเองก็เหมือนเจ้าที่กำลังแสวงหาคำตอบอยู่” หนานกงซีเอ๋อร์หันหลังไป “สิ่งที่พวกเราจะทำต่อไปนี้ ก็คือการหาคำตอบนั้น”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า เหล่าจอมยุทธที่ถูกฆ่าตาย มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน?”
“สิ่งใด?” ซูไป๋อีถาม
“พวกเขาล้วนเป็นสำนักที่เคยเข้าร่วมพันธมิตรแห่งเหวยหลง”
“พันธมิตรแห่งเหวยหลง?”
“ทางอุดรมีภูเขาสูงใหญ่ชื่อว่าเขาเหวยหลง บนเขามีหยกมรกต ด้านที่โดนแสงแดดมีทอง ด้านที่อับแสงมีเหล็ก ถือเป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์ เหวยหลงหมายถึง ‘พิทักษ์มังกร’ หรือผู้ที่โดดเด่นเฉกเช่นมังกรในหมู่คน สำนักอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินอย่างสำนักสวรรค์ซ่างหลินก็ตั้งอยู่บนเขาเหวยหลง”
“พันธมิตรแห่งเหวยหลง เกิดจากสำนักสวรรค์ซ่างหลินเป็นผู้นำ รวมตัวกับตระกูลใหญ่ทางตอนใต้สี่ตระกูล สำนักใหญ่สามแห่งในต้าเจ๋อ และเมืองกระบี่จี๋โม่ ก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านลัทธิมรรคาสวรรค์ ซึ่งก็คือพรรคมารที่คนในยุทธภพเรียกกัน กล่าวกันว่าพรรคมารได้ครอบครองคัมภีร์วิชา ที่จอมยุทธสามารถเพิ่มพูนพลังตบะในเวลาอันสั้น แต่มีผลข้างเคียงคือทำให้ผู้ฝึกกลายเป็นคนกระหายเลือด พันธมิตรแห่งเหวยหลงจึงถือโอกาสนี้อ้างตนเป็นฝ่ายธรรมะและร่วมกันกำจัดพรรคมาร ลัทธิมรรคาสวรรค์พ่ายแพ้และล่มสลายในเวลาไม่นาน แต่คัมภีร์เล่มนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย” หนานกงซีเอ๋อร์มองซูไป๋อีด้วยสายตาลึกล้ำ “น่าขันคือ คัมภีร์ของพรรคมารเล่มนั้นกลับถูกเรียกว่า ‘คัมภีร์เซียน’”
ซูไป๋อีส่ายหัว “ข้าไม่เข้าใจ”
“พันธมิตรแห่งเหวยหลงก่อตั้งขึ้นเพราะหวั่นเกรงว่าคัมภีร์เซียนจะก่อภัยพิบัติ แต่สุดท้ายกลับไม่พบคัมภีร์เล่มนั้น นั่นไม่ใช่เรื่องน่าขันหรือ? บางทีอาจจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่พวกเขาเล่าลือ” หนานกงซีเอ๋อร์ยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับแฝงความเย้ยหยัน
“ทว่าคัมภีร์เซียนมีอยู่จริง เจ้าและข้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ แล้วถ้าหากเราหาคัมภีร์เซียนพบ ฝึกวิชาที่อยู่ในนั้นดูว่าเป็นจริงตามคำร่ำลือหรือไม่ บางทีปริศนานี้อาจมีคำตอบ”
“ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกับข้าอย่างไร?” ซูไป๋อีรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่าง
“เจ้าสำนักใหญ่แห่งสำนักสวรรค์ซ่างหลิน ซูหาน และรองเจ้าสำนักซูเตี้ยนโม่ พวกเขาก็เหมือนเจ้า ที่ใช้แซ่ซู” น้ำเสียงของหนานกงซีเอ๋อร์เย็นลงในทันที
“แซ่ซู…” ซูไป๋อีรู้สึกว่าหลังเปียกชุ่ม นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาได้เข้าใกล้ความจริงที่เขาอยากรู้มากที่สุด
“ทว่าพวกเขาล้วนล่วงลับหมดแล้ว” หนานกงซีเอ๋อร์กล่าวต่อ
ซูไป๋อีสูดลมหายใจเข้าลึก ยืนตัวตรง “ถ้าเช่นนั้น ศิษย์พี่ ขอให้ข้าได้ถามท่านบ้าง เรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกับท่านอย่างไร?”
หนานกงซีเอ๋อร์ยิ้มละไม รอยยิ้มงดงามจับใจยากหาสตรีใดเปรียบ
“ลัทธิมรรคาสวรรค์ที่พวกเขาเรียกว่าพรรคมารนั้น เจ้าลัทธิใหญ่นามหนานกงอวิ๋นฮั่ว และรองเจ้าลัทธิหนานกงอวี่เหวิน พวกเขาล้วนใช้แซ่หนานกง”
“พวกเขาก็ล้วนล่วงลับหมดแล้วเช่นกัน”