ตอนที่แล้วบทที่ 17 หนานกง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 19 ชาติกำเนิด

บทที่ 18 ควบอาชา


“ช้าก่อน!”

ซูไป๋อีฟาดฝ่ามือออกมาขัดจังหวะคำพูดของเฟิงจั่วจวิน เขาหลับตาแล้วขมวดคิ้วนึกย้อนไปถึงคืนนั้น เขาจำได้ว่าเขากลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน ขณะที่นอนอยู่บนเตียง จู่ๆ ก็ถูกใครบางคนลอบโจมตี เขารับศาสตราลับนั้นไว้ได้ แต่กลับมีพิษแฝงอยู่ พิษนั้นเรียกว่า อัฐินิทราหอม หากโดนเข้าแล้วจะทำให้หลับใหลจนถึงขั้น หลับไม่ตื่น…

ซูไป๋อีเบิกตาโพลง ชี้ไปที่ตัวเองอย่างไม่เชื่อ พลางถามเฟิงจั่วจวินกับเซี่ยอวี่หลิงว่า “ข้า…หลับไปเลยหรือ?”

เฟิงจั่วจวินทำหน้าเอือม “ไม่งั้นเจ้าคิดว่าแค่หลับตาแล้วลืมตา เจ้าจะมาอยู่ที่นี่ได้เลยหรือ?”

“ว่าแล้วทำไมถึงรู้สึกสบายตัวแปลกๆ” ซูไป๋อีบิดขี้เกียจ พลางยิ้มออกมาอย่างมีความสุข แต่ก็ชะงักเมื่อคิดอะไรขึ้นได้ สีหน้าดูแปลกไปเล็กน้อย “แล้วตอนข้านอนหลับ ข้าได้ทำเรื่องเกินเลยอะไรหรือเปล่า?”

เฟิงจั่วจวินยกนิ้วชี้ไปที่ซี่โครงของตัวเอง “กระดูกตรงนี้ข้าอาจจะหักไปหลายซี่”

เซี่ยอวี่หลิงชี้ไปที่เท้าของตัวเอง “เท้าข้ายังบวมแดงอยู่เลย แม้จะทายาแล้ว แต่เดินก็ยังเจ็บอยู่”

“นี่…” ซูไป๋อีเกาศีรษะอย่างอับอาย “โทษเจ้านั่นที่วางยาข้าเถอะ ข้าไม่ได้เจตนา”

“เจ้าอยากบอกว่า แค่เจ้าหลับไป เจ้าก็กลายเป็นแบบนั้นเลยหรือ?” เซี่ยอวี่หลิงถาม “ถ้าเช่นนั้น ทุกคืนเจ้าก็จะกลายเป็นแบบนั้นงั้นหรือ?”

ซูไป๋อีถอนหายใจ “ก็เพราะอย่างนี้ ข้าเลยไม่ได้นอนมานานแล้ว”

“เจ้าไม่ได้นอน จะไม่ตายเอาหรือ?” เฟิงจั่วจวินชะงัก

“อาจารย์ข้าสอนวรยุทธให้วิชาหนึ่ง ตอนดึกข้าจะฝึกเพื่อให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะคล้ายหลับ จะช่วยให้จิตใจพักผ่อนได้บ้าง” ซูไป๋อียกมือ

“อาจารย์บอกว่าข้าป่วยเป็นโรคประหลาด จะหาหมอเก่งๆ มารักษาให้ ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าท่านเซียนปราชญ์แห่งสำนักศึกษามีฝีมือการรักษาเยี่ยมยอด ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อขอให้ท่านเซียนปราชญ์ช่วยรักษา” เขาหันไปถามทั้งสองว่า “แล้วศิษย์พี่ พวกท่านพาข้ามาที่ไหน?”

“ที่นี่คือเขาเหยียนฮุย” เซี่ยอวี่หลิงตอบ

“ห่ะ?” ซูไป๋อียิ่งสับสน

“ที่นี่อยู่ห่างจากสำนักศึกษาร้อยลี้” เฟิงจั่วจวินยิ้ม

“ว่าไงนะ?” ซูไป๋อีอ้าปากค้าง “แล้วไยเรามาที่นี่?”

“เรามาสืบคดี” เฟิงจั่วจวินเก็บดาบไม้ไผ่ พลางประสานมือกล่าว “ช่วงนี้ในยุทธภพมียอดฝีมือหลายคนถูกฆ่าตายอย่างสยดสยอง และสาเหตุการตายลึกลับ เป็นที่ร่ำลือไปทั่ว…”

“ข้าไม่เคยได้ยินว่าสำนักศึกษาของเรามีหน้าที่สืบคดีคนตายมาก่อน” ซูไป๋อียังงุนงงไม่หาย

“สำนักศึกษาเราตั้งอยู่ในเขตหลางตังสิบลี้ ปกติจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพ แต่ในเมื่อศิษย์พี่หญิงมีจิตใจแห่งความยุติธรรมเช่นนี้ เจ้ากับข้าก็ควรสนับสนุนนาง” เฟิงจั่วจวินกล่าวอย่างจริงจัง

ซูไป๋อีโบกมือ “แต่ที่อาจารย์ข้าให้มาสำนักศึกษา ก็เพื่อให้ข้าได้พบกับท่านเซียนปราชญ์ ข้ายังหวังว่าจะให้ท่านเซียนปราชญ์หาวิธีช่วยอาจารย์ของข้า หากพวกท่านจะสืบคดีก็ไปเถอะ ข้ารู้สึกนับถือพวกท่านจากใจจริง แต่ข้าจะกลับสำนักศึกษาแล้ว”

“เจ้ากล่าวได้มีเหตุผล เจ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องตามพวกเราไป” เซี่ยอวี่หลิงพยักหน้า

เฟิงจั่วจวินก็ไม่ขัด เขาพยักหน้าเช่นกัน “แต่เจ้ากลับไปไม่ได้แล้ว”

“เพราะเหตุใดอีก?” ซูไป๋อีเริ่มท้อแท้

“เพราะข้าน่ะสิ” หนานกงซีเอ๋อร์ปรากฏขึ้นด้านหลังของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว

“ศิษย์พี่หญิง ข้าต้องไปพบท่านเซียนปราชญ์เพื่อหารือวิธีช่วยอาจารย์นะ” ซูไป๋อีพยายามพูดอย่างมีเหตุผล

“ไม่ใช่ เจ้าแค่รักตัวกลัวตายเท่านั้น” หนานกงซีเอ๋อร์กล่าวอย่างไร้ความปรานี

“ศิษย์พี่พูดแบบนี้ได้อย่างไร ข้าถูกใส่ความชัดๆ” ซูไป๋อีทำหน้าเก้อเขินเล็กน้อย “อาจารย์บอกให้ข้าพบท่านเซียนปราชญ์ จากนั้นหาวิธีช่วยท่าน อาจารย์ข้าวางแผนทุกอย่างไว้อย่างไร้ตำหนิ ข้าจึงต้องปฏิบัติตามที่ท่านกำหนด ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอันตรายต่อตัวท่าน”

“ถ้าอาจารย์ของเจ้าวางแผนให้เจ้าเดินตาม เพื่อแลกด้วยการเสียสละตัวเองเล่า?” หนานกงซีเอ๋อร์ถามขึ้น

ซูไป๋อีหัวเราะเบาๆ “ศิษย์พี่ ท่านไม่รู้จักอาจารย์ข้าจริงๆ เขาไม่ใช่คนที่จะยอมทำอะไรแบบนั้นหรอก”

“เช่นนั้นหรือ?” หนานกงซีเอ๋อร์หรี่ตา “แล้วอาจารย์ของเจ้าเป็นคนเช่นไร?”

“เวลาเล่นหมากล้อมกับข้า แค่อาจารย์เดินหมากหนึ่งตา เขาก็คิดไปแล้วถึงเก้าตาต่อไป ชะตาของเขาอยู่ในการคำนวณของเขาเองเสมอ ไม่เคยมีสิ่งใดนอกแผน”

หนานกงซีเอ๋อร์หัวเราะออกมา “แต่ข้ารู้ว่า มีใครบางคนกลายเป็นสิ่งที่นอกแผนของเขา และวันนี้ ข้าก็จะกลายเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับเขาด้วย เพราะอย่างไรเสีย ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าหนีไปได้”

“ศิษย์พี่ยิ้มแล้วดูดีมาก แต่ข้าคงไม่หลงกลท่านง่ายๆ” ซูไป๋อีเองก็ยิ้ม “วิทยายุทธของท่านนั้นช่างยอดเยี่ยม ข้าคงมิอาจสู้ท่านได้แน่ แต่…ทว่าทักษะวิชาตัวเบาของข้าก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน”

“คิดจะหนีหรือ?” หนานกงซีเอ๋อร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“หนี? จะเรียกว่าหนีได้อย่างไร ในเมื่อเป็นเรื่องระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง” ซูไป๋อีเก็บรอยยิ้ม

ฟึ่บ!

ทันใดเขาขยับตัวหันหลังแล้ววิ่งลงเขาด้วยความรวดเร็วจนเฟิงจั่วจวินและเซี่ยอวี่หลิงถึงกับตะลึง

“นี่เป็นวิชาตัวเบาอะไรกัน? เร็วยิ่งกว่าวิชาก้าวแห่งวายุของสกุลเฟิงเราอีกหรือ?” เฟิงจั่วจวินถาม

“นี่คือ ควบอาชา” เซี่ยอวี่หลิงตอบอย่างเคร่งขรึม “เป็นวิชาตัวเบาชั้นสูงของสกุลเซี่ยเรา”

“พูดไปเรื่อยเถอะ” เฟิงจั่วจวินเบ้ปากแสดงท่าทีไม่เชื่อ “ข้าเคยเห็นเจ้าใช้ วิชาควบอาชามาบ้างแล้ว ไม่มีทางเร็วขนาดนี้หรอก ยกเว้นว่าเจ้านั่นมีฝีมือเหนือกว่าเจ้าเยอะ”

หนานกงซีเอ๋อร์พูดขึ้น “ที่จริงแล้วนี่คือควบอาชา แต่เมื่อหลายปีก่อนมีอัจฉริยะคนหนึ่งในสกุลเซี่ยพัฒนาวิชานี้ขึ้นอีกขั้น เพิ่มอีกสองคำต่อท้าย กลายเป็นวิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในแผ่นดิน ทว่าหลังจากสร้างวิชานี้ได้ เขาก็ออกจากสกุลเซี่ยไป สกุลเซี่ยจึงไม่มีใครฝึกวิชานี้ได้”

“อ้อ? แล้วสองคำที่เพิ่มคือคำว่าอะไรหรือ?” เฟิงจั่วจวินถามด้วยความสนใจ

“ควบอาชา…” หนานกงซีเอ๋อร์ย่อตัวลงเล็กน้อย “ชมบุปผา”

ทันใดนั้นลมกรรโชกผ่าน เฟิงจั่วจวินยื่นมือรับใบไม้ที่ปลิวมาก่อนจะหันไปมองเซี่ยอวี่หลิง เขาหัวเราะ “ศิษย์พี่หญิงเองก็ใช้วิชาตัวเบาเหมือนซูไป๋อีมิผิดเพี้ยนเลย ที่นี่มีสามคน แต่มีเจ้าคนเดียวที่เป็นคนสกุลเซี่ยแท้ๆ กลับใช้ควบอาชาชมบุปผาไม่ได้ เจ้าจะไม่อยากรู้หรือ? ไม่คิดจะถามหน่อยหรือ?”

“ข้าก็สงสัย และอยากถามอยู่เหมือนกัน” เซี่ยอวี่หลิงตอบพลางกระโดดขึ้นรถม้า หยิบน้ำขึ้นมาดื่ม “รอพวกเขากลับมาก่อนค่อยถามก็ไม่สาย”

“เจ้ามั่นใจหรือว่าจะกลับมาได้? ซูไป๋อีนั่นรี่ไหลเร็วยิ่งกว่าเงา ถ้าศิษย์พี่หญิงไล่ไม่ทันเล่า…” เฟิงจั่วจวินเย้ยขึ้น

“พวกเขาจะต้องกลับมาแน่” เซี่ยอวี่หลิงเงยหน้ามองท้องฟ้า

“ข้าเองก็สงสัยนัก ว่าความมั่นใจของเจ้า มาจากไหนกัน?” เฟิงจั่วจวินถามด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

เซี่ยอวี่หลิงชี้ไปทางด้านหลังแล้วชี้ไปข้างหน้า “เพราะสำนักศึกษาอยู่ทางใต้ แต่ซูไป๋อีกำลังวิ่งขึ้นเหนือ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด