ตอนที่ 50 อีเทอร์นอล และ เอบีนอร์มอล!
ตอนที่ 50 อีเทอร์นอล และ เอบีนอร์มอล!
เอริคเดินเข้าสู่ห้องทดลองของเขา และวางเส้นผมบางเบานั้นลงในเครื่องมือที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการตรวจสอบด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
เครื่องมือเริ่มทำงานช้า ๆ ขณะที่เอริคจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยความตื่นเต้นและประหม่า อุปกรณ์ทั้งหมดในห้องนี้ถูกออกแบบโดยเขาเอง เขารู้ดีว่าการทดสอบนี้จะใช้เวลานานถึงสี่หรือห้าชั่วโมงกว่าจะเสร็จสิ้น แต่เขาไม่อยากก้าวออกจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว . . .
เพราะผลการทดสอบนี้เกี่ยวพันกับอนาคตทั้งหมดของเขา!
เมื่อหนึ่งล้านปีก่อน กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า เซเลสเชียล เดินทางมายังโลกเพื่อทำการทดลองทางพันธุกรรม ในเวลานั้น มนุษย์ยุคแรกได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว เซเลสเชียล ได้ใช้ความผันแปรของยีนมนุษย์เป็นฐานในการสร้างมนุษย์ลูกหลาน 2 กลุ่ม ได้แก่ อีเทอร์นอล และ เอบีนอร์มอล
โดยกลุ่ม เซเลสเชียล ได้ฝังดีเอ็นเอสังเคราะห์ชนิดหนึ่งในร่างกายของ เอบีนอร์มอล ซึ่งดีเอ็นเอนี้จะเกิดการกลายพันธุ์ในทางที่ดีในอนาคต ทำให้พวกเขาได้รับพลังพิเศษมากมาย
แต่ผลของการวิวัฒนาการของ เอบีนอร์มอล ไม่ได้เป็นไปตามที่ เซเลสเชียล คาดหวัง กลุ่มเซเลสเชียลจึงตัดสินใจทำลาย เอบีนอร์มอล ซึ่งเหตุการณ์นั้นนำไปสู่การล่มสลายของแอตแลนติสโดยตรง ผู้รอดชีวิตบางส่วนที่จมลงใต้ทะเลกลายเป็นบรรพบุรุษของ นามอร์ กษัตริย์แห่งแอตแลนติส ส่วนผู้รอดชีวิตที่ยังคงอยู่บนผืนดินก็กลายเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์กลายพันธุ์
ในส่วนของ อีเทอร์นอล นั้น พวกเขาสามารถใช้พลังงานแห่งจักรวาลได้ มีพลังมหาศาล ไม่เหนื่อยล้า ไม่เจ็บป่วย ต้านทานพิษ และแทบไม่มีสิ่งใดทำลายพวกเขาได้ ต่อมา อีเทอร์นอล ก็เกิดการแบ่งฝ่ายจากสงครามกลางเมือง กลุ่มหนึ่งยังคงอยู่บนโลก ขณะที่อีกกลุ่มย้ายไปยังดาวยูเรนัส
อีเทอร์นอล ที่ย้ายไปยูเรนัสนั้นได้พ่ายแพ้ให้กับพวก ครี และหนีไปยังดาวไททัน ซึ่งกลายเป็นบ้านเกิดของธานอส ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นบรรพบุรุษของตระกูลไททันไปโดยปริยาย
เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อพวก ครี มายังโลกและพบร่องรอยการทดลองของ เซเลสเชียล พวกเขาจึงเริ่มการทดลองทางพันธุกรรมกับมนุษย์บนโลกและ อีเทอร์นอล ซึ่งนำไปสู่การกำเนิดของ อินฮิวแมน
และสกาย ก็คือหนึ่งใน อินฮิวแมน ผู้ที่จะกลายเป็น เควก หรือ ‘ผู้ทำลายโลก’ ในอนาคต
พลังของ เควก นั้นคือ ‘แรงสั่นสะเทือน’ ซึ่งเป็นพลังที่ทรงพลังอย่างมหาศาล เมื่อใช้พลังออกมาสูงสุดเธอสามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหว สึนามิ หรือแม้แต่ทำลายดาวเคราะห์ทั้งดวงได้ ส่วนในระดับจุลภาค เธอสามารถทำให้โครงสร้างของวัตถุใด ๆ สั่นสะเทือนจนแตกสลายหรือควบคุมได้อย่างละเอียด
ตามทฤษฎีสตริง ทุกสิ่งในโลกเกิดขึ้นจากการสั่นของสายสตริง ไม่ว่าจะเป็นสสาร พลังงาน หรือสิ่งที่มีตัวตนหรือไม่มีตัวตน ทุกอย่างล้วนเป็นผลจากการสั่นสะเทือนนี้
ส่วนพลังของเอริคนั้นคือการสร้างและควบคุมพลังแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่แรงพื้นฐานของจักรวาล แม้พลังของเขาจะทรงพลังมาก แต่มันก็ยังเป็นเพียงผลผลิตจากการสั่นของสายสตริง ในทางกลับกัน พลังของสกายกลับใกล้เคียงกับแก่นแท้ของจักรวาลมากกว่า
ถึงแม้ว่าเขาจะมีเป้าหมายสูงส่ง แต่เอริคไม่ได้หวังที่จะใช้พลังของสกายเพื่อควบคุมธรรมชาติของจักรวาลในทันที เพราะแม้แต่พลังแม่เหล็กไฟฟ้าของเขาเอง เขาก็ยังพัฒนาได้เพียงเศษเสี้ยวเดียวของศักยภาพทั้งหมด
ด้วยการครอบครองพลังพื้นฐานหนึ่งในสี่ เอริคได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางใหม่ที่ท้าทายยิ่งกว่าเดิม นั่นคือการรวมพลังทั้งสี่เข้าเป็นหนึ่งเดียวและไขปริศนาของทฤษฎีสนามรวม
ในจักรวาลคู่ขนาดนั้นทั้งหมดของมาร์เวล แม็กนีโต เป็นผู้ที่ทรงพลังมากที่สุดในการอาศัยสติปัญญาของเขาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีสนามรวม และมีพลังมหาศาลจนสามารถสร้างหลุมดำได้ด้วยมือเปล่า
แต่เอริคตระหนักดีว่าความรู้ของเขายังไม่ลึกซึ้งพอ ด้วยความรู้ความสามารถที่มีอยู่นี้ เขาไม่สามารถไขปริศนาในการรวมสนามโน้มถ่วงและสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าด้วยกันได้ด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงจำเป็นต้องแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ และความสามารถในการควบคุมพลังงานของสกาย ที่อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนานี้!
เมื่อเวลาผ่านไป แผนที่พันธุกรรมของสกายก็ค่อย ๆ ถูกวาดขึ้น พร้อมกับผลการทดสอบที่ค่อย ๆ ปรากฏบนหน้าจอทีละส่วน เอริคจ้องข้อมูลที่ซับซ้อนด้วยสมาธิ พร้อมคำนวณในใจ ก่อนจะหลับตาลงด้วยความผิดหวังและถอนหายใจยาว
“ใช่จริง ๆ ด้วย . . . ยังไม่ได้! ยีนของเธอยังไม่ถูกกระตุ้น ผลการทดสอบจึงไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์เลย เฮ้อ!”
แน่นอนว่าเอริคได้คาดหวังผลลัพธ์นี้เอาไว้แล้ว แต่ก็ยังแอบมีความหวังลึก ๆ ว่าเครื่องมือที่เขาออกแบบอาจจะตรวจจับสิ่งที่เขาต้องการได้ ถึงแม้ยีนจะยังไม่ถูกกระตุ้นก็ตาม
แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้โชคจะไม่ได้อยู่ข้างเขา . . .
พลังพิเศษของมนุษย์กลายพันธุ์นั้นมาจากยีน X ซึ่งจะถูกกระตุ้นเองเมื่อเผชิญสถานการณ์เฉพาะ แต่สำหรับ อินฮิวแมน การจะกระตุ้นยีนได้พวกเขาจำเป็นต้องพึ่ง หมอกเทอร์ริเจน ที่พัฒนาขึ้นโดยเทคโนโลยีของ ครี และถ้าหากไม่มีหมอกนี้พวก อินฮิวแมน ก็จะมีชีวิตเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
“เฮ้อ . . . วนกลับมาที่เดิมจนได้! ในที่สุดก็ต้องพึ่งพาชีลด์อยู่ดี! ไม่เป็นไรหรอก สกายยังเด็กเกินไปที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากหมอกเทอร์ริเจน ฉันยังมีเวลา ยังไม่ต้องรีบ”
. . .
เช้าวันต่อมา พอฟ้าเริ่มสาง สกายก็ลืมตื่นขึ้นมา ก่อนที่เธอจะวิ่งตรงไปที่ห้องนอนของเอริคโดยไม่ทันล้างหน้า แล้วเคาะประตูด้วยเสียงดัง ‘ก๊อก ๆ ๆ’
ทำให้เอริคที่ใช้เวลาทั้งคืนในห้องทดลองใต้ดิน และพึ่งจะล้มตัวลงนอนพักได้ไม่นานก็ถูกปลุกขึ้นมา ก่อนที่เขาจะเดินไปเปิดประตูออกด้วยท่าทางงัวเงีย และพบกับเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ เอริค!” สกายกล่าวทักทายก่อนที่เอริคจะพูดอะไรออกมา และเดินจากไปทิ้งให้เอริคยืนงงอยู่ตรงนั้น
“นี่มันอะไรกัน?” เอริคมองตามหลังสกายที่เดินหายไป ก่อนจะได้ยินเสียงพึมพำอันแผ่วเบาว่า “ประโยคแรก . . .”
“ฮ่าฮ่า . . . ดูเหมือนว่าเวรกรรมมันจะเล่นฉันคืนแล้ว!” เอริคทั้งหัวเราะและส่ายหน้าไปพร้อมกัน เด็กคนนี้ชัดเจนว่ากำลังทำภารกิจสิบประโยคให้เสร็จ!
เมื่อเธอทำภารกิจเสร็จแล้ว NPC อย่างเขาก็สามารถ ‘เลิกงาน’ ได้ชั่วคราว . . .
เอริคถอนหายใจ และยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเอง แล้วกลับไปนอนต่อ
เมื่อเขาตื่นขึ้นอีกครั้งเวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสิบโมงเช้าแล้ว ก่อนที่เอริคจะเดินไปที่ครัวในชุดนอน หยิบโค้กมาเปิดขวด แต่ยังไม่ทันได้ดื่ม ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตึงตังตามหลังเขามา
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ เอริค!” สกายยังคงพูดด้วยท่าทางจริงจังเหมือนกำลังทำภารกิจ
เอริคได้แต่ส่ายหัวอย่างหมดคำพูด “สกาย ถ้าประโยคทั้งสิบของเธอในแต่ละวันจะเป็นแค่คำทักทายแบบนี้ สัญญาของเราคงต้องเป็นโมฆะแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะคะ?” สกายถามด้วยความกังวล
“เป้าหมายของการพูดสิบประโยคคือเพื่อให้เธอเรียนรู้ที่จะเข้ากับครอบครัวนี้ให้ได้ และในอนาคตสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ สกาย มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ถ้าหากเธอเอาแต่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกของตัวเอง ชีวิตจะมีความหมายอะไรล่ะ?”
คำพูดของเอริคทำให้สกายหยุดคิด ส่วนเอริคก็ไม่ได้รบกวนเธอเช่นกัน ทำให้ภายในครัวตกอยู่ในความเงียบอย่างกะทันหัน
“โครก . . . โครก . . .” ทันใดนั้นเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นทำให้แก้มของสกายแดงก่ำทันที ทำให้เอริคที่ได้ยินเช่นนั้นก็มองไปที่ท้องของสกายด้วยสายตาประหลาดใจ
“เอริค เรามีอะไรให้กินบ้างไหม?” สกายถามพลางกุมท้องตัวเอง ก่อนจะพูดต่ออย่างระมัดระวังว่า “แล้วนี่นับเป็นหนึ่งประโยคไหม?”
เอริคถึงกับเงยหน้ามองเพดาน ถอนหายใจ แล้วกลอกตาก่อนตอบเสียงเรียบ “นับสิ!”
หลังจากนั้นเอริคก็เปิดตู้เย็นเพื่อหาของกินให้เธอ แต่กลับพบว่าข้างในมีเพียงโค้กกับเบียร์ . . .
เอริคยืนนิ่งครุ่นคิด และพึมพำในใจว่า ‘ปกติฉันทำอะไรกินนะ? เอ่อ . . . เหมือนจะกินข้าวนอกบ้านตลอด . . .”
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องจ้างพี่เลี้ยงในเร็ว ๆ นี้แล้วล่ะ!
“สกาย เธออยากกินอะไร? เดี๋ยวเราออกไปกินข้าวข้างนอกกัน!”
โปรดติดตามตอนต่อไป …