ตอนที่ 47 เนรเทศ!
ตอนที่ 47 เนรเทศ!
“นี่คือแดร็กคูลาเหรอ? แวมไพร์ใช่ไหม?” ศาสตราจารย์เอ็กซ์ถามขึ้นด้วยความสนใจ
ตระกูลเซเวียร์มีประวัติศาสตร์ยาวนานและรวบรวมเรื่องราวเล่าขานต่าง ๆ มามากมาย แน่นอนว่ารวมถึงตำนานแวมไพร์ด้วย ศาสตราจารย์เอ็กซ์เคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์จากหนังสือมานับไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นแวมไพร์ตัวจริง ดังนั้นความอยากรู้อยากเห็นของเขาจึงปะทุขึ้นทันที
“ถูกต้องแล้ว ชาร์ลส์ เจ้าหมอนี่เหมือนในบันทึกเป๊ะ ๆ ที่น่าทึ่งก็คือมันสามารถกลายร่างเป็นค้างคาวได้จริง ๆ” เอริคพูดพลางเตะร่างของแดร็กคูลาที่หมดสภาพเหมือนหมูโดนเชือด โดยที่เขาไม่กังวลเลยว่ามันจะฟื้นขึ้นมาเพราะมีศาสตราจารย์เอ็กซ์อยู่ด้วย
“กลายร่างเป็นค้างคาว? น่าสนใจดีนะ ในบรรดามนุษย์กลายพันธุ์ที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ ส่วนมากมักเปลี่ยนแค่ลักษณะภายนอก ไม่ค่อยมีใครที่เปลี่ยนขนาดร่างกายได้” ศาสตราจารย์เอ็กซ์พูดด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเอริคก็เบะปากเล็กน้อย ‘สงสัยจะนึกถึงมิสทีกอีกแล้วสินะ’
หลังจากนั้นเอริคก็หันไปมองแฮงก์ด้วยความสงสัยว่าเขากำลังนึกถึงเรื่องเดียวกันอยู่หรือไม่ แต่ทันทีที่เห็นสิ่งที่แฮงก์ทำ เอริคก็ถลึงตา และตะโกนขึ้นมาทันที “แฮงก์! วางเข็มฉีดยาในมือนายลงเดี๋ยวนี้! เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่เจาะเลือดเขา!”
แฮงก์รีบซ่อนเข็มฉีดยาไว้ข้างหลังพร้อมทำหน้าอ้อนวอน “คุณเอริค นี่เป็นแวมไพร์ตัวสุดท้ายในโลกนะ ขอผมเก็บตัวอย่างเลือดเล็กน้อยเพื่อทำการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมก็พอ ผมสัญญาเลยว่าจะไม่ทำอะไรสุ่มเสี่ยง!”
“คำสัญญาของนายมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด! เราคุยเรื่องนี้กันแล้ว นายอาจจะรับรองได้ว่านายจะไม่วิจัยอะไรสุ่มเสี่ยง แต่ถ้าเลือดหรือข้อมูลที่นายได้ค้นพบมันหลุดออกไปล่ะ? นายรับรองได้ไหมว่าจะไม่มีใครนำเลือดนี้ไปใช้ในทางต้องห้าม?” เอริคคว้าเข็มฉีดยาออกจากมือแฮงก์ และบีบจนมันเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วโยนลงถังขยะ
แฮงก์กลืนน้ำลายมองแดร็กคูลาด้วยสายตาเสียดาย ราวกับมองสาวสวยที่ไม่อาจไขว่คว้าได้ ทำให้เอริคอดสงสัยในรสนิยมของแฮงก์ไม่ได้
“แฮงก์ เอริคพูดถูกแล้ว มนุษย์กลายพันธุ์มีปัญหามากพออยู่แล้ว เราไม่ควรยุ่งกับสิ่งมีชีวิตอย่างแวมไพร์อีก!” ศาสตราจารย์เอ็กซ์กล่าวเสริม
“เข้าใจแล้วครับ เฮ้อ น่าเสียดายชะมัด!” แฮงก์ถอนหายใจอย่างหนัก เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่มีทางได้ตัวอย่างเลือดแน่นอน
“ชาร์ลส์ มาเริ่มกันเลยดีกว่า ยิ่งช้าก็ยิ่งเสี่ยง” เอริคเร่งศาสตราจารย์เอ็กซ์ด้วยความกังวล
“ตกลง!”
หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสามคนพาแดร็กคูลามายังเครื่องขยายคลื่นสมองอีกครั้ง โดยคราวนี้มีเพียงศาสตราจารย์เอ็กซ์ที่สามารถดำเนินการได้ โดยที่เอริคและแฮงก์ทำได้เพียงเฝ้าดูอยู่ด้านนอก
. . .
ทันใดนั้นภาพความทรงจำจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นบนผนังรอบด้านอีกครั้ง มีทั้งภาพที่แดร็กคูลาเต้นรำกับหญิงสาวในชุดหรูหรา ต่อสู้กับศัตรูในสนามรบ ล่าเหยื่อมนุษย์เพื่อดื่มเลือด และยืนจ้องมองดวงจันทร์อย่างโดดเดี่ยว
ความทรงจำของแดร็กคูลานั้นเต็มไปด้วยประสบการณ์มากมายในชีวิตอันยาวนาน เอริคกับแฮงก์ดูไปพลางวิจารณ์ไปพลางเหมือนกำลังดูหนัง พวกเขาไว้วางใจในความสามารถของศาสตราจารย์เอ็กซ์อย่างเต็มที่และไม่กังวลเลยว่าจะล้มเหลว
หลังจากผ่านไปเพียงสิบกว่านาที ภาพรอบเครื่องขยายคลื่นสมองก็ค่อย ๆ เลือนหายไป ศาสตราจารย์เอ็กซ์เปิดตาและหันมาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “สำเร็จเรียบร้อยแล้ว!”
“ดูท่าเขาจะติดอยู่ในกรงขังความทรงจำของตัวเองไปอีกนาน แถมฉันยังวางกับดักวงจรความทรงจำซ้อนไว้หลายชั้นเพื่อให้เขาออกมายากขึ้นอีกด้วย”
“มีโอกาสไหมที่เขาจะหลุดออกมาเอง?” เอริคถาม
“ยากมาก ถ้าไม่มีปัจจัยภายนอกช่วยเหลือ” ศาสตราจารย์ตอบ
“งั้นก็ดี!” เอริคถอนหายใจโล่งอก
“แต่ถ้ามีคนช่วยเขาล่ะ?” แฮงก์ถามขึ้น
เอริคหัวเราะ “ช่วยเขา? ใครกัน? เพราะหลังจากนี้มันจะไม่มีใครรู้แน่ว่าเขาอยู่ที่ไหน!”
. . .
เมื่อเอริคพาแดร็กคูลามาส่งที่อาศรมเวทในนิวยอร์ก เขาก็พบว่าแอนเชียนวันกำลังนั่งรอเขาพร้อมกับชาถ้วยหนึ่งอยู่แล้ว
“ท่านแอนเชียนวัน ท่านนี่ช่างเหมือนคนที่จับเวลาเอาไว้ในกำมือ และมักจะนำหน้าคนอื่นไปหนึ่งก้าวเสมอ” เอริคพูดพร้อมจิบชาอย่างชื่นชม
แอนเชียนวันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “เอริค บางครั้งการรู้มากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี บางทีข้าอาจจะผิดเอง!”
“หมายความว่าไงครับ? ผิดเรื่องอะไร?” เอริคถามด้วยความสับสน
“ไม่มีอะไร อย่าพูดถึงมันเลยดีกว่า” แอนเชียนวันส่ายหัว ไม่ต้องการพูดต่อในหัวข้อนี้ “เอริค เพื่อนเก่าของเจ้าคนนี้เก่งมากจริง ๆ ข้าลองตรวจดูอนาคต ในหนึ่งพันปีข้างหน้า มีอนาคตไม่ถึงพันแบบที่เขาจะกลับมาได้”
“พันแบบ? เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?” เอริคตกใจ ความเป็นไปได้ถึงพันแบบหมายความว่าแดร็กคูลามีวิธีหลุดพ้นจากการจองจำเกือบพันวิธี! เขาคิดว่าแผนที่วางไว้นั้นไร้ช่องโหว่แล้วซะอีก
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอนหรอก! แต่ที่เจ้าทำได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว” แอนเชียนวันยิ้มพลางชี้ไปที่แดร็กคูลาที่นอนอยู่บนพื้น “พื้นตรงนั้นเย็นมาก เจ้าไม่คิดจะหาผ้าคลุมให้เขาหน่อยหรือ?”
เอริคได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที “ท่านพูดถูก เขาควรจะใส่อะไรสักเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นจริง ๆ ด้วย!”
พูดจบเอริคก็โบกมือเรียกโลหะชิ้นใหญ่ที่เขาเตรียมไว้สำหรับขังแดร็กคูลาออกมา ก่อนที่เขาจะชี้นิ้วไปที่โลหะนั้น ทันใดนั้นโลหะก็เริ่มหมุนด้วยความเร็วสูง พร้อมทั้งมีอนุภาคโลหะจำนวนมากร่วงหล่นออกมาจากพื้นผิวและหมุนวนรอบแดร็กคูลา
เมื่อโลหะทั้งหมดสลายตัวจนกลายเป็นอนุภาค เอริคก็ประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นอนุภาคโลหะในอากาศก็รวมตัวกันทันที กลายเป็นก้อนโลหะขนาดใหญ่รูปร่างไม่เรียบเนียน มีหลุมบ่ออยู่ทั่ว และห่อหุ้มร่างของแดร็กคูลาไว้อย่างมิดชิด ทำให้มองจากระยะไกลมันดูคล้ายอุกกาบาตไม่มีผิด
เอริคมองผลงานของตัวเองแล้วย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหยิบอนุภาคโลหะอีกชิ้นขนาดเท่าเมล็ดถั่วออกมา แล้วเคลือบมันไว้บนพื้นผิวของก้อนโลหะอย่างสม่ำเสมอ
“ไวเบรเนียม?” แอนเชียนวันมองเห็นชั้นบาง ๆ ที่เคลือบด้วยสีเงินและแสดงความแปลกใจออกมาเล็กน้อย
“ใช่ ฉันหมดเงินไปเยอะมาก! ได้โปรดส่งเขาไปไกล ๆ ทีเถอะ!” เอริคทำหน้าเจ็บปวด
แอนเชียนวันส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะตบก้อนโลหะนั้นแรง ๆ ครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นแสงเวทมนตร์สีเหลืองและเขียววาบก็สว่างขึ้น พร้อมกับก้อนโลหะที่หายไปในพริบตา
“ท่านแอนเชียนวัน ท่านส่งมันไปไกลพอแน่นะ? จะมีใครตามหาเขาเจอไหม?”
“อีกไม่นานเขาจะออกไปนอกกาแล็กซีทางช้างเผือกแล้ว” แอนเชียนวันตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพลิกฝ่ามือเสกถุงใบหนึ่งยื่นให้เอริค “นี่คือใบชาที่ข้าเลือกให้ ดื่มบ่อย ๆ ตอนมีเวลา มันจะช่วยให้เจ้าสงบจิตใจได้”
เอริครับถุงชาด้วยความเคารพและโค้งตัวขอบคุณเล็กน้อย “ขอบคุณท่านแอนเชียนวัน ฉันจะดื่มด้วยความนอบน้อมเลยล่ะ”
ถ้วยชา แสงสว่าง และเส้นทางที่ทอดยาว . . .
โปรดติดตามตอนต่อไป …