บทที่ 17 หนานกง
ในที่สุดความคิดของซูไป๋อีก็เริ่มแจ่มชัดขึ้นทีละน้อย เขามองหญิงสาวเบื้องหน้า ผู้แนะนำตัวว่าเป็นหนานกงซีเอ๋อร์ พิจารณานางอย่างถี่ถ้วนจนจำได้ “เป็นเจ้าเอง... เราเจอกันแล้วสองครั้ง ครั้งหนึ่งในเมืองเย่หลัน อีกครั้งที่หมู่บ้านดอกท้อ เจ้าเป็นศิษย์พี่ของเฟิงจั่วจวินนี่เอง!”
“ตอนนี้ข้าก็เป็นศิษย์พี่ของเจ้าแล้วเช่นกัน”
หนานกงซีเอ๋อร์หยิบกระบี่เล่มยาวที่อยู่ข้างกายขึ้นมา ยกขึ้นตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “คืนนี้เป็นคืนใด ไยพบคนผู้เลอค่าเช่นนี้? เจ้าเคยได้ยินบทเพลงนี้หรือ?”
“กระบี่คำกล่าววีรชน!” ซูไป๋อีร้องออกมาด้วยความยินดี รีบคว้ากระบี่นั้นมาถือไว้
“ใช่แล้ว อาจารย์ข้ามักร้องเพลงนี้ยามเมามาย แต่ว่าท่านร้องไม่ไพเราะเท่าท่านเลย บางครั้งก็สะอื้นไห้ แถมยังร่ายรำกระบี่ไปทั่ว ทำให้ลานบ้านรกไปหมด”
เขาพูดจบก็สังเกตเห็นว่าดวงตาของหนานกงซีเอ๋อร์ที่นิ่งดั่งผิวน้ำมีแววสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับมีก้อนกรวดหนึ่งตกลงไปในสระน้ำใสอันสงบจนเกิดระลอกคลื่น เขาจึงหยุดพูดทันที
‘ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นแน่’ เสียงหนึ่งในใจของซูไป๋อีตะโกนขึ้นมา
“สะอื้นไห้หรือ?” หนานกงซีเอ๋อร์พึมพำเบาๆ
ชัดเจน เป็นหนี้รักอาจารย์แน่ๆ ข้าคาดไว้อยู่แล้ว!
ซูไป๋อีแอบถอนหายใจอย่างเศร้าในใจ ก่อนจะรีบยกมือแก้ต่าง “แม่นาง เอ่อ ไม่ใช่สิ ศิษย์พี่หนานกง! ข้าเองก็ไม่ชอบนิสัยเจ้าชู้ของอาจารย์นัก ข้าถึงกับเคยตำหนิท่านอยู่บ่อยๆ จนพักหลังท่านก็อยู่ในกรอบขึ้นมาก….”
ขณะพูดซูไป๋อีเห็นสีหน้าของหนานกงซีเอ๋อร์ยิ่งดูบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ เสียงของเขาจึงค่อยๆ เบาลง
“บุญคุณมีเจ้าของ หนี้รักย่อมมีเจ้าหนี้ เรื่องของอาจารย์ไม่เกี่ยวกับข้า ไม่เกี่ยวกับข้าเลยจริงๆ…”
“เขาเจ้าชู้นักหรือ?” หนานกงซีเอ๋อร์ถามขึ้น
ซูไป๋อีคิดเล็กน้อยก่อนตอบ “อาจารย์เคยบอกว่า ยามเขาย่างผ่านมวลบุปผามิอาจยอมให้กลีบดอกไม้ติดตัว ข้าเดาว่าท่านเจ้าชู้เพียงวาจา ส่วนท่านทำอะไรกับศิษย์พี่หนานกงหรือ... เอ่อ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ?”
หนานกงซีเอ๋อร์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเย็นๆ “เจ้าคิดว่าอาจารย์เจ้า เซี่ยคั่นฮวา มีเรื่องรักใคร่กับข้าหรือ?”
“หรือว่า…ไม่ใช่?” ซูไป๋อีพูดอย่างขัดเขิน คิดในใจว่าตัวเองอาจจะเดาผิดไป
ชายหนุ่มสองคนที่แอบฟังอยู่ไม่ไกลหันมามองหน้ากัน เฟิงจั่วจวินเกาท้ายทอยอย่างจนใจ “ช่วย หรือไม่ช่วยดี?”
เซี่ยอวี่หลิงจ้องเฟิงจั่วจวินเย็นชา ก่อนจะนิ่งคิดสักครู่แล้วว่า “ช่วยเถอะ”
ทันทีที่ซูไป๋อีพูดจบ หนานกงซีเอ๋อร์ก็ก้มหน้าลงอย่างเงียบๆ ซูไป๋อีเริ่มรู้สึกงุนงง ขณะนั้นเองมือหนาของใครบางคนวางลงบนบ่าของเขา เขาหันไปก็เห็นเฟิงจั่วจวินยิ้มกว้างอย่างโอ้อวด
“เฮ้! ในที่สุดเจ้าก็ตื่น ทำให้พวกเราห่วงแทบแย่ นอนซะนานท้องคงหิวแล้วกระมัง ข้าเพิ่งย่างกระต่ายมา เอานี่ กินให้อิ่ม” เฟิงจั่วจวินบีบไหล่ของซูไป๋อีแรงๆ แล้วกล่าว
“เรายังมีหลายเรื่องต้องคุยกันอีก” พูดจบก็ไม่รอให้ซูไป๋อีตอบ ดึงตัวเขาเดินไปที่รถม้าทันที
ด้านเซี่ยอวี่หลิงก็กล่าวกับหนานกงซีเอ๋อร์เบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ เมื่อครู่ข้าไปสำรวจดูรอบๆ แล้ว ดูเหมือนว่าสำนักศึกษาจะไม่มีใครตามมา คาดว่าหลี่กุ่ยคงสกัดพวกนั้นไว้ได้ จากนี้เราจะมุ่งหน้าไปที่เมืองเซวียนเต๋อ…”
เฟิงจั่วจวินผลักซูไป๋อีไปที่ข้างรถม้า แล้วถอนหายใจยาว “ข้ามักถูกคนอื่นบอกว่าข้าไม่ค่อยรู้จักพูด แต่ข้าค้นพบว่าเจ้าพูดไม่เป็นยิ่งกว่าข้าอีก และเจ้าก็ยังชอบพูดมากไปด้วย”
ซูไป๋อียังคงงุนงงไม่หาย “ข้าพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ?”
“ข้าถามเจ้า อาจารย์เซี่ยคั่นฮวาของเจ้าปีนี้อายุเท่าไหร่?” เฟิงจั่วจวินถามขึ้น
ซูไป๋อีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าท่านอาจารย์ไม่ได้โกหก ข้าคิดว่าน่าจะสามสิบเจ็ด”
“งั้นเจ้าคิดว่าศิษย์พี่หญิงของพวกเราอายุเท่าไหร่?” เฟิงจั่วจวินถามต่อ
ซูไป๋อีคิดอีกครั้งก่อนตอบ “ยี่สิบหก…กระมัง?”
เฟิงจั่วจวินชะงักตกใจจนพุ่งเข้ามาเอามือปิดปากซูไป๋อีพลางกระซิบเสียงต่ำ “บอกแล้วไงว่าอย่าพูดพล่อยๆ! ตะโกนเสียงดังขนาดนี้ไม่กลัวตายหรือไง?”
ซูไป๋อีพูดอู้อี้เพราะโดนปิดปาก “ก็…ก็เจ้าถามข้าเองนี่นา หรือว่า…ข้าทายผิด?”
เฟิงจั่วจวินปล่อยมือก่อนถามต่อ “เจ้าอายุเท่าไหร่?”
“ข้าเพิ่งอายุครบสิบแปดเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง” ซูไป๋อีตอบ
“ข้าสิบเก้า เซี่ยอวี่หลิงสิบแปด เจ้ายังต้องเรียกพวกข้าว่าศิษย์พี่” เฟิงจั่วจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น
“ส่วนที่ศิษย์พี่หญิงเป็นศิษย์พี่นั้น ก็เพียงเพราะเข้ามาเป็นศิษย์ก่อนพวกเราเท่านั้นเอง ศิษย์พี่หญิงเข้ามาสำนักตั้งแต่เจ็ดขวบ เวลาผ่านไปสิบปี ตอนนี้นางเพิ่งอายุสิบเจ็ด ยังอ่อนกว่าเจ้าอยู่ปีหนึ่ง เจ้าคิดว่าอาจารย์ของเจ้าจะมีเรื่องรักใคร่กับศิษย์พี่ที่อายุสิบเจ็ดจริงๆ หรือ?”
“หา!? สิบเจ็ดหรือ?” ซูไป๋อีร้องขึ้นอย่างตกใจ
“ข้าบอกให้พูดเบาๆ ไงเจ้าบ้า!” เฟิงจั่วจวินถลึงตาใส่ “ข้ารู้ว่านางงดงามสะดุดตามาก ไม่เหมือนหญิงสาววัยสิบเจ็ดทั่วไป ด้วย…”
เฟิงจั่วจวินเลียริมฝีปาก มือขวาทำท่าขึ้นลงคล้ายกำลังวาดเส้นโค้งอธิบายอย่างลึกลับ “ด้วยบางจุดของศิษย์พี่น่ะ…เติบโตมากจนเกินไป จึงทำให้บางคนอาจเข้าใจผิดไปได้”
“น้ำลายเจ้ากำลังจะหยดแล้ว เช็ดซะ” เสียงเรียบเย็นดังขึ้นจากด้านหลัง
เฟิงจั่วจวินรีบยกมือปาดปาก หันกลับมาทำหน้าจริงจัง “ข้าแค่กำลังอธิบายให้ซูไป๋อีฟังว่าศิษย์พี่หญิงรังเกียจเรื่องอายุเป็นพิเศษ ไม่มีเจตนาอื่นเลย! เซี่ยอวี่หลิง เจ้าตามมาทำไม ศิษย์พี่หญิงอยู่ไหน?”
“ศิษย์พี่บอกว่าขออยู่คนเดียวสักพัก” เซี่ยอวี่หลิงเหลือบมองไปยังหนานกงซีเอ๋อร์ที่ยืนห่างออกไป
หนานกงซีเอ๋อร์เงยหน้าทอดมองจันทร์ พลางเอ่ยเสียงเบา “ท่านแม่...เมื่อครู่เด็กหนุ่มคนนั้นบอกว่าเขามักร้องเพลงนี้อยู่เสมอ และบอกด้วยว่าร้องไปก็สะอื้นไห้ไป เขายังจดจำเราได้เหมือนที่ท่านว่าไว้หรือไม่?”
ซูไป๋อีมองเงาร่างที่ดูเหม่อลอยของหนานกงซีเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้ว เขาไม่ได้บอกไปว่า ทุกครั้งที่เซี่ยคั่นฮวาเมามายและขับขานบทเพลงนี้ ท่านมักจะนอนบนลานบ้าน ชมจันทร์แล้วพร่ำเพรียกชื่อหนึ่งซ้ำๆ ชื่อนั้นก็คือ “หนานกงอวี่เหวิน”
พลันมีเสียง “ผลั่ก!” ดังขึ้น
ขณะที่ดาบไม้ไผ่เล่มหนึ่งกระทบลงบนไหล่ของซูไป๋อี ขัดจังหวะความคิดของเขา เขาหันไปมองเฟิงจั่วจวินที่เพิ่งโผล่เข้ามา
“เจ้าจะทำอะไรอีก?” ซูไป๋อีถามอย่างไม่พอใจ
เฟิงจั่วจวินยิ้มมุมปาก “เรื่องของศิษย์พี่ข้าช่วยจัดการให้แล้ว ทีนี้เจ้ากับข้าคงต้องสะสางปัญหาเก่าแล้วกระมัง?”
“ข้ามีเรื่องต้องสะสางอะไรกับเจ้าด้วยหรือ?” ซูไป๋อีเอ่ยอย่างรำคาญใจ “แค่ข้าชิงช่วยชายชุดครามก่อนในเมืองเย่หลัน ใครช่วยมีความต่างกันหรืออย่างไร?”
เซี่ยอวี่หลิงมองเฟิงจั่วจวินพลางแค่นยิ้ม “ดูท่าข้าจะเดาไม่ผิด เขาจำไม่ได้เลยสักนิด”
เฟิงจั่วจวินยืดไหล่จนกระดูกดังลั่น “จำไม่ได้หรือ? แต่กระดูกของข้า ยังจำได้ดีอยู่เลย!”