บทที่ 16 พบพาน
สายฝนกระหน่ำหนักหน่วง เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังกึกก้องราวกับท้องฟ้าเกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ หยาดน้ำฝนเม็ดโตดั่งเม็ดถั่วสาดลงมาไม่ขาดสาย กระแทกชายคาดังเปาะแปะ ทั่วทั้งถนนสายยาว ร้านรวงต่างๆ พากันปิดหมด แม้แต่หอสุราริมทางก็ล้วนปิดประตูสนิท
เด็กชายผู้สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นวิ่งฝ่าสายฝน เข้ามาหลบใต้ชายคามาตรว่ากว้างกว่าใครอื่น ถนนทั้งสายเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน เด็กชายกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนล้วงเอาหมั่นโถวลูกหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
หมั่นโถวลูกนั้นยังคงเป็นไอร้อนระอุ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งออกจากเตาได้ไม่นาน
เด็กชายยิ้มกว้างหยิบหมั่นโถวขึ้นมากิน แต่ใบหน้าที่ดำมอมแมมนั้นทำให้หมั่นโถวสีขาวสะอาดกลายเป็นสีดำเปื้อนคล้ำ เขากินไปพลาง ยิ้มไปพลาง แต่รอยยิ้มนั้นกลับค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น น้ำตาร่วงเผาะลงผสมกับหยาดฝน เขากลืนหมั่นโถวทั้งลูกลงไป ก่อนล้มตัวลงกับพื้น แผดร่ำไห้เสียงดัง
“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่? พวกเจ้า…ไยต้องฆ่าข้าด้วย?”
ไม่รู้ว่ามีชายฉกรรจ์ในเสื้อคลุมฟางหลายคนมายืนอยู่ใต้ชายคาฝั่งตรงข้ามตั้งแต่เมื่อไร พวกเขามองเด็กชายที่กำลังร้องไห้ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะชักดาบยาวออกจากเอวอย่างช้าๆ
ใบดาบถูกน้ำฝนชะล้างจนวาววับ เย็นเยียบจนน่าหวั่นสะพรึง
“ใครจะช่วยข้าได้บ้าง? ใครจะช่วยข้าได้บ้าง? ใครจะช่วยข้าได้บ้าง!” เด็กชายตะโกนก้องถามฟ้าอย่างสิ้นหวัง
แน่นอนว่าไม่มีขานตอบกลับ ชายฉกรรจ์เหล่านั้นกระโดดลงมาจากชายคา น้ำฝนกระเด็นกระจายโดนใบหน้าเด็กชาย คล้ายเขาตื่นจากภวังค์ทันใด รีบลุกขึ้นวิ่งไปตามแนวชายคา
หนึ่งในฉกรรจ์บุรุษพุ่งตัวมาขวางหน้าเด็กชาย พร้อมยกเท้าถีบเขาลงไปในแอ่งน้ำข้างทาง จากนั้นก็ยกดาบขึ้น ดาบนั้นประกายแสงเย็นเยียบ สะท้อนในอากาศเปียกชื้นจนน่าใจหาย เดินเข้าไปหาเด็กชายทีละก้าว
เด็กชายที่ล้มลงมองท้องฟ้า เลือดสดไหลจากจมูกและปาก ย้อมเสื้อจนแดงฉาน
จบแล้วหรือ?
ชีวิตที่ยังไม่ทันได้เริ่มต้น ก็จะจบลงเช่นนี้แล้วหรือ?
แสงดาบวาววับ เด็กชายหลับตาลง
“อย่าได้ฝากโชคชะตาของตนไว้ในมือผู้อื่น เพราะในชีวิตนี้ ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะมีคนมาช่วยเจ้า” เสียงอบอุ่นสายหนึ่งดังขึ้นเหนือหัว
ฝนดูเหมือนจะหยุดลงแล้ว แต่ทำไมยังได้ยินเสียงน้ำฝนอยู่ใกล้ๆ?
เด็กชายลืมตาขึ้น เห็นร่มกระดาษน้ำมันกางอยู่เหนือศีรษะเขา คอยกันหยาดฝนให้ เขาเงยหน้าขึ้นเห็นบุรุษในชุดขาวผ่าเผย ใบหน้าอ่อนโยน เขาก้มมองเด็กชายพลางยิ้มตาหยี “แต่ว่าคำพูดเช่นนี้ สำหรับเด็กน้อยเช่นเจ้า อาจจะฟังดูเข้มงวดเกินไป”
“ท่าน…ท่านเป็นใคร?” เด็กชายถามอย่างหวาดกลัว
“นามข้าเซี่ยคั่นฮวา” บุรุษในชุดขาวย่อตัวลง ยื่นมือให้เด็กชาย
เด็กชายลังเลเล็กน้อย ก่อนจะขยับเท้าถอยไปโดยไม่รู้ตัว
“ข้าคือครอบครัวของเจ้า” เขายิ้มอบอุ่นเช่นเดิม
เด็กชายมองเข้าไปในดวงตาของเขา สุดท้ายก็ยื่นมือออกไป บุรุษในชุดขาวคว้าตัวเด็กชายขึ้นมา จากนั้นลูบศีรษะที่เปียกโชกของเขาเบาๆ “ไปกันเถอะ”
เด็กชายมองไปรอบๆ เห็นชายฉกรรจ์ในเสื้อคลุมฟางนอนแน่นิ่งบนพื้น ไม่ขยับเขยื้อน
“พวกเขาตายแล้วหรือ?” เด็กชายถาม
“ข้าไม่ชอบฆ่าคน เพียงแต่ทำลายวรยุทธพวกเขาเท่านั้น” เซี่ยคั่นฮวาย่อตัวลง ยื่นร่มให้เด็กชาย “ข้าจะแบกเจ้าเอง เจ้าช่วยถือร่มให้ข้า”
เด็กชายมองเสื้อผ้าที่เปื้อนเปรอะของตน แล้วหันไปมองชุดขาวสะอาดราวหิมะของเซี่ยคั่นฮวา รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ข้าสกปรก มันจะเปื้อนเสื้อของท่าน”
“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” เซี่ยคั่นฮวาวางร่มลงในมือเด็กชาย ก่อนจะย่อตัวแบกเขาขึ้นหลัง
“เสื้อสีขาวเปื้อนแล้วล้างยากนะ” เด็กชายกระซิบเบาๆ
“เพราะแบบนั้นข้าถึงมีเสื้อขาวหลายชุด” เซี่ยคั่นฮวาหัวเราะ
“เมื่อออกท่องยุทธภพ ย่อมมิอาจเลี่ยงฝุ่นโคลนจับ แต่สีของเสื้อขาวนี้จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ข้าจึงเปลี่ยนเสื้ออยู่บ่อยๆ เพื่อให้ดูสดใหม่เสมอ”
“ไยต้องเป็นสีขาว?” เด็กชายถาม
“เพราะบรรดาสตรีชมชอบมันยิ่งนัก” เซี่ยคั่นฮวากล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
“ข้าก็อยากใส่บ้าง” เด็กชายพูดอย่างเขินอาย
“ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว” น้ำเสียงเซี่ยคั่นฮวามีความภาคภูมิ “จากนี้ไปเจ้าอยู่กับข้า ย่อมต้องเป็นเช่นข้า สวมเสื้อขาวดั่งหิมะและเปี่ยมด้วยสง่าราศี”
“ข้าชื่อเฉินซานไฉ” เด็กชายเอ่ยขึ้นทันที
เซี่ยคั่นฮวาส่ายศีรษะ “มิใช่ นับแต่นี้ไปเจ้าจะชื่อซูไป๋อี”
เด็กชายดวงตาเป็นประกาย เขาไม่ยึดติดกับชื่อของตนเท่าไร แต่กลับให้ความสำคัญกับสกุล “ซูหรือ?”
“ใช่แล้ว ซูที่ไพเราะ มีสตรีที่อ่อนโยนและงดงามมากนางหนึ่งใช้แซ่นี้ อีกทั้งยังมีบุรุษผู้ยิ่งใหญ่และกล้าหาญอีกคนใช้แซ่นี้เช่นกัน เพราะเช่นนั้นวันหนึ่งเจ้าจะต้องเป็นคนสำคัญแน่ เพราะเจ้าไม่เพียงแต่แซ่ซู ยังมีอาจารย์แซ่เซี่ยอีกด้วย” เซี่ยคั่นฮวายกหน้าขึ้น
“ยกร่มให้สูงหน่อย”
เด็กชายรีบยกร่มให้สูงขึ้น “อาจารย์แซ่เซี่ยหรือ?”
“นั่นข้าเอง” เซี่ยคั่นฮวาหัวเราะ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ซูไป๋อีก็อาศัยอยู่กับเซี่ยคั่นฮวา ผู้ที่อ้างว่าเป็นทั้งครอบครัวและอาจารย์ของเขา พวกเขาไปตั้งรกรากในหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบชื่อหมู่บ้านดอกท้อ เพราะเซี่ยคั่นฮวาบอกว่าที่นั่นมีสุราเลิศรส ทั้งสองซื้อบ้านหลังหนึ่งแล้วพำนักอยู่ที่นั่น
ซูไป๋อีมักอยากถามถึงชาติกำเนิดของตน แต่เซี่ยคั่นฮวามักบอกให้รอจนกว่าเขาจะโตพอแล้วจะได้รู้เอง
ในแต่ละวัน เซี่ยคั่นฮวามักร่ำสุรา อ่านหนังสือ สอนวรยุทธให้ซูไป๋อี และดูเหมือนจะมีความสุขในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ เวลาที่เขาดื่มสุราดอกท้อมากเกินไป ก็มักจะเอนหลังบนต้นท้อและขับขานบทเพลง
“มัดฟืนแนบแน่น แช่มชมดาราสามดวงเฉิดฉันบนฟ้าไกล
คืนนี้เป็นคืนใด ไยพบคนผู้เลอค่าเช่นนี้?
โอเจ้า โอ้เจ้าผู้เลอค่า
คราได้พบพาน เราพานพบกันเช่นไร บุรุษเยี่ยงนี้มีค่าฤๅ?”
เสียงเพลงอ้อยอิ่งระคนปนโศก มักทำให้เขาร่ำไห้ท้ายที่สุด ทว่า... เหตุใดครานี้เสียงขับขานบทเพลงจึงเป็นเสียงของสตรี?
ซูไป๋อีกะพริบตาถี่ๆ จนลืมตาขึ้น เห็นหญิงสาวในชุดสีม่วงนั่งอยู่บนกิ่งไม้ไม่ไกลนัก ขาเรียวยาวของนางแกว่งไปมาอยู่ตรงนั้น
“เจ้าตื่นแล้วหรือ?” เสียงขับเพลงหยุดลงอย่างกะทันหัน สตรีนางนั้นกระโจนลงจากต้นไม้ร่อนมายืนตรงหน้าเขา สีหน้าเห็นชัดมีแววดีใจ
ซูไป๋อี่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเต็มที่ เห็นใบหน้าสตรีผู้นี้ได้ถนัดชัดขึ้น นางมีดวงตาสุกสกาว ผิวขาวนวลสะอาดเปล่งปลั่ง งามสะคราญยิ่งนักมิอาจหาสตรีใดเปรียบปาน หากผู้เลอค่าในบทเพลงมีรูปลักษณ์เป็นรูปธรรม คงจะเป็นเช่นนี้กระมัง
“จะว่าไป เราพบกันครั้งที่สามแล้วกระมัง แต่บางทีครั้งนี้อาจนับเป็นการพบกันจริงๆ คราแรก”
หญิงสาวในชุดม่วงยืนขึ้น ยกนิ้วเรียวงามช้อนผมที่ปรกหน้าผากไปข้างหนึ่ง “ชื่อข้าหนานกงซีเอ๋อร์”
“คืนนี้เป็นคืนใด ไยพบคนผู้เลอค่าเช่นนี้?” ซูไป๋อีที่ยังสะลึมสะลือ พึมพำอย่างไม่แน่ใจว่าตนเองอยู่ในความฝันหรือไม่
โฉมสะคราญในชุดม่วงพยักหน้า “ใช่ เป็น ‘ซี’ คำเดียวกัน” (ซี=เลอค่า)