บทที่ 15 หลี่กุ่ย
“ฮ่ะ!”
ยามค่ำคืนเงียบสงบบนเส้นทางภูเขา มีเพียงรถม้าที่กำลังแล่นลงจากภูเขา สารถีนั่งอยู่ด้านหน้า ขณะที่เบื้องหลังมีบรุษหนุ่มสองคน หนึ่งในนั้นร่างสูงใหญ่ กร้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง “เจ้าจะลงจากเขาก็ลงเองสิ ไยต้องติดตามรถของพวกเราด้วย?”
อีกคนหนึ่งมีรูปร่างผอมบาง หน้าตาเย็นชา และน้ำเสียงก็เย็นยิ่งกว่า “ข้าตามรถของศิษย์พี่หญิง หาใช่รถของเจ้า จงเข้าใจให้ถูกเถอะ เฟิงจั่วจวิน”
“ข้าเป็นสุนัขรับใช้คนแรกของศิษย์พี่หญิง รถของศิษย์พี่หญิงย่อมเป็นรถของข้า” เฟิงจั่วจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความภาคภูมิ
“ข้าขอบังอาจถามเถิด ท่านประมุขน้อยแห่งสำนักเมฆาสางสวรรค์ ท่านกล่าวคำที่น่าละอายเช่นนี้ด้วยความภูมิใจได้อย่างไร?” เซี่ยอวี่หลิงถาม
“เจ้าคิดว่าน่าอาย แต่ข้าคิดว่าน่าภูมิใจ ไยเล่า? เพราะศิษย์พี่หญิงนั้นแข็งแกร่ง ยอมรับผู้แข็งแกร่ง จึงกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง นี่คือวิถีของพวกเราชาวสำนักเมฆาสางสวรรค์ เราจึงเป็นจ้าวแห่งมหาทะเลเมฆา ส่วนตระกูลเซี่ยของเจ้า เพียงแค่ศิลาใต้บาทาของสี่ตระกูลเท่านั้น” เฟิงจั่วจวินเย้ยหยัน
“เจ้าลองพูดอีกประโยคหนึ่งสิ” เซี่ยอวี่หลิงจับกระบี่ที่เอว
“เจ้าช่างมีชีวิตที่เหนื่อยนัก” เฟิงจั่วจวินยื่นนิ้วแตะดวงตาของตน “เพียงแค่มองตาของเจ้าก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว จงเป็นอิสระบ้าง เรียนรู้จากท่านอาของเจ้าเซี่ยคั่นฮวาผู้เลื่องชื่อไปทั่วหล้า”
ศิษย์พี่หญิงที่นั่งหลับตาสงบอยู่ตลอดนั้นจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา
เฟิงจั่วจวินรู้ตัวว่ากล่าวผิด จึงเงียบปากลงทันที
เซี่ยอวี่หลิงหันไปถาม “ศิษย์พี่หญิง ท่านอาของข้ายังมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่?”
ศิษย์พี่หญิงหยิบกระบี่ที่วางอยู่ข้างๆ ออกมา แล้วชักออกจากฝัก ใช้นิ้วลูบเบาๆ ไปตามตัวกระบี่
“กระบี่คำกล่าววีรชน” เซี่ยอวี่หลิงเอ่ยเสียงหนัก
“ฮึ~” หลี่กุ่ยกระตุกบังเหียนทันใด ทำให้รถม้าหยุดลง เขากล่าวเสียงหนัก “วีรชนโจวเจิ้ง”
โจวเจิ้งในอาภรณ์สีน้ำเงินยืนอยู่หน้ารถม้า เขาถอนหายใจเบาๆ “กลับขึ้นไปเถิด”
หลี่กุ่ยส่งบังเหียนในมือให้เฟิงจั่วจวิน พูดเสียงเบา “สักครู่ข้าจะบอกให้ไป แล้วพวกเจ้าจงลงจากเขาเดี๋ยวนั้นเลย”
“เดิมทีข้าคิดว่าจะพูดด้วยเหตุผล จึงเรียกพี่สามมา แต่ก็มาไม่ทัน เจ้าได้ลงเขาแล้ว มิอาจใช้เหตุผลได้ ย่อมต้องใช้หมัดวาที ในบรรดาพี่น้องบนเขานี้ ข้าวีรชนโจวเจิ้งมีหมัดหนักที่สุด”
แต่แล้วเสียงของโจวเจิ้งกลับแผ่วลงในวรรคหลัง “ข้ามาที่นี่! เพื่อพาเจ้ากลับขึ้นเขา…”
“ศิษย์พี่ ท่านกล่าวดังๆ ข้าฟังไม่ถนัดนัก” เสียงจากในรถม้าไพเราะยิ่งนัก
“ข้าบอกว่า!” จู่ๆ โจวเจิ้งก็ตะโกนเสียงดัง “ข้ามาที่นี่ เพื่อจะพาเจ้า...”
“กรร!”
จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามดังขึ้นดุจสายฟ้าฟาดระเบิดในพงไพร ทำให้ใบไม้ในระยะสามลี้สั่นไหว ทั้งเฟิงจั่วจวินและเซี่ยอวี่หลิงในรถม้าต่างตกใจกลิ้งลงไปกับพื้น
“ช่างเป็นราชสีห์คำรามวิถีพุทธที่ร้ายกาจยิ่ง” เฟิงจั่วจวินกัดฟันพูด
สีหน้าโจวเจิ้งไม่เปลี่ยนแปลง มองหลี่กุ่ยที่ก้าวลงจากรถม้าตรงหน้า พลางกล่าวอย่างช้าๆ “หลี่กุ่ย เจ้าถูกห้ามฝึกยุทธ์มาแล้วสิบปี วันนี้เจ้าจะละเมิดหรือ?”
“ข้าได้พบกับแม่นางท่านนี้เมื่อสิบปีก่อน สิบปีก่อนเป็นนางพาข้าที่ใกล้ตายขึ้นเขา สิบปีต่อมานางอยากลงจากเขา ข้าย่อมต้องส่งนางลงจากเขาให้ได้ พวกเจ้ามักพูดกันว่า บุญต้องทดแทน เวรต้องระงับ การตอบเวรเป็นสิ่งสั้น การตอบบุญเป็นสิ่งยาว ข้าทำเช่นนี้ไม่ผิดกระมัง วีรชนโจวเจิ้ง?”
โจวเจิ้งพยักหน้า “ย่อมมิผิด”
เฟิงจั่วจวินลุกขึ้นยืน หายใจยาวออกมาอย่างโล่งอก แล้วถามศิษย์พี่หญิงของตนด้วยความประหลาดใจ “หลี่กุ่ยก็มีวิทยายุทธ์ด้วยหรือ?”
เซี่ยอวี่หลิงปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เพียงเสียงราชสีห์คำรามวิถีพุทธนั้น ก็ต้องฝึกปรือลมปราณอย่างน้อยสามสิบปีแล้ว”
ศิษย์พี่หญิงเพียงแค่ส่ายศีรษะ “ข้าเองก็เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก”
โจวเจิ้งยื่นฝ่ามือออกมา “สำนักศึกษา โจวเจิ้ง”
หลี่กุ่ยเก็บรอยยิ้มซื่อๆ ของเขาไว้ ร่างโก่งเล็กน้อยค่อยๆ เหยียดตรงขึ้น “ศิษย์นิรเทศแห่งสำนักวีรชนจื่อหย่า หลี่กุ่ย”
“หลี่กุ่ย!” เฟิงจั่วจวินตกใจจนตัวสั่นเทา “หลี่กุ่ยผู้นั้น ที่หลงรักธิดาแห่งพรรคมารจนต้องออกจากสำนัก!”
“ว่ากันว่าครั้งหนึ่งหลี่กุ่ยคือทายาทที่ถูกกำหนดไว้ของสำนักวีรชน ตระกูลเลื่องชื่อในยุทธภพหลายตระกูลต่างมาสู่ขอไม่ขาดสาย แต่เขากลับหลงรักธิดาพรรคมาร เพื่อนางแล้ว เขาฆ่าผู้อาวุโสสามท่านและพี่น้องร่วมสำนักอีกกว่าสิบชีวิต…” เซี่ยอวี่หลิงกล่าวด้วยเสียงหนัก “มีข่าวลือในยุทธภพว่าเขาได้ตายไปนานแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะเร้นกายอยู่ในสำนักศึกษาตลอดมา”
“คุณชายสามเซี่ย ท่านควรร่ำไปในยุทธภพมากขึ้น เชื่อฟังข่าวลือให้น้อยลงสักหน่อยเถิด เมื่อครั้งข้าลาจากสำนัก ข้ามิได้ปลิดชีวิตผู้ใดเลย เพียงแค่แลกกระบวนท่ากับอาจารย์เจ้าสำนัก จากนั้นเขาก็ปล่อยให้ข้าจากไป หากข้าช่วงชิงชีวิตผู้อื่นจริง ตามกฎของสำนักวีรชนจื่อหย่า ข้าจะยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้หรือ?”
หลี่กุ่ยหมุนมือขวาเบาๆ พลันปราณอันแผ่วเย็นสีม่วงหม่นก็ลอยวนอยู่ในฝ่ามือของเขา “เมื่อครั้งนั้นอาจารย์เจ้าสำนักอยู่ในอันดับที่สิบสามของทำเนียบจอมยุทธ ข้าสามารถรักษาความเสมอได้ วีรชนโจวเจิ้ง ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?”
“ศิษย์แห่งสำนักศึกษาบนเขานี้ มิอาจมีนามบนทำเนียบทองคำ แต่ศิษย์พี่รองของข้าในอดีต เมื่อครั้งยังมีชีวิตก็เคยลงเขาและติดอันดับสามของทำเนียบจอมยุทธ ข้ารู้ตัวว่าฝีมือข้ากับเขานั้นแตกต่างกันดั่งฟ้ากับดิน แต่ด้วยการฝึกปรือหนักมาหลายปี ข้ายังหวังจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้สักวันหนึ่ง” โจวเจิ้งพูดพร้อมกระโดดเบาๆ เด็ดกิ่งต้นส้านจากบนยอดไม้มาหนึ่งกิ่ง “ออกมาด้วยความเร่งรีบ ข้ามิได้พกกระบี่ จึงขอใช้กิ่งไม้นี้แทนกระบี่ เชิญ!”
“ประเสริฐแล้ว!”
หลี่กุ่ยในยามนี้ มือขวาทั้งแขนถูกปราณสีม่วงครามเย็นเยียบห่อหุ้มดั่งเกราะอันแข็งแกร่ง เขาพุ่งตัวไปข้างหน้า ฟาดหมัดตรงเข้าใส่โจวเจิ้ง
โจวเจิ้งยกกิ่งไม้ในมือขึ้นเบาๆ แตะลงบนแขนขวาของหลี่กุ่ย
ในพริบตาเดียว ปราณสีม่วงครามที่แขนขวาของหลี่กุ่ยก็สลายหายไปสิ้น สีหน้าของหลี่กุ่ยเผยความประหลาดใจ ก่อนที่ปลายกิ่งไม้ของโจวเจิ้งจะจ่ออยู่ที่อกของเขา
“สิบปีแห่งการห้ามฝึกยุทธ์ เจ้าถดถอยไปมาก” โจวเจิ้งกล่าวเรียบๆ “จบแล้ว”
หลี่กุ่ยหัวเราะเบาๆ “วีรชนโจวเจิ้ง ดูจะประเมินพวกข้าต่ำเกินไปแล้ว”
โจวเจิ้งก้มลงเล็กน้อย เห็นปลายกิ่งไม้มีแสงสีม่วงครามวาบขึ้นมา เขาจึงรีบถอนมือและถอยหลังออกไปทันใด กิ่งไม้ในมือหล่นลงกับพื้นแตกกระจายกลายเป็นเศษผง
“แม่นาง รีบไปเถิด!” หลี่กุ่ยตะโกนเสียงดัง
เฟิงจั่วจวินรีบคว้าบังเหียนไว้ หันไปมองศิษย์พี่หญิงของตนซึ่งพยักหน้าให้ เขาจึงไม่ลังเล ฟาดบังเหียนแรงๆ แล้วพุ่งลงไปทางตีนเขา
โจวเจิ้งถอนหายใจเบาๆ “เจ้าทำเช่นนี้กลับเป็นการทำร้ายนางมากกว่า”
“ปรารถนาสิ่งใด ก็ย่อมได้รับสิ่งนั้น” หลี่กุ่ยปล่อยหมัดใส่โจวเจิ้ง
โจวเจิ้งพลิกตัวขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง เขาส่ายหัวเบาๆ “เจ้าเองก็กำลังแสวงหาผลลัพธ์เช่นเดียวกันใช่หรือไม่?”
“ใช่” หลี่กุ่ยแผดคำรามเสียงราชสีห์อีกครั้ง เสียงดังก้องทำให้ต้นไม้ใหญ่ในป่าทั้งหลายสั่นไหว
โจวเจิ้งยกมือขึ้นเบาๆ กิ่งไม้บนต้นไม้รอบตัวเขาหักพร้อมกัน ลอยล่องตามลมมารอบกายเขา ก่อนที่เขาจะโบกมือฟาดลงมาอย่างแรง กิ่งไม้หลายร้อยกิ่งพุ่งลงมาราวกับกระบี่บิน
“นี่คือเจตนากระบี่วารีไร้พันธนาการที่วีรชนคนรองสร้างขึ้นใช่หรือไม่?” หลี่กุ่ยเอ่ยชม “สรรพสิ่งในใต้หล้า ล้วนกลายเป็นกระบี่ได้ ยอดเยี่ยม!”
**แก้ชื่อตัวละครนะครับ หลี่ขุย => หลี่กุ่ย**